ซูฉางอันชะงักกึก มองไปทางที่มาของเสียงด้วยความสงสัย
เมื่อมองฝ่าฝูงชนเข้าไป เขาพบกับชายคนหนึ่งที่ถือแผ่นไม้หนาๆ สำหรับเคาะเรียกความสนใจและพูดจนน้ำลายฟุ้งอยู่บนแท่นพูดกลางโรงเตี๊ยมที่อยู่ไม่ไกลออกไป
คนเล่านิทานอย่างนั้นรึ? ซูฉางอันตาเป็ประกายขึ้นมาทันทีเขารีบหันไปบอกกับชิงหลุน “พวกเราไปดูทางนั้นกันหน่อยเถอะ”
ชิงหลุนเพียงอยากทำให้ซูฉางอันมีความสุขเท่านั้น นางจึงตอบตกลงโดยแทบไม่ต้องคิด
ทั้งสองเดินเข้าไปนั่งในโรงเตี๊ยมก่อนชายที่แต่งกายในชุดพนักงานของโรงเตี๊ยมจะเดินเข้ามาหา
เขาหยิบผ้ากันเปื้อนที่พาดอยู่บนบ่าลงมาอย่างคล่องแคล่ว เช็ดโต๊ะที่เดิมก็สะอาดอยู่แล้วอีกครั้งพลางถามทั้งสองไปด้วย “ทั้งสองท่าน รับอะไรดีขอรับ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้นซูฉางอันถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนกับชิงหลุนไม่ได้กินอะไรมาั้แ่เช้าจึงมองไปยังชิงหลุนแล้วถามขึ้น “อาจารย์อา พวกเรากินอะไรสักหน่อยไหม”
“อืม” ชิงหลุนพยักหน้าเบาๆ หากมีพลังอยู่ในระดับสูงเช่นนาง แม้ไม่สามารถกินลมดื่มน้ำค้างอดอาหารได้เป็ปีๆ อย่างที่เขียนในนิทานได้ แต่การไม่กินอาหารเป็เวลาเดือนหรือสองเดือนก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรทว่าหากนี่จะทำให้ซูฉางอันรู้สึกดีขึ้นได้ นางก็ยินดีที่จะทำมัน
หลังได้รับอนุญาตจากชิงหลุน ซูฉางอันก็บอกชื่ออาหารเจ็ดแปดอย่างกับพนักงานคนนั้นซึ่งล้วนเป็อาหารที่เขาชื่นชอบทั้งนั้น เมื่อสั่งเสร็จเขาถึงนึกขึ้นได้ว่ามีชิงหลุนอยู่ด้วยจึงเกาหัวอย่างเขินอาย แล้วมองไปยังชิงหลุน “อาจารย์อาท่านชอบกินอะไรเป็พิเศษหรือเปล่า?ท่านก็สั่งบ้างเถอะ”
ได้ฟังดังนั้น ชิงหลุนกลับนิ่งไป ของที่ชอบอย่างนั้นรึ? สำหรับนาง ความชอบนับเป็อารมณ์ที่ไม่คุ้นเคย เป็อารมณ์แปลกหน้าสำหรับนางดังนั้นแม้แต่นางเองก็ไม่รู้เลยว่าตนมีของที่ชอบกินหรือเปล่า นางคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงพูดขึ้นหลังผ่านไปนาน “เช่นนั้น เอาบะหมี่ถ้วยหนึ่งก็แล้วกัน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของพนักงานชะงักไปชั่วขณะแต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเรียบเฉยของชิงหลุนกลับไม่เหมือนกำลังพูดเล่นดังนั้นแม้จะรู้สึกประหลาดใจที่มีคนมากินบะหมี่ในร้านเช่นนี้แต่ขอแค่อีกฝ่ายยอมจ่าย ไม่ว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น เหตุนี้เขาจึงจดมันเอาไว้ในรายการอาหารอย่างว่าง่าย
“ได้เลย แล้วทั้งสองท่านจะรับสุราอะไรดีขอรับ?” พนักงานคนเดิมถามด้วยรอยยิ้ม เขาดูออกว่าทั้งสองเงินหนักไม่เบา มากันเพียงสองคนเท่านั้นแต่กลับสั่งอาหารมากถึงเจ็ดแปดอย่างจึงฉวยโอกาสนี้ขายสุราและเครื่องดื่มในร้านเสียเลย
“สุราอย่างนั้นรึ?” ซูฉางอันชะงักไป เขาไม่ชอบของแบบนั้นสักนิดจึงคิดจะปฏิเสธออกไป แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าจอมยุทธ์ในหนังสือที่อ่านมักดื่มสุราเพื่อคลายความกลัดกลุ้มเสมอเพราะคิดว่าตนในตอนนี้ก็น่าจะถือว่ากลัดกลุ้มเช่นกัน จึงคิดอยากลองทำตามบ้าง
“เช่นนั้น เอาสุราที่ดีที่สุดของที่นี่มาแล้วกัน” ซูฉางอันเลียนแบบจอมยุทธ์ในหนังสือ
“อ้อ ได้เลยขอรับ!” พนักงานประกายความดีอกดีใจออกมา ก่อนจะเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม
ตุบ!
เสียงหนึ่งดังขึ้น
ชายบนเวทีเคาะแผ่นไม้ลงบนโต๊ะ แล้วพูดต่อไป
“ว่ากันว่า ซูฉางอันได้รับวิชาดาบของมั่วทิงอวี่จากนั้นก็เพียรฝึกฝนทุกเมื่อเชื่อวัน”
“ดินแดนทางเหนืออากาศหนาวเย็น ทั้งเขาเองก็มีฐานะยากจนจึงไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่ แต่ถึงกระนั้นความหนาวเย็นก็ไม่อาจหยุดยั้งการฝึกดาบของเขาได้!”
“ในที่สุดวันหนึ่งเขาก็มีวิชาดาบเลิศล้ำ จึงบอกลาบิดามารดาบอกลาบ้านเกิด แล้วเดินทางมายังเมืองฉางอันเพียงลำพัง”
ในที่สุดซูฉางอันก็ได้ฟังชัดๆ เสียที ที่แท้ชายคนนั้นกำลังเล่าเื่ของตนอยู่นั่นเองนั่นทำให้เขาหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมาหาถูกต้องไม่จริงอยู่ที่เขาเพียรฝึกวิชาดาบมาตลอดสองปีแต่เขาไม่เคยต้องทนหนาวอย่างที่ว่าเสียหน่อยเพราะกลัวว่าจะถูกเพื่อนในชั้นเรียนล้อ เขาจึงฝึกดาบในห้องของตัวเองทุกวันส่วนเื่ที่ว่ามีวิชาดาบเลิศล้ำยิ่งเหลวไหลเข้าไปใหญ่เพราะเขาได้วิชาดาบของมั่วทิงอวี่มาเพียงนิดเดียวเท่านั้นเทียบกับมั่วทิงอวี่ไม่ได้แม้เพี้ยงเสี้ยวเดียว
และตอนนั้นเอง ในที่สุดอาหารที่สั่งก็ถูกยกเข้ามาพอดีอาจเพราะกลัวว่าจะมีคนจำได้ ซูฉางอันจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินท่าเดียว
“เขาพูดเื่ของเ้าอยู่นี่? ” ชิงหลุนได้ยินสิ่งที่ชายคนนั้นกำลังเล่าในที่สุดเพราะรู้สึกว่าน่าสนใจ นางจึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้าด้วยท่าทางเขินอาย
อีกด้าน ฝูงชนล้อมเวทีขนาดเล็กเสียแน่นขนัด ทั้งยังส่งเสียงชื่นชมว่าดีเป็ระยะๆราวว่าสิ่งที่ชายคนนั้นเล่าจะได้รับความนิยมมากทีเดียว ด้วยเหตุนี้ ซูฉางอันก็ยังไม่ได้เห็นใบหน้าของชายคนนั้นชัดๆเลย ได้ยินเพียงเสียงเล่าเท่านั้น
“ทั้งสองท่าน นี่สุราที่ท่านสั่งขอรับ!” พนักงานคนเดิมเดินเข้ามาพร้อมกับสุราหนึ่งกาเขาวางแก้วสุราสองใบลงบนโต๊ะ รินสุราลงในแก้ว และยื่นให้ทั้งสองด้วยท่าทางนอบน้อมจากนั้นพูดว่ากินให้อร่อยเป็การส่งท้าย แล้วจึงเดินจากไปในที่สุด
“เ้าจะดื่มรึ?”ชิงหลุนชูแก้วพลางกล่าว
แน่นอนว่านางเคยดื่มเ้าสิ่งนี้มาก่อน แต่ก็แค่ครั้งเดียว และนางลองดื่มมันด้วยความสงสัยเท่านั้นแต่เพราะเห็นว่ามันไม่ได้พิเศษอะไร จึงไม่ได้ดื่มมันอีกเลยั้แ่นั้นเป็ต้นมา
แต่หากมันจะทำให้ซูฉางอันมีความสุข ดื่มอีกครั้งก็ไม่เห็นเสียหายอะไร
ทว่าซูฉางอันกลับรู้สึกลังเลเล็กน้อย เขาสั่งสุราเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบรวมกับรู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่านั้น
เขาเองก็เคยดื่มสุรามาก่อนเหมือนกัน อย่างไรเสียบิดาของเขาก็คือซูไท่ขี้เมาที่มีชื่อเสียงของฉางเหมินเชียวนะ เหตุนี้ในบ้านของเขาจึงมีสุราอยู่เสมอเขาเคยลองดื่มตอนยังเด็ก แต่เพราะคิดว่าเ้านี่ทั้งเผ็ดแถมยังแสบคออีกดังนั้นเขาจึงไม่เคยดื่มมันอีกเลย
แต่ตอนนี้ เมื่อชิงหลุนชูแก้วขึ้นเช่นนี้...
แม้นางจะเป็อาจารย์อาของเขา แต่ก่อนหน้านี้ นางก็ดูเป็เพียงหญิงสาวที่มีอายุไล่เลี่ยกับเขาเท่านั้น
เอ้อ... แถมยังเป็หญิงสาวที่สวยเอามากๆ เสียด้วย ซูฉางอันพูดเสริมในใจ
เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้เื่ศักดิ์ศรีนับเป็สิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะศักดิ์ศรีของนักดาบอย่างเขา
นี่เป็สิ่งที่ฉู่ซีฟงเคยบอกกับเขาแม้ศักดิ์ศรีในที่นี้จะแตกต่างไปจากศักดิ์ศรีในความหมายของฉู่ซีฟงเล็กน้อยแต่ซูฉางอันก็ไม่เห็นว่ามันผิดตรงไหน
ดังนั้น เขาเองก็ชูแก้วขึ้นเช่นกัน “ดื่มสิ! ไม่ดื่มได้อย่างไร”
เขายกแก้วขึ้นมากระดกจนหมด ก่อนความเผ็ดร้อนจะกระจายไปทั่วกระเพาะไล่มาตามลำคอ แล้วพุ่งขึ้นไปบนหัวในที่สุด ความเผ็ดร้อนทำให้ใบหน้าของเขาแดงไปหมดและนั่นก็ทำให้เขารู้สึกมึนที่หัวในเวลาต่อมา
ทว่าความกลัดกลุ้มที่แฝงอยู่ในใจกลับไม่ได้น้อยลงไปเลย กลับกัน มันเพิ่มมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
เขารินสุราจนเต็มแก้วอีกครั้ง “อีกจอก”
แล้วสุราอีกแก้วก็ถูกรินลงท้อง
เมื่อเห็นดังนั้น ชิงหลุนรู้สึกว่าตนเองก็ควรจะดื่มเป็เพื่อนซูฉางอันเช่นกันจึงรินเหล้าจนเต็มแก้ว แล้วกระดกจนหมดในรวดเดียว
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง จนบัดนี้ทั้งสองก็ดื่มสุราไปประมาณเจ็ดแปดแก้วแล้วตอนนี้ซูฉางอันรู้สึกหนักที่หัวเหลือเกิน ภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปหมด เขาส่ายหน้าไปมาพยายามจะปรับให้การมองเห็นกลับมาชัดเจนดังเดิม
แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตากลับเป็ใบหน้าที่บัดนี้ก็แดงก่ำไม่ต่างกันของชิงหลุนเพราะนางเองก็ดื่มไม่เก่งเช่นกัน บัดนี้จึงมีสภาพมึนเมาไม่ต่างไปจากตน ทว่าซูฉางอันกลับคิดว่าชิงหลุนในตอนนี้ช่างงดงามเหลือเกิน
เขาเอ่ยขึ้น “อาจารย์อา ต่อไป ข้าไม่เรียกท่านว่าอาจารย์อาแล้วได้ไหม? ”
“หืม? ”ชิงหลุนชะงักไป ฤทธิ์สุราทำให้การเคลื่อนไหวของนางเอื่อยเฉื่อยลงมาก“แล้วเ้าอยากเรียกข้าว่าอะไรละ? ”
ซูฉางอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ“อาจารย์อายังสาวขนาดนี้ แถมยังสวยมากอีก ให้เรียกว่าอาจารย์อาตลอดก็แปลกๆต่อไปให้ข้าเรียกท่านว่าชิงหลุนได้ไหม”
“อืม” ชิงหลุนพยักหน้า ั้แ่ตอนที่ฝึกกระบี่เมื่อ่บ่าย ที่ซูฉางอันไม่ยอมพูดประโยคยาวๆแบบนี้ให้ได้ยินเลย แต่ในบัดนี้ เพราะคิดว่านั่นจะทำให้ซูฉางอันรู้สึกมีความสุขได้นางจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ชิงหลุน เ้าพบกับอาจารย์ไคหยางที่ไหนรึ? ” ซูฉางอันถามด้วยท่าทางมึนเมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยถามคำถามนี้กับชิงหลุนหรอกนะแต่เพราะนางไม่ชอบพูดอยู่แล้ว จึงไม่เคยตอบคำถามนี้ของซูฉางอันมาก่อน
ได้ยินดังนั้น ชิงหลุนก็ชะงักไปอีกครา นางโกหกไม่เก่ง หากจะพูดให้ถูก นางไม่เคยโกหกเลยต่างหากแต่หากบอกเื่ราวความเป็มาของนาง ซูฉางอันต้องรู้ฐานะที่แท้จริงของนางแน่ นั่นอาจส่งผลกระทบไปถึงการสิ้นบ่วงแห่งเหตุและผลซึ่งเป็จุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของนางแต่ชิงหลุนต้องพยายามอยู่นานกว่าซูฉางอันจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง นางเกรงว่าหากตนไม่ตอบซูฉางอันจะกลับไปเศร้าหมองเหมือนเดิมอีก จึงนึกลังเลขึ้นมา และในตอนที่นางกำลังจะตอบคำถามออกมานั้น
ตุบ!
ชายบนเวทีเคาะไม้ลงบนโต๊ะอีกครั้ง
“ทุกท่าน วันนี้เล่าถึงแค่ตอนที่ซูฉางอันไปช่วยยอดบุปผาในหอหมู่ตันก่อนก็แล้วกันหากอยากจะรู้เื่ราวต่อจากนั้น โปรดมาที่ร้านในวันพรุ่งนี้แล้วข้าน้อยจะเล่าเื่ให้ทุกท่านฟังอย่างละเอียด”
เมื่อสิ้นคำ ลูกค้าทั้งหลายก็หมดสนุกลงทันทีพวกเขาส่งเสียงบ่นด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเล่าต่อคนทั้งหลายจึงหยุดการประท้วงลง แล้วเดินจับกลุ่มออกไปจากร้านในที่สุด
ในที่สุดซูฉางอันกับชิงหลุนก็ได้เห็นใบหน้าของชายบนเวทีชัดๆ เสียที
คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็คนคุ้นเคยเป็บัณฑิตตกยากที่พวกเขาเคยพบที่ถนนจูเชว่ในวันนั้น... กูเชียนฟานนั่นเอง
ทางด้านกูเชียนฟาน บัดนี้เขาเก็บข้าวเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วเขากำลังพูดบางอย่างกับเ้าของร้าน แล้วทำท่าว่าจะจากไป แต่สายตาดันสะดุดเข้ากับคนทั้งสองที่นั่งอยู่ในมุมๆหนึ่งของร้านเสียก่อน ทันใดนั้น ความดีอกดีใจก็ะเิขึ้นในพริบตา เขาไม่รอช้า รีบก้าวยาวๆ เข้ามาหาทั้งสองทันที
“พวกท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ? ” เขานั่งลงข้างซูฉางอันอย่างสนิทสนม
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้า แล้วถามกลับไป “ทำไมเ้าถึงมาเล่าเื่ในนี้ละ? ไม่เขียนนิยายแล้วรึ?”
ซูฉางอันรู้สึกเสียดายอย่างอดไม่ได้ เขาชอบเื่ราวในนิยายเป็อย่างมากดังนั้น หากกูเชียนฟานเลิกเขียนนิยาย เขาย่อมมีนิยายให้อ่านน้อยลงไปด้วย
“เขียนสิ ทำไมจะไม่เขียนละ ข้าชอบเขียนนิยายแม้คนอื่นจะเห็นว่ามันไม่ได้สนุกอะไรมากมาย แต่ข้าก็อยากจะเขียนมันตลอดไปเลย”กูเชียนฟานบอก “ข้าแค่ทำงานนี้เพื่อประทังชีวิตเท่านั้น เมื่อมีเวลาว่าง แล้วค่อยไปเขียนต่อ”
“แบบนี้นี่เอง” ซูฉางอันพยักหน้า เขาเหล่มองกูเชียนฟานครู่หนึ่งรู้สึกว่าสภาพของเขาในตอนนี้ดูดีกว่าเมื่อก่อนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าแล้ว ซูฉางอันก็รู้สึกยินดีกับเขาจากใจจริง
“เหอะๆ” กูเชียนฟานเกาหัวตัวเองด้วยท่าทางเขินอาย ก่อนจะพูดขึ้นอีก“ความจริงก่อนหน้านี้ข้าเคยเขียนนิยายหลายเล่มเลย แม้ไม่ได้ขายดิบขายดีอะไรแต่อย่างน้อยก็ยังประทังชีวิตอยู่ได้ แต่เพราะต่อมาเกิดเื่ขึ้นในบ้านจึงหมดอารมณ์ที่จะเขียนนิยายไป่หนึ่งดังนั้นเมื่อกลับมาเขียนอีกครั้งจึงไม่มีใครอยากอ่านอีกแล้ว”
“หืม?นิยายที่เ้าเขียนมีอะไรบ้างรึ? ” ซูฉางอันสนใจขึ้นมาทันที
“เพลงรักแห่งหนานเยวียน” กูเชียนฟานคิดอยู่นาน ก่อนจะพูดออกมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้