หลัวเลี่ยอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
เคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม เป็เคล็ดวิชาที่เขาคิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าเหมาะสมสำหรับการฝึกฝนมากที่สุด
ทุกๆ ระดับพลังจะมีเคล็ดวิชาที่เมื่อฝึกฝนแล้วจะแสดงพลังออกมาได้มีประสิทธิภาพสูงสุด และมีพลังมากที่สุด หลัวเลี่ยไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เมื่อเขาเข้าสู่ระดับหยินหยางแล้ว เขาจะไม่ได้รับเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมมาฝึกฝน
ในเมื่อไม่มีเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม หลัวเลี่ยจึงทำได้เพียงเลือกเคล็ดวิชาอื่นที่ทรงพลังรองลงมาเท่านั้น
เขาเริ่มคิดว่าจะมีเคล็ดวิชาใดที่เหมาะกับเขามากที่สุด ในบรรดาเคล็ดวิชาที่ทรงพลังรองลงมาจากเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม
ยังมีเคล็ดวิชาอื่นๆ อีกมากมาย
เช่นเคล็ดวิชาพื้นฐานที่มีเทพหรือบรรพชนที่แข็งแกร่งบางคนเป็ผู้สร้างขึ้น เคล็ดวิชาพวกนั้นล้วนแต่เป็เคล็ดวิชาที่พวกเขาเคยฝึกฝนผ่านมาจนประสบความสำเร็จ ดังนั้นหากหลัวเลี่ยฝึกฝนตาม ก็อาจทำให้เขามีรากฐานที่มั่นคงจนมีพลังไปถึงจุดสูงสุดของระดับได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“ปึง! ปึง!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
หลัวเลี่ยยิ้มและพูดว่า “เป็เยวี่ยเจินหรือ เดี๋ยวนี้เ้ารู้จักเคาะประตูแล้วหรือ เข้ามาสิ”
เมื่อสิ้นประโยคของหลัวเลี่ย บานประตูก็ถูกเปิดออกจนมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
ข่งไท่โต้วที่อยู่ด้านนอกรีบเดินเข้ามาหาหลัวเลี่ย
“หา? เป็ข่งไท่โต้วหรือ” หลัวเลี่ยประหลาดใจเล็กน้อย “ข้าคิดว่าเป็เยวี่ยเจินเสียอีก หลังจากมาอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน เด็กคนนั้นนับว่าน่ารักและเป็เด็กดีทีเดียว”
ข่งไท่โต้วยกยิ้ม
หลัวเลี่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ทำไมเ้าถึงยิ้มเศร้าๆ”
“ข้าได้รับเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมแล้ว แต่ได้มาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น” ข่งไท่โต้วพูดขึ้น
ครึ่งเดียว?
หัวใจของหลัวเลี่ยเต้นระรัว “เ้าได้มันมาได้อย่างไร”
“เื่นี้พูดไปก็แปลกมาก ข้าเริ่มออกค้นหาเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมช้าไปหนึ่งก้าว แต่เมื่อสองวันก่อนข้ากลับได้รับข้อมูลมาว่า สำนักพุทธได้พบเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมแล้ว ข้าจึงอยากจะทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับพวกเขา แต่ข้าไม่คิดมาก่อนว่าในตอนที่ข้าจะเข้าไปพูดคุยเื่การแลกเปลี่ยนนี้ คนจากสำนักพุทธจะถูกคนอื่นลอบโจมตีเพื่อขโมยเคล็ดวิชานี้ และคนที่ลอบขโมยนั้นก็ได้เคล็ดวิชาอีกครึ่งหนึ่งไป ดังนั้นข้าจึงตามมันไป และฉกเอาเคล็ดวิชาอีกครึ่งหนึ่งที่มันขโมยมาได้” ข่งไท่โต้วนำเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมอีกครึ่งหนึ่งนั้นออกมา
“นี่คือครึ่งแรก?”
เดิมทีหลัวเลี่ยหมดหวังกับการฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับต้องคิดใหม่อีกครั้ง
“ใช่ นี่คือเนื้อหาในครึ่งแรก เ้ารู้เื่นี้ได้อย่างไร” ข่งไท่โต้วพูดอย่างงุนงง
“เ้าเรียกข้าว่าเ้าได้อย่างไร เรียกข้าว่าพี่ใหญ่สิ” หลัวเลี่ยพูดเย้าแหย่ เพื่อหลีกเลี่ยงการพูดถึงเื่ความสัมพันธ์ของเขากับสำนักพุทธ และเื่เนื้อหาเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมครึ่งหลังที่เขาได้รับมาแล้ว
ใบหน้าของข่งไท่โต้วเปลี่ยนเป็สีแดงเล็กน้อย เขายังคงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับสรรพนามนี้
หลัวเลี่ยพลิกดูเนื้อหาครึ่งแรกที่เขาเพิ่งได้มา และบังเอิญว่าเนื้อหานั้นต่อเข้ากับครึ่งหลังที่เขาได้อ่านแล้วพอดี ดังนั้นแสดงว่าตอนนี้เขามีเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมฉบับสมบูรณ์แล้ว
สิ่งนี้ทำให้เขามีความสุขมาก
ในที่สุดหลัวเลี่ยก็มีโอกาสได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาที่นับว่าทรงพลังที่สุดในพลังวรยุทธ์ทั้งสามระดับแล้ว
กอปรกับที่เขาได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ ซึ่งเป็เคล็ดวิชาอันทรงพลังที่สุดในระดับผู้ฝึกตนด้วยแล้ว ทำให้เขามั่นใจว่าเส้นทางวรยุทธ์ของตนเองในอนาคตข้างหน้าจะต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน ข่งไท่โต้วไม่ได้สนใจมากนักว่าหลัวเลี่ยจะรู้ได้อย่างไรว่าเนื้อหาเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมที่เขามีอยู่เป็เนื้อหาครึ่งแรก เพราะตอนนี้บนใบหน้าของเขากลับปรากฏร่องรอยของความโศกเศร้า
“น้องชาย เ้าเป็อะไรไป” ในขณะที่กำลังมีความสุข หลัวเลี่ยก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของข่งไท่โต้ว “ทำไมเ้าถึงทำหน้าเศร้าเช่นนั้น หรือว่ามีคนเสียชีวิตในระหว่างที่เ้าค้นหาเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมให้ข้า”
ข่งไท่โต้วถอนหายใจ และพูดอย่างเศร้าโศก “ไม่ใช่ แต่เป็เพราะเยวี่ยเจิน”
“เยวี่ยเจินหรือ? เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น ตอนที่ข้าสอนเคล็ดวิชามหาหลุนิให้นาง นางก็ดูจะมีการพัฒนาที่รวดเร็วมากนี่” หลัวเลี่ยกล่าว
ข่งไท่โต้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “เยวี่ยเจินตายแล้ว”
ทันใดนั้นมือของหลัวเลี่ยที่ถือเนื้อหาครึ่งแรกของเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมก็แข็งค้าง เขาก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปยังข่งไท่โต้ว จากนั้นก็ะโว่า “ข่งไท่โต้ว เ้าพูดอะไร เ้าพูดอีกครั้งซิ!”
“ข่งเยวี่ยเจินตายแล้ว” ข่งไท่โต้วกล่าว
หัวของหลัวเลี่ยคล้ายถูกค้อนทุบ ทันใดนั้นรูปลักษณ์ที่ไร้เดียงสาและมีชีวิตชีวาของข่งเยวี่ยเจินก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา ก่อนหน้านี้นางยังแสดงความเป็มิตรในการช่วยเหลือเขา เมื่อเห็นว่าเขาถูกรังแกอย่างไม่เป็ธรรม ใครจะคิดว่านางจะมาตายในตอนที่เขาเก็บตัวฝึกฝน
“ตายแล้ว ตายแล้วหรือ?” ั์ตาของหลัวเลี่ยมีประกายของความเ็าพาดผ่าน “ตายได้อย่างไร ใครเป็คนทำ”
ข่งไท่โต้วเล่าเื่ที่เกิดขึ้นให้หลัวเลี่ยฟังด้วยท่าทางโศกเศร้า
หลังจากที่หลัวเลี่ยได้เก็บตัวฝึกฝนวรยุทธ์ ข่งเยวี่ยเจินก็รู้สึกเบื่อ นางกับสาวใช้ของนางจึงออกไปเดินเล่นซื้อของ โดยที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอกับไก้อู๋ซวงที่เพิ่งออกจากไข่มา และทุกคนก็รู้เื่ความสัมพันธ์ระหว่างข่งเซวียนและอูอวิ๋นเซียนดี
ใครๆ ก็ต่างรู้ดีว่าตระกูลข่งและตระกูลอูเป็คู่แค้นกัน
เมื่อรวมกับบุคลิกของไก้อู๋ซวง ซึ่งเป็ผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง จนนางเคยพูดกระทั่งว่านางจะเอาชนะข่งเซวียนแทนอูอวิ๋นเซียนให้ได้
ดังนั้นเมื่อไก้อู๋ซวงบังเอิญเจอข่งเยวี่ยเจิน นางจึงลงมือทำร้ายข่งเยวี่ยเจินเพื่อยั่วยุคนในตระกูลข่ง
ส่วนข่งเยวี่ยเจินนั้น แม้ว่านางจะไร้เดียงสาแต่นางก็ฉลาด รวมทั้งหลัวเลี่ยเองก็เคยเตือนนางว่าความสามารถของนางไม่สามารถเอาชนะไก้อู๋ซวงได้ ดังนั้นนางจึงพยายามเลี่ยงการปะทะกับไก้อู๋ซวงแล้ว แต่ไก้อู๋ซวงก็ยังคงลงมืออย่างโเี้
“ข่งเยวี่ยเจินจะต่อกรกับไก้อู๋ซวงได้อย่างไร ดังนั้นสุดท้ายแล้วนางจึงถูกดาบจากไก้อู๋ซวงแทงลงมาที่หัวใจจนเสียชีวิต” ข่งไท่โต้วถอนหายใจยาว
หลัวเลี่ยหลับตาลง และนึกถึงการตายอันน่าสลดใจของข่งเยวี่ยเจิน หลังจากนั้นน้ำตาของเขาก็ไหลออกมาจากหางตาอย่างควบคุมไม่ได้
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเมื่อนึกถึงภาพข่งเยวี่ยเจินที่ไร้เดียงสาและขี้เล่น แต่สุดท้ายนางกลับนอนเสียชีวิตอยู่บนพื้นอย่างเดียวดาย
“ไก้...อู๋...ซวง!”
เจตนาฆ่าที่รุนแรงพุ่งออกมาจากก้นบึ้งในหัวใจของหลัวเลี่ย
ข่งไท่โต้วพูดต่ออย่างขมขื่น “แม้ว่าตระกูลข่งจะมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์อยู่มากมาย ทว่ามีเพียงข่งเหรินเจี๋ยเท่านั้นที่มีความสามารถพอจะต่อกรกับไก้อู๋ซวงได้ แต่ด้านข่งเหรินเจี๋ยนั้นพอนางได้รับหยาดจันทร์นิรวานที่ข้าได้มาจากเ้าแล้ว นางก็เก็บตัวฝึกฝนอยู่ตลอด จนพวกเราติดต่อไม่ได้มาสักพักแล้ว นอกจากนี้ตระกูลข่งยังมีกฎว่า ข้อพิพาทของศิษย์รุ่นหลัง คนรุ่นก่อนหรือปรมาจารย์ภายในตระกูลมิอาจยื่นมือเข้าไปแทรกแซงได้ เื่ในครั้งนี้เป็เื่ระหว่างศิษย์ของเรากับศิษย์ของอูอวิ๋นเซียน ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีใครสามารถแก้แค้นแทนเยวี่ยเจินได้เลย”
ปึง!
หลัวเลี่ยตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ จากนั้นโต๊ะก็หักออกจากกันทันที
“ข้าจะแก้แค้นให้เยวี่ยเจินเอง!”
“ไก้อู๋ซวงผู้นั้นต้องถูกสังหาร!”
ก่อนหน้านี้ข่งเยวี่ยเจินเคยออกหน้าช่วยหลัวเลี่ยจากซูเล่ยและจั่วอีฝาน นางทวงความยุติธรรมให้กับหลัวเลี่ย โดยที่ไม่รู้ว่าเขาก็ได้เข้าร่วมกับตระกูลข่งแล้ว ดังนั้นบุญคุณในเื่นี้หลัวเลี่ยย่อมต้องตอบแทนนางแน่นอน แม้ว่าตอนนี้นางอาจจะไม่ได้อยู่รับรู้แล้วก็ตาม
และคนอื่นย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกของหลัวเลี่ย
ที่ผ่านมาหลัวเลี่ยมักจะรู้สึกว่าเขาเป็คนที่แปลกแยกในดินแดนเหยียนหวงแห่งนี้มาโดยตลอด ลึกๆ ในใจของเขาก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า เขาเป็เพียงคนต่างแดนที่ทะลุมิติเข้ามาที่นี่ ไม่ใช่คนของที่นี่อย่างแท้จริง และเขาก็ยังไม่ชินกับการเข่นฆ่ากันเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อหลัวเลี่ยได้พบกับคนที่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ เขาจึงหวงแหนมิตรภาพนั้นเป็พิเศษ
และข่งเยวี่ยเจินก็เป็หนึ่งในคนที่หลัวเลี่ยมอบมิตรภาพให้ด้วยความจริงใจ
ดังนั้นเมื่อหลัวเลี่ยรู้ว่านางถูกทำร้ายจนตาย เขาจะไม่แก้แค้นให้นางได้อย่างไร
นอกจากนี้หลัวเลี่ยก็ยังถือว่าเป็คนในตระกูลข่งแล้วด้วย
“ไก้อู๋ซวงไม่ใช่คนที่จะสามารถจัดการได้ง่ายๆ จากข้อมูลที่ข้าได้มา ตอนที่นางอยู่ในไข่ อูอวิ๋นเซียนเป็คนช่วยให้นางฟักออกมาได้สำเร็จ นอกจากนี้นางยังซึมซับแก่นพลังแห่งธรรมชาติ จนทำให้นางมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกเคล็ดวิชาั์ และหลังจากที่นางก้าวข้ามระดับหยินหยางไปแล้ว นางก็เริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาลึกลับที่ติดตัวนางมาั้แ่เกิด ความแข็งแกร่งเช่นนี้ เกรงว่าในบรรดาคนรุ่นหลังคงไม่มีใครสามารถเอาชนะนางได้แน่” ข่งไท่โต้วพูดอย่างเป็กังวล “ข้าไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะเอาชนะนางได้”
ครั้งนี้ที่เขาเรียกหลัวเลี่ยว่าพี่ใหญ่ เนื่องจากเขาคิดว่าที่หลัวเลี่ย้าแก้แค้นให้ข่งเยวี่ยเจิน เป็เพราะหลัวเลี่ยก็คิดว่าตนเองเป็คนของตระกูลข่งด้วย
หลัวเลี่ยตอบกลับเสียงเย็นว่า “ไก้อู๋ซวงก้าวข้ามระดับผู้ฝึกตนแล้วอย่างไร ต่อให้นางฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ ข้าก็ต้องสังหารนางให้ได้ เ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้าไม่สามารถปล่อยให้เยวี่ยเจินตายไปอย่างไร้ความยุติธรรมได้” หลัวเลี่ยพูดย้ำที่ละคำว่า “ข้าต้องสังหารไก้อู๋ซวงให้ได้!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้