หลังเลิกเรียน เฟิ่งสือจิ่นกับหลิวอวิ๋นชูถูกซูกู้เหยียนเรียกให้อยู่ต่อ ซูกู้เหยียนถาม “ ‘หลักมารยาท’ ที่ข้าสั่งให้ไปคัดมาเมื่อวานล่ะ ส่งมาให้ข้า”
หลิวอวิ๋นชูนำสิ่งที่ตนคัดออกมา ซูกู้เหยียนตรวจดูผ่านๆ ก่อนจะหันไปมองเฟิ่งสือจิ่น “แล้วเ้าล่ะ?”
“หา? คัด ‘หลักมารยาท’ หรือ? สั่งตอนไหนกัน?”
หลิวอวิ๋นชูพูดเย้ยหยันอย่างมีความสุข “เป็งานที่อาจารย์สั่งให้พวกเรากลับไปทำเมื่อวานนี้ไง เ้าคงไม่ได้ลืม และไม่ได้ทำมาหรอกใช่ไหม?”
เฟิ่งสือจิ่นพูด “ข้าไม่ได้ทำก็จริง แต่แค่คัด เ้าก็เข้าใจใจความสำคัญของ ‘หลักมารยาท’ เลยหรือไง? ถ้าคัดแล้วยังไม่เข้าใจ เช่นนั้นจะคัดไปเพื่ออะไรล่ะ? ดูจากการกระทำที่ไร้มารยาทของเ้าในวันนี้ คาดว่าการคัดของเ้าคงจะเสียเปล่า ไม่ได้ประโยชน์อะไรสินะ”
หลิวอวิ๋นชูโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ “อาจารย์ นางเถียงคำไม่ตกฟากเลย!”
ซูกู้เหยียนหันไปบอกกับเขา “ในเมื่อส่งงานแล้ว งั้นเ้ากลับไปเถอะ” พูดจบก็หันมามองเฟิ่งสือจิ่นด้วยสายตาเย็นเยียบ “เ้าต้องอยู่ต่อ”
หลิวอวิ๋นชูได้ยินมาว่าเมื่อคืน เฟิ่งสือจิ่นถูกอาจารย์กักตัวอยู่ที่นี่จนดึกจนดื่น หากไม่ใช่เพราะท่านราชครูมารับด้วยตนเอง อาจารย์คงไม่ยอมให้นางกลับบ้านง่ายๆ แน่ ดูเหมือนวันนี้เฟิ่งสือจิ่นก็คงต้องอยู่จนดึกเช่นกัน แค่คิดเขาก็มีความสุขมากแล้ว อย่าเสียเวลาอีกเลย รีบกลับบ้านดีกว่า ช่างมีความสุขอะไรเช่นนี้
เฟิ่งสือจิ่นกับซูกู้เหยียนต่างคนต่างเงียบ เป็เวลานานกว่าซูกู้เหยียนจะพูดขึ้น “เ้าคิดว่าข้าจะสั่งสอนเ้าไม่ได้ใช่หรือไม่? ยื่นมือออกมา”
เฟิ่งสือจิ่นไม่ยอมทำตามคำสั่ง
ซูกู้เหยียนยืนอยู่เบื้องหน้านาง เขายื่นมือเข้าไปจับมือของเฟิ่งสือจิ่น แล้วบังคับให้นางแบมือออก เฟิ่งสือจิ่นพยายามกำหมัดเพื่อขัดขืน ไม่อยากให้อีกฝ่ายจับมือ ซูกู้เหยียนนำไม้บรรทัดออกมาจากที่ใดไม่ทราบ เขาพูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ “ในวิทยาลัยหลวง ไม่ว่าเ้าจะเป็น้องสาวของสือหนิงหรือเป็ศิษย์เอกของราชครู เ้าก็คือนักเรียนของข้า การสั่งสอนเ้าเป็หน้าที่ของข้า นี่เป็ความจริงที่ไม่อาจตั้งข้อกังขาได้” พูดจบก็ฟาดไม้บรรทัดลงที่กลางฝ่ามือของเฟิ่งสือจิ่นอย่างแรง
เฟิ่งสือจิ่นสะดุ้งโหยง เตรียมจะกำมือ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายจับมือเอาไว้อีก
มือของซูกู้เหยียนเย็นเฉียบ ไม่เหมือนมือของอาจารย์ที่มักจะอุ่นอยู่เสมอ เมื่อถูกมือเช่นนี้จับแขน เฟิ่งสือจิ่นก็รู้สึกเหมือนโดนเข็มเย็นๆ ทิ่มแทงเช่นนั้น ทว่าการฟาดด้วยไม้บรรทัดกลับทำให้นางรู้สึกแสบร้อนและคัน รู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าแล่นผ่านนิ้วมือทั้งห้าเช่นนั้น มันไม่ใช่ความรู้สึกเจ็บ แต่ก็ทำให้นางใจสั่นได้อย่างน่าประหลาด
เฟิ่งสือจิ่นมองอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอย รู้สึกเหมือนตอนเด็กๆ เคยมีใครคนหนึ่งสอนให้นางท่องตำรา ‘คำสอน’ ของขงจื๊อเช่นกัน หากนางท่องผิด คนผู้นั้นก็จะตีมือของนางเบาๆ เป็การลงโทษ ในตอนนั้น เมื่อนางแสดงความคิดเห็นเหมือนที่พูดในห้องเรียนวันนี้ออกไป คนผู้นั้นก็ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ข้างหู แล้วถามขึ้น “ใครเป็คนสอนให้เ้าพูดเช่นนี้?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “เพราะนี่เป็ธรรมดาของมนุษย์ไง ท่านบรมครูขงจื๊อต้องเป็คนที่แปลกมากแน่ๆ”
เฟิ่งสือจิ่นพยายามคิดรายละเอียดของเหตุการณ์ในตอนนั้น แต่ก็คิดอะไรไม่ออกเสียที
ซูกู้เหยียนเห็นนางมองฝ่ามือของตนเองอย่างเหม่อลอย บัดนี้ ฝ่ามือของนางเริ่มมีรอยสีแดงอ่อนๆ ปรากฏให้เห็นแล้ว ซูกู้เหยียนตีอีกแค่ไม่กี่ครั้งก็หยุดลง เขาสั่งสอนต่อด้วยคำพูด “ตอนนี้รู้จักเจ็บแล้วหรือ? คำพูดที่เ้าพูดในห้องเรียนวันนี้ เ้าได้ยินมาจากสือหนิงใช่หรือไม่?”
เฟิ่งสือจิ่นคิดจนปวดหัวไปหมด นางใช้มือทุบหัวตัวเองหลายครั้ง พลันความหงุดหงิดก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างไร้สาเหตุ “สือหนิงสือหนิง อะไรๆ ก็สือหนิง! ข้าเป็เงาของนางหรือไง เ้าถึงพูดถึงนางทุกเื่ และทุกครั้งที่เจอข้าเช่นนี้?” ซูกู้เหยียนชะงักนิ่งลง เฟิ่งสือจิ่นกุมหัวตัวเอง และค่อยๆ สงบลงในที่สุด นางพูดด้วยเสียงเหนื่อยล้า “ต่อให้เ้าจะถามข้า นั่นก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ข้าจำอะไรไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่า มีใครสักคนเคยพูดเช่นนี้กับข้าในตอนเด็ก แต่คนคนนั้นต้องไม่ใช่เฟิ่งสือหนิงแน่ๆ หากเป็นาง ข้าคงยังจำได้” นางหันไปมองซูกู้เหยียน ก่อนจะเริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง “คำตอบของข้าทำให้เ้ารู้สึกพอใจหรือไม่? ข้าไม่ชอบเขียนหนังสือ ดังนั้น ข้าไม่มีทางคัด ‘หลักมารยาท’ มาส่งแน่ ตอนนี้ก็ตีเสร็จแล้ว ไม่ทราบว่าข้ากลับไปได้หรือยัง? หากยังชักช้าอยู่อีก อาจารย์ต้องมาตามข้าถึงที่วิทยาลัยหลวงอีกแน่”
เฟิ่งสือจิ่นเดินไปไม่กี่ก้าวซูกู้เหยียนก็ถามขึ้นตามหลัง “ทำไมเ้าถึงเกลียดการเขียนหนังสือขนาดนั้น?”
“เพราะตัวหนังสือของข้าทุเรศไงล่ะ” เฟิ่งสือจิ่นพูดโพล่งออกไป แต่เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว นางก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เพราะนางรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนดึงความทรงจำส่วนหนึ่งออกไปจากสมองเช่นนั้น คำพูดที่ออกมาจากปากให้ความรู้สึกคุ้นเคย ทว่าก็ห่างไกลจนเกินจะเอื้อมถึง นางส่ายหน้าเบาๆ อย่างลืมตัว “ไม่ใช่สิ” นางพูดขึ้นใหม่ “ทำไมั้แ่มาเจอเ้า ชีวิตของข้าก็มีแต่เื่ร้ายๆ นะ ข้าไม่ได้จับพู่กันเขียนหนังสือมาตั้งหลายปีแล้ว”
ซูกู้เหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังหัวเราะหยันด้วยเสียงเย็นเฉียบออกมาเบาๆ เขาคล้ายสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ “เฟิ่งสือจิ่น เ้ามีแผนการอะไรกันแน่? คิดว่าสวมรอย และแสดงเื่ราวระหว่างข้ากับสือหนิงเช่นนี้แล้วข้าจะเชื่อเ้างั้นหรือ? ข้ากับนางแต่งงานกันแล้ว ไม่ว่าเ้าจะพยายามแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเ้าจะกลับมาโดยไม่มีจุดประสงค์อะไรเลย และไม่เชื่อด้วยว่าเ้าจะจดจำทุกอย่างได้ แต่กลับลืม...”
แต่กลับลืมข้าไปจนหมดสิ้น
แต่จะให้เขาพูดถ้อยคำนั้นออกไปได้อย่างไร เมื่อเฟิ่งสือจิ่นหันกลับมา เสียงของซูกู้เหยียนก็หยุดลงพอดี หากพูดคำนั้นออกมา จะดูเหมือนเขายังค้างคา ไม่อยากปล่อยนางไปเสียมากกว่า แต่... ไม่อยากปล่อยนางไปงั้นหรือ? ไม่มีทาง เขาแค่กำลังโกรธเท่านั้น! โกรธที่นางเป็เหมือนหนามทิ่มตำอยู่ในหัวใจของเขาทันทีที่กลับมา โกรธที่นางทำให้เขาอยู่ไม่เป็สุขั้แ่ที่ได้เจอนางอีกครั้ง
เฟิ่งสือจิ่นเห็นว่าเขาเริ่มเหม่อ จึงถามขึ้น “แต่กลับลืมอะไรหรือ? เ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าลืมอะไรไป?”
ซูกู้เหยียนรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดเรี่ยวแรง “ช่างเถอะ ไม่มีอะไร”
เฟิ่งสือจิ่นหมุนตัว แล้วเดินไปที่ประตูทางออก ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับซูกู้เหยียนอีก นางพูดทิ้งท้ายโดยไม่หันกลับไปมอง “หากจะถามว่าข้ากลับเมืองหลวงด้วยจุดประสงค์อะไรละก็ จุดประสงค์ของข้าก็คงจะเป็การรับตำแหน่งราชครูต่อจากท่านอาจารย์เท่านั้น ส่วนเื่ระหว่างเ้ากับเฟิ่งสือหนิง ข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวเลยสักนิด ในเมื่อตอนนี้ข้าเป็นักเรียนของเ้า เช่นนั้น ข้าจะยอมรับมัน และขอให้เ้าทำหน้าที่อาจารย์ให้ดีเช่นกัน”
ชีวิตในวิทยาลัยหลวงน่าเบื่อสิ้นดี ตำราคุณธรรม ปรัชญา หลักกฎหมาย และอีกมากมายทำให้หัวของเฟิ่งสือจิ่นแทบจะะเิอยู่แล้ว นางเที่ยวเล่นบนป่าเขาจนเคยตัว จึงไม่มีความสนใจเื่หลักความรู้พวกนี้เลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น นางััได้ว่าหลิวอวิ๋นชูเองก็มีนิสัยเช่นเดียวกัน ดังนั้น ในแต่ละวัน นอกจากจะต่อสู้กันทั้งในที่ลับและในที่แจ้งแล้ว พวกนางก็มักจะฟุบนอนอยู่บนโต๊ะเหมือนกัน โดยไม่คิดจะฟังอาจารย์สอนเลยสักนิด
เื่น่าสนุกเพียงหนึ่งเดียวในวิทยาลัยหลวงของเฟิ่งสือจิ่นก็คือการนั่งติดกับคนที่พูดมากราวกับนกแก้วนกขุนทองอย่างหลิวอวิ๋นชู หลิวอวิ๋นชูรู้ว่าเื่การต่อยตี ตนสู้เฟิ่งสือจิ่นไม่ได้แน่ จึงไม่เคยท้าประลองกับเฟิ่งสือจิ่นอีกเลย แต่เปลี่ยนมาเป็พูดกัดพูดแขวะ ทำาฝีปากกับนางแทน
ก็เหมือนกับวันนี้ เฟิ่งสือจิ่นเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมกับอากาศสดใสในยามเช้า นางเป็เหมือนสายลมอบอุ่นที่พัดผ่านไปอย่างแ่เบา และหยุดลงที่ข้างกายของหลิวอวิ๋นชู หลิวอวิ๋นชูรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบานใจเป็อย่างมาก แต่สายตาที่มองไปยังเฟิ่งสือจิ่นกลับเต็มไปด้วยความรังเกียจ เขาเบะปาก “ทำไมเ้าถึงเอาแต่ใส่ชุดสีเขียวขุ่นแบบนี้ทุกวันเลย อัปลักษณ์จริงๆ แค่เห็นก็อยากอาเจียนแล้ว” เขาหันไปมองเหล่าคุณหนูที่แต่งกายงดงามดั่งดอกไม้ตาเป็ประกาย “ลองดูคนอื่นสิ เป็ผู้หญิงที่มีอายุเท่าๆ กันแท้ๆ คนอื่นเป็เหมือนบุปผางาม แต่เ้ากลับดูเหมือนกองขี้ควาย... เ้า... เ้า เ้าคิดจะทำอะไร?”
หลิวอวิ๋นชูหันกลับมา พบว่าเฟิ่งสือจิ่นขยับเข้ามาใกล้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พวกเขาอยู่ห่างกันเพียงคืบ กลิ่นลมหายใจของเฟิ่งสือจิ่นทำให้เขาใจลอยไปชั่วขณะ
เฟิ่งสือจิ่นยกมุมปากขึ้นเบาๆ ท่าทางของนางช่างเย้ายวนเหลือเกิน แสงแดดสีทองส่องให้โครงหน้าของนางสว่างเจิดจ้า มันสวยจนหลิวอวิ๋นชูสติหลุดลอยออกไปไกล เฟิ่งสือจิ่นบอก “กลิ่นลมหายใจของเ้าเหม็นเสียยิ่งกว่ากองขี้ควายเสียอีก เ้ากินขี้ควายก่อนนอนแล้วลืมบ้วนปากหรือไง?”
หลิวอวิ๋นชูไม่ตอบ
เฟิ่งสือจิ่นโบกมือผ่านหน้าเขาหลายครั้ง แต่หลิวอวิ๋นชูก็ยังเอาแต่เหม่อ ท้ายที่สุดเฟิ่งสือจิ่นก็ตบไปที่ใบหน้าของเขาหนึ่งครั้ง
หลิวอวิ๋นชูได้สติกลับมาในที่สุด... เขาจับแก้มสีขาวที่บัดนี้มีรอยนิ้วมือสีแดงประทับอยู่ พลางะโด้วยความโกรธ “เฟิ่งสือจิ่น เ้ามาตีข้าทำไมกัน?”