เฉียวเยว่ประคองใบหน้าของหรงจ้านราวกับมีความรักลึกซึ้ง ดวงหน้าของนางยิ้มเริงร่า "ข้าจะเป็เ้าสาวให้พี่จ้าน ดังนั้นท่านจะสังหารข้าไม่ได้"
แม้ว่าคนผู้นี้จะดูเหมือนล้อเล่น แต่คนจิตผิดปรกติไม่อาจใช้มโนธรรมตัดสิน ใครจะรู้ว่าเขาจะอาละวาดขึ้นมาเมื่อไร หากเป็เช่นนี้ ก็น่ากลัวเกินไป
หรงจ้านถูกพูดจนตะลึงลาน เขานึกได้ว่าเด็กอาจมีความกลัว นึกได้ว่าเด็กอาจพยายามพูดสิ่งดีๆ แต่ไม่เคยคาดคิดว่าเด็กน้อยคนนี้จะถึงกับใช้วิธีสารภาพรักขอแต่งงานเช่นนี้
นี่มัน... น่าอายชะมัด!
เขาจ้องเฉียวเยว่ เฉียวเยว่ก็จ้องเขา ทั้งสองต่างสบตากันและกัน
จู่ๆ หรงจ้านก็มีท่าทีตอบสนอง เอ่ยขึ้นอย่างตระหนักได้ "เ้ารู้ว่าโรงน้ำชาเจ็ดสมบัติเป็ของลุงเ้า"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ไม่รู้"
"ตอนเ้าโกหก ช่วยระวังมากกว่านี้หน่อย ทำชุ่ยๆ ขอไปทีเช่นนี้ จะไม่มีปัญหาจริงหรือ? อีกอย่างเวลาเ้าขอร้องคนช่วยเดินตามเส้นทางคนปรกติได้หรือไม่ เ้าทำเช่นนี้ ข้าวางตัวลำบาก ไม่รู้จะแสดงบทบาทต่อไปอย่างไร" หรงจ้านถอนหายใจ
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก ซบลงไปบนไหล่ของเขา กล่าวด้วยรอยยิ้ม "ข้าไม่รู้จริงๆ แต่เคยคิดว่าโรงน้ำชาเจ็ดสมบัติจะมีความเกี่ยวข้องกับท่านตาและท่านลุงหรือไม่"
เฉียวเยว่พูดความจริง
"เหตุใดเล่า เพราะโคลงคู่หรือกลเก้าห่วงกับสลักไม้ขงเบ้ง?"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ล้วนไม่ใช่"
นางประกบฝ่ามือน้อยๆ เอ่ยอย่างจริงจัง "เพราะขนม ข้ารู้สึกว่าขนมนั้นทำมาเพื่อข้า หากท่านตอบไม่ถูก ข้าคิดว่าเถ้าแก่จะต้องหาเหตุผลสักอย่างมอบขนมให้ข้าอยู่ดี"
หรงจ้านนึกถึงกระต่ายทองคำในชั้นสุดท้าย พลันกระจ่าง "เ้าเกิดปีเถาะ"
เฉียวเยว่พยักหน้า "อีกอย่างขนมเ่าั้เป็แบบที่ข้าชอบทั้งสิ้น ข้าเคยกล่าวไว้ แม้รสชาติจะสำคัญที่สุด แต่รูปลักษณ์ภายนอกก็สำคัญไม่แพ้กัน"
หรงจ้านนึกไม่ถึงว่านางจะถึงกับอาศัยเื่นี้ในการตัดสิน สมกับเป็นักกินตัวน้อย นักกินย่อมจะเป็นักกินวันยังค่ำ
"เื่วันนี้ เฉียวเยว่อย่าบอกผู้อื่น" เขาพูดอย่างจริงจัง
เฉียวเยว่กล้าพูดเสียที่ไหน!
"ข้าจะช่วยเก็บความลับให้ท่าน แต่ท่านต้องเตรียมของอร่อยให้ข้าด้วยล่ะ" นางตอบอย่างจริงจังเช่นกัน
"เพราะเหตุใด?"
"นี่เรียกว่าวิธีปิดปากข้า มิเช่นนั้นข้าก็จะพูดไปเรื่อยเปื่อย ท่านควรรู้ ข้าผู้นี้ไม่มีคุณธรรมอันใด เื่ของตนเองยังปากสว่างได้ นับประสาอันใดกับเื่ของคนนอก ท่านว่าจริงหรือไม่ ท่านพี่จ้าน ท่านพี่จ้าน ท่านมองข้าสิ"
หรงจ้านไม่สนใจนางแล้ว เขาลุกขึ้นเริ่มชมทิวทัศน์
เฉียวเยว่จับขากางเกงเขา "ท่านบอกว่าจะฆ่าคนปิดปากมิใช่หรือ?"
หรงจ้าน "จู่ๆ ข้าก็เกิดเบื่อ ไม่อยากเปลืองแรงกำจัดเ้าทิ้งแล้ว"
เฉียวเยว่ "ท่านดูแคลนข้า"
หรงจ้านยิ้ม "ใช่แล้ว เ้าตอบถูก"
เฉียวเยว่ "พี่จ้าน พี่จ้าน ท่านพูดถึงความลับอันใด โรงน้ำชาเจ็ดสมบัติเป็สถานที่แลกเปลี่ยนอันใด พี่จ้าน..."
หรงจ้านมองนาง ล้วงดอกฝ้ายออกมาแล้วแบ่งเป็สองส่วนอุดหูทั้งสองข้าง
เฉียวเยว่ "..."
เคยเห็นหรือไม่ว่าคนแปลกประหลาดที่สุดหน้าตาเป็อย่างไร เฉียวเยว่ก็ไม่รู้ แต่คิดว่าต้องเป็คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้แน่นอน ไม่ว่าสิ่งใดเขาล้วนพกติดตัวออกมาจากบ้าน
เดิมทีนางนึกว่าตนเองมีความรู้ เห็นอะไรมามาก แต่คนผู้นี้สุดจะเหนี่ยวรั้งจริงๆ
นางถอนหายใจ "ท่าน ท่าน..."
ช่างเถอะ พูดไปผู้อื่นก็ไม่ได้ยิน และผู้อื่นก็ไม่อยากฟังนางพูดด้วย
เฉียวเยว่นั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง สายลมโชยมาหนึ่งระลอก นางเอียงคอมองหรงจ้าน อาภรณ์ของเขาพลิ้วไสว ทั่วร่างดูราวกับชายหนุ่มท่ามกลางขุนเขาบริสุทธิ์สูงส่งปราศจากกลิ่นอายควันไฟของแดนโลกีย์
นางถึงกับมองตาค้าง
พูดตามตรง หรงจ้านก็ไม่นึกว่าเมื่อตนเองหันกลับมาจะเห็นภาพฉากนี้ เขาชื่นชมทิวทัศน์งดงาม แต่เด็กน้อยคนนี้กลับเอาแต่จ้องมองเขา
มองเขาก็แล้วไปเถอะ ที่น่ากลัวก็คือ... นางยังน้ำลายไหลราวกับหมาป่าบ้าตัณหา
ทำให้คนสุดจะทนจริงๆ
มุมปากของเขากระตุกอีกครา "น่ามองหรือไม่?"
เฉียวเยว่พยักหน้าอย่างเคลิบเคลิ้ม "น่ามอง น่ามองอย่างยิ่ง"
หรงจ้าน "..."
พูดตามตรง เขารู้สึกว่าทุกครั้งที่ตนเองอยู่กับนางมักมีเื่ให้ใอยู่เสมอ
"ห้ามมอง"
เฉียวเยว่ไหนเลยสนใจ "ทำไมไม่ให้มองล่ะ อีกอย่าง หากท่านไม่มองข้า จะรู้ได้อย่างไรว่าข้ามองท่านอยู่"
ความเ้าเล่ห์ไม่มีใครเกิน!
"คอยดู ต่อไปจะไม่มีขนมให้กินแล้ว" หรงจ้านเอ่ยอย่างจนปัญญา
เฉียวเยว่รีบปิดตาทันควัน "ข้าไม่มอง ข้าไม่เห็นอะไรเลย"
ทีอย่างนี้ล่ะเป็เด็กดี แล้วความร้ายกาจเมื่อครู่นี้คืออะไร!
หรงจ้านเห็นนางทำท่าทางเช่นนี้ก็อดขำไม่ได้
พอได้ยินเสียงหัวเราะของเขา นางก็หัวเราะตาม
่เวลาบนูเาผ่านไปโดยไม่รู้สึกตัว เร็วยิ่งกว่าสายน้ำไหล
จนกระทั่งถึงยามโพล้เพล้ท้องฟ้าเริ่มมืด หรงจ้านจึงแบกเด็กน้อยขึ้นหลังลงจากเขา เสียงหนูน้อยดังเจื้อยแจ้วไม่หยุดปาก "ท่านส่งข้ากลับบ้านมืดเช่นนี้ บิดาข้าต้องไม่พอใจแน่เลย"
"เ้าคิดว่าข้ากลัวบิดามารดาเ้าหรือ?" หรงจ้านตอบอย่างไม่นำพา
เฉียวเยว่นึกดูแล้วก็จริงดังว่า เขาไม่ต้องกลัวอยู่แล้ว
"เช่นนั้นท่านแบกหม้อ [1] ดีหรือไม่?" นางกล่าวด้วยความดีใจ
"แบกหม้อ?"
"ถึงอย่างไรท่านก็ไม่กลัวบิดามารดาข้า ท่านแค่บอกว่าท่านเป็คนช้าเอง เช่นนี้พวกเขาก็จะไม่ทำโทษข้าแล้ว"
เฉียวเยว่นึกแล้วก็รู้สึกว่าดีที่สุด
"เ้าบอกว่าการโกหกไม่ใช่เด็กดีมิใช่หรือ"
"แต่ข้าไม่ได้โกหกนี่นา เดิมทีท่านก็นั่งชมทิวทัศน์อยู่ตลอดตั้งนาน ไม่รู้คิดอะไรบ้าง ถึงทำให้พวกเรากลับมืด หากตามความ้าของข้าป่านนี้ลงจากเขานานแล้ว" เฉียวเยว่พูดตรงๆ
เฉียวเยว่แสดงท่าทีเช่นนี้ หรงจ้านก็จนปัญญาจะหาถ้อยคำมาตอบโต้
"เ้าแสบขนาดนี้ไม่รู้โตไปจะเป็อย่างไร บิดามารดาไม่ตีเ้าให้ตายก็เพราะพวกเขานิสัยดีเกินไป"
เฉียวเยว่ยิ้มร่า "ต่อไปภายหน้าบุตรของท่านอาจแสบยิ่งกว่าข้าก็ได้"
หรงจ้าน "เหอะๆ ไม่มีทาง"
"คนเราอย่ามั่นใจเกินไป"
"ไม่มีทางแย่กว่าเ้าแน่นอน"
...
ผลเป็ไปตามคาด เมื่อเฉียวเยว่กลับมาถึงก็เห็นไท่ไท่สามรออยู่หน้าประตู นางรีบโผเข้าไปหา "ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่าน ข้าคิดถึงท่านมากเลยเ้าค่ะ"
อวี้อ๋องมิได้เข้าไปใกล้ เพียงกล่าวเสียงเรียบ "ข้าล่าช้าเอง"
เฉียวเยว่ไม่นึกว่าเขาจะแบกหม้อไว้เองจริงๆ ก็ถอนหายใจอีกครา คนผู้นี้ปากมีดใจเต้าหู้แท้ๆ
"ข้าขาสั้น ก็เลยช้า" เฉียวเยว่พูดแทรกขึ้นมา
อวี้อ๋องหัวเราะเบาๆ "ข้าแบกเ้าลงูเา เ้าไม่ได้เดินเองเสียหน่อย"
เฉียวเยว่ "..."
เขาก็เป็เช่นนี้เอง ทันทีที่รู้สึกซาบซึ้ง เขาก็จะทำให้เ้ารู้ทันทีว่าการซาบซึ้งใจในตัวเขาเป็ความโง่งมอย่างใหญ่หลวง!
ริมฝีปากน้อยๆ ของเฉียวเยว่ยื่นออกมาปานจะแขวนขวดซีอิ๊วได้
"เมื่อส่งนางกลับเรียบร้อยแล้ว ข้าก็ขออำลา" อวี้อ๋องยิ้มเล็กน้อย
หลังจากนั้นก็ก้าวเข้ามาลูบศีรษะของเฉียวเยว่ พูดด้วยความ 'ใจดี' อย่างยิ่ง "ต้องเป็เด็กดี หากเ้าพูดเหลวไหลไร้สาระ ข้าจะส่งเ้าไปเป็อาหารหมาป่า"
เฉียวเยว่ไหนเลยจะกลัว นี่เป็หน้าบ้านของนางแล้ว หากยังกลัวหงอก็โง่เต็มที
"แต่ข้ารู้ ท่านทำข้าไม่ลงหรอก เพราะข้าเป็เ้าสาวของท่าน" เฉียวเยว่พูดอย่างมั่นใจ
ไท่ไท่สามแทบจะหงายหลังไปตรงนั้น ใช้เสียงดุทันควัน ไม่สนใจแล้วว่ามีคนอยู่ "เฉียวเยว่ อย่าพูดเหลวไหล ข้าว่าเ้าอยากจะโดนตีใช่หรือไม่?"
เฉียวเยว่สะดุ้งโหยง เอานิ้วชนกัน "เ้าค่ะ"
นางหันมายิ้มกล่าวกับอวี้อ๋อง "บุตรสาวอายุน้อยไม่รู้ความ หวังว่าท่านอ๋องจะไม่เก็บมาใส่ใจ นาง..."
อวี้อ๋องยกมือขึ้นโบก ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มน้ำเสียงแกมเยาะหยัน "นางโง่ ข้ามิได้ตาบอด"
หลังจากนั้นก็หมุนตัวจากไปอย่างเอ้อระเหย
ไท่ไท่สามค่อยสงบลง หันไปถามหลันหมัวมัวข้างกายด้วยความงุนงง "เขาหมายความว่าอย่างไร?"
เห็นได้ชัดว่าตื่นตระหนกจนแม้แต่คำพูดก็ฟังไม่รู้เื่แล้ว
หลันหมัวมัวลังเลไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า "หมายความว่า... หมายความว่าไม่ยินดี?"
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึ "คนบัดซบ ทำเป็มารังเกียจข้า คุณหนูเช่นข้ายังไม่รังเกียจเขาเลย"
เห็นรถม้ากำลังจะออกไป เฉียวเยว่ก็โบกมือ "แล้วพบกันเ้าค่ะ พี่ชายจ้าน อย่าลืมซื้อขนมจากโรงน้ำชาเจ็ดสมบัติมาฝากข้าด้วยนะเ้าคะ"
"จะซื้อกลับมาให้เ้าทั้งหมดเลย" หรงจ้านพูดอย่างมีความหมายแอบแฝง
หลังจากนั้นรถม้าก็เริ่มเร็วขึ้น "ได้ยินแล้วจะแสดงความกลัวบ้างไม่ได้เลยหรือ จำได้แต่เื่กิน"
แต่พอใคร่ครวญอย่างละเอียดก็ส่ายหน้าหัวเราะออกมา
ความไร้เดียงสาไร้ทุกข์ไร้กังวลเช่นนี้ เขาไม่เคยมีมานานมากแล้ว
นึกมาถึงตรงนี้ หรงจ้านก็เลิกม่านหน้าต่างมองออกไปข้างนอก "ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขสดใสไร้เดียงสาเช่นนี้ ทำให้นึกอยากจะปกป้องคุ้มครองไปชั่วชีวิตจริงๆ"
"นายท่าน ถึงโรงน้ำชาเจ็ดสมบัติแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
"ซื้อขนมทั้งหมดส่งไปให้คุณหนูเจ็ด"
"พ่ะย่ะค่ะ"
แต่ยามนี้ เฉียวเยว่ถูกอุ้มเข้าห้อง
ไท่ไท่สามลากนางมาถาม "เ้าบอกข้ามาดีๆ วันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง คำพูดที่ว่าจะแต่งงานกับผู้อื่นใช่สิ่งที่จะพูดส่งเดชได้หรือ?"
นึกถึงตรงนี้ ก็ยิ่งโมโห ตบก้นน้อยๆ ของนางไปหนึ่งที "จะพูดล้อเล่นก็ต้องมีขอบเขต เ้าดู เ้าดู ตนเองทำอะไรลงไป"
เฉียวเยว่หน้าม่อยคอตก เอ่ยเสียงเบา "ข้าแค่พูดล้อเล่นกับพี่จ้าน แล้วเขาก็ไม่ยินดีด้วย"
"ไม่เกี่ยวว่าเขายินดีหรือเปล่า แต่เ้ามิควรพูดออกไปตรงๆ เช่นนี้ เข้าใจหรือไม่?" ไท่ไท่สามกล่าว
เฉียวเยว่ส่ายหน้า ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ยังพูดว่า "ท่านแม่ไม่ต้องเป็ห่วง ข้าเอาอยู่ เขาเป็สิงโตดุร้าย ส่วนข้าเป็ครูฝึกสัตว์ ครูฝึกสัตว์ย่อมไม่มีปัญหาในการควบคุม"
ไท่ไท่สามโกรธจัดอยากตีเด็กน้อยเสียให้ตาย "วันๆ เ้าพูดแต่เื่ไร้ประโยชน์ ทำสิ่งใดให้รู้จักขอบเขตบ้างมิได้เลยหรือ?"
เฉียวเยว่เอานิ้วชนกัน
"ตอนนี้เ้าเหิมเกริมมากขึ้นทุกวัน ผู้อื่นศึกษาเล่าเรียนกันหมด เ้าออกไปเที่ยวก็ช่าง ยังกลับมามืดเพียงนี้ เื่กลับมืดแม่จะไม่เอาความเ้า แต่เ้าดู เ้าพูดอะไรออกไป? หากถูกคนเอาไปปล่อยข่าวลือ วันหน้าเ้ายังจะแต่งงานได้อีกหรือ? อย่าคิดว่าตนเองอายุน้อยจะพูดเหลวไหลอะไรก็ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีขอบเขตบ้าง แต่เ้ากลับไม่มีแม้แต่น้อย เ้ารู้ตัวหรือไม่?"
"จากนี้ไปให้เ้าอยู่แต่ในห้อง ห้ามออกไปไหนจนกว่าจะสำนึกความผิดของตนเองได้ค่อยออกมา"
"ท่านแม่..." เฉียวเยว่ใช้น้ำเสียงฉอเลาะ
"อย่ามาเรียกข้า เ้าไม่รู้ความเช่นนี้ อย่ามาเรียกข้าว่าแม่ ข้าไม่มีบุตรไม่ดีอย่างเ้า"
ไท่ไท่สามโกรธมากจริงๆ มิเช่นนั้นก็คงไม่ใช้คำพูดรุนแรงเหล่านี้
เฉียวเยว่ตาแดง ร้องสะอึกสะอื้น มือขยำชายเสื้อของตนเองอย่างน่าสงสาร
"เรียนไท่ไท่ อวี้อ๋องส่งขนมมาให้คุณหนูเจ็ดเ้าค่ะ"
ไท่ไท่สามตวัดสายตามาที่นาง "รู้จักแต่กิน เ้าดูสภาพตนเองซิ ว่าอ้วนแค่ไหนแล้ว"
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินไปทันที
เฉียวเยว่ขยำชายเสื้อจนยับ ถามอวิ๋นเอ๋อร์อย่างพะว้าพะวัง "อวิ๋นเอ๋อร์ ท่านแม่โกรธแล้ว ทำอย่างไรดี?"
...
[1] มาจากสำนวนแบกหม้อดำ หมายถึงการรับผิดแทนผู้อื่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้