เหอตังกุยเข้าใจความหมายที่เขาเอ่ยถาม พลางคิดในใจ “เ้าหน้าน้ำแข็งก็นินทาผู้อื่นเป็เหมือนกัน” ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบ “สนามแม่เหล็กของเราทั้งสองต่างกัน พวกเราจะเ็ปหากอยู่ด้วยกันนานเกินไป”
“สนามแม่เหล็ก?” เกาเจวี๋ยหันกลับมา คิ้วเข้มได้รูปขมวดมุ่นพลางเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
“ความหมายคือ...คุณชายต้วนเป็คนดี แต่ข้าเป็คนเลว ข้าไม่สามารถให้สิ่งที่เขา้าได้และสิ่งที่ข้า้าเขาก็ให้ไม่ได้เช่นกัน” เหอตังกุยทอดตามองนกกระจิบจิกกินอาหารริมทาง ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง “มีบุรุษที่ดีประเภทหนึ่ง สตรีเห็นคราใดก็อยากจะเป็แม่สื่อให้แก่เขา แต่กลับไม่ได้อยากเก็บเขาไว้ให้ตัวเอง ใต้เท้าเกา ท่านคิดว่าเพราะเหตุใด?”
“เพราะเหตุใด?” เกาเจวี๋ยถามกลับ
เหอตังกุยกวักมือเรียกเจินจิ้งที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าโปรดอภัยข้าด้วย พวกเราทั้งสองอดอยากมาก ไม่ได้กินอิ่มมาหลายวัน เมื่ออิ่มท้องแล้วค่อยตอบคำถามของใต้เท้าก็แล้วกัน ไปกันเถอะ”
เกาเจวี๋ยอ้าปากจะเอ่ยบางสิ่ง ทันใดนั้นพลันเปลี่ยนเป็สีหน้าเ็า หูซ้ายของเขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวบางอย่าง จึงหันมองท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เหอตังกุยเหลือบมองตามก็เห็นรากเล็กของต้นไทรที่ย้อยปกคลุมหนาทึบสั่นไหวน้อย ๆ ทว่าต้นไม้โดยรอบกลับไม่เคลื่อนไหว นี่คือ...
ขณะเหอตังกุยกำลังจะเอ่ยถามเกาเจวี๋ยว่ามองอะไร ก็มีคนลงมาจากรากไทรที่สั่นไหวเมื่อครู่ ดูใกล้ ๆ แล้วกลับกลายเป็สตรีร่างเล็กผู้หนึ่ง
เกาเจวี๋ยขมวดคิ้วพลางก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว ก่อนจะเอ่ยตำหนิไปยังถนนฝั่งตรงข้ามเสียงดัง “เ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? ใครมากับเ้าบ้าง? แล้วมาถึงเมื่อไหร่?”
สตรีผู้นั้นตกต้นไม้กระแทกพื้นอย่างแรง พยายามลุกสองสามครั้งจึงจะลุกขึ้นได้ นางวิ่งมายังถนนอีกฝั่งด้วยร่างโงนเงนพลางเช็ดน้ำตา “ท่านดุข้าหรือ ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าข้าตกต้นไม้ เห็นหน้าข้าทีไรเป็ต้องดุข้าทุกที หากกลับไปเมื่อไหร่ ข้าจะบอกท่านพี่...”
เหอตังกุยเหลือบมองเกาเจวี๋ย ริมฝีปากเขาขบแน่น สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนัก มืดครึ้มราวฝนกำลังจะตกก็ไม่ปาน ขณะนี้สตรีผู้นั้นวิ่งมาใกล้แล้ว ที่แท้ก็เป็เด็กสาวอายุราวสิบสี่สิบห้า นางตัวสูงกว่าเหอตังกุย สวมชุดสีแดง ด้านหลังมีธนูสีเงินแขวนอยู่
ขณะที่เหอตังกุยมองพิจารณาสตรีชุดแดงอยู่นั้น อีกฝ่ายก็มองพิจารณาตนเช่นกัน แววตาของนางเสมือนซ่อนดาบเอาไว้ ช่างแหลมคมเสียจนคนมองไม่สบายใจ
“นี่ เ้าเป็ใคร?” เด็กสาวชุดแดงเอ่ยถาม ลักยิ้มพลันปรากฏบนแก้มทั้งสองของนาง
“เป็คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกัน” เหอตังกุยครุ่นคิดก่อนเอ่ยตอบ
“หมายความว่าอย่างไร?” เด็กสาวขมวดคิ้วมุ่น แววตาเล็กหยีราวกับแต้มสี ปลายจมูกงุ้มเล็กน้อย แม้ใบหน้าจะงดงาม แต่ก็ปกปิดความเป็เด็กไว้ไม่มิด
เหอตังกุยเอียงศีรษะกล่าว “ข้าเป็คนเดินถนนคนที่หนึ่ง แม่นางเป็คนเดินถนนคนที่สอง พวกเราพบกันบนถนนเส้นนี้โดยบังเอิญ จำเป็ต้องเอ่ยถามชื่อแซ่หรือไม่?”
เด็กสาวชุดแดงพิจารณาแววตาของเหอตังกุยด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง ก่อนจะหันไปถามเกาเจวี๋ย “พี่เขย นางเป็ใคร? ท่านซื้อสาวใช้คนใหม่หรือ?”
เกาเจวี๋ยเอ่ยถามคำถามเมื่อครู่อีกครั้ง “พูดมา เ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? มาถึงตอนไหน? มีองครักษ์มากับเ้าด้วยหรือไม่?”
เด็กสาวมุ่ยปากพลางเอ่ยด้วยความน้อยใจ “ข้ามาหาท่านพี่ต้วน เหตุใดต้องดุข้าถึงเพียงนั้นด้วย? หรือเพราะท่านซื้อสาวใช้งดงามผู้หนึ่ง จึงดึงหน้าใส่ข้าเช่นนี้? พี่เขยไม่ต้องกังวล ข้าแอบออกมาคนเดียว หากท่านไม่เปิดเผยความลับข้า ข้าก็จะไม่เปิดเผยความลับท่าน...”
เกาเจวี๋ยเอ่ยแทรกอย่างเดือดดาล “อย่าพูดจาเหลวไหล ตอบคำถามข้า รีบบอกมา เ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราอยู่ที่เมืองตู้เอ๋อร์ การมาหยางโจวของจิ่นอีเว่ยในครั้งนี้เป็ความลับ เ้ารู้มาจากที่ใด?”
เด็กสาวชุดแดงกล่าวด้วยแววตาเป็ประกาย “ข้าแอบฟังท่านพี่พูด”
เกาเจวี๋ยปฏิเสธจริงจัง “เป็ไปไม่ได้ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้ามาที่เมืองหยางโจว อย่าใส่ความคนอื่น รีบบอกความจริงมา มิเช่นนั้นข้าจะมัดเ้าแล้วลากกลับไปสอบสวนที่บ้าน” เด็กสาวก้มหน้าสูดจมูกก่อนจะร้องไห้ แต่ก็ไร้ประโยชน์ นางไม่ได้รับความสนใจใด ๆ จากเกาเจวี๋ยเลย
เหอตังกุยเห็นว่าเกาเจวี๋ยดึงเชือกออกจากแขนเสื้อตามที่พูดจริง ๆ นางลอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ พลางครุ่นคิด “เ้าหน้าน้ำแข็งเหมาะแล้วที่จะเป็จิ่นอีเว่ยผู้มีใจคอโเี้ เขาไม่เพียงมีเชือกที่ใช้มัดคนได้ตลอดเวลาเท่านั้น แม้แต่น้องสะใภ้ของตนก็ยังไม่คิดปรานี แววตาของเหอตังกุยจับจ้องร่างเด็กสาวชุดแดงผู้นั้น ด้านหลังนาง...”
เกาเจวี๋ยยกเชือกพลางเข้าใกล้เด็กสาวผู้นั้นด้วยท่าทีน่าหวาดกลัว เมื่อเด็กสาวชุดแดงเห็นว่าเกาเจวี๋ยจะมัดตนจริง ๆ จึงใแล้วคิดจะวิ่งหนี
“หยุดนะ” เหอตังกุยก้าวแทรกกลางระหว่างเกาเจวี๋ยและเด็กสาวเพื่อจะห้ามปราม สายตาของทั้งคู่พลันมองที่นาง เหอตังกุยหันอีกด้านพลางเอ่ยกระซิบกับแม่นางชุดแดง “แม่นาง กระโปรงด้านหลังของเ้า”
เด็กสาวในชุดสีแดงหน้าซีดเผือด นางัักระโปรงด้านหลังของตน ทันใดนั้นสีหน้าก็แดงเรื่อ ก่อนจะมองเหอตังกุยพลางเอ่ยถามตะกุกตะกัก “ทำอย่างไรดี? ข้า...รีบคิดวิธีช่วยข้าที”
เหอตังกุยครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “แม่นางยืมเสื้อคลุมจากใต้เท้าเกาคลุมไว้เสียก่อน ค่อยไปหาซื้อชุดมาเปลี่ยน ข้าจำได้ว่าถนนถัดไปมีร้านตัดเย็บชุดร้านหนึ่ง ที่นั่นอาจมีชุดพร้อมใส่ขายก็เป็ได้” เมื่อกล่าวจบก็ชี้ที่ตรอกเล็กด้านหลัง “จากตรงนี้ไป เลี้ยวอีกหน่อยก็ถึงแล้ว”
เด็กสาวชุดแดงได้ยินดังนั้นก็มองที่เกาเจวี๋ยทันที พลางจับจ้องเสื้อคลุมของเขา “ท่านพี่เขย...”
เกาเจวี๋ยมองตรงไปที่เด็กสาวผู้นั้นแต่ไม่ทันเห็นสถานการณ์ด้านหลังของนาง ทว่าก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างนางและเหอตังกุย อีกทั้งยังเห็นสีหน้าของสาวน้อยแดงระเรื่อมาก “อย่าคิดว่าเื่จะจบง่าย ๆ ไปซื้อชุดแล้วรีบกลับมา หากเ้ากล้าหนี เฮอะ เ้าคิดว่าเ้าจะหนีได้ไกลสักเท่าไรกัน รีบไปรีบมา”
เด็กสาวรับเสื้อคลุมประหนึ่งรับของล้ำค่า นางเหลือบมองเหอตังกุยพลางเอ่ยกับเกาเจวี๋ย “ข้าอยากให้นางนำทางข้า” เห็นได้ชัดว่านางคิดว่าเหอตังกุยเป็สาวใช้ที่เกาเจวี๋ยซื้อมาใหม่ เพราะชุดที่นางใส่นั้น แม้แต่สาวใช้ตระกูลร่ำรวย นางก็ยังเทียบไม่ติด
นำทางก็ไม่นับว่าเป็เื่หนักหนาอันใด นางอยากไปดูเหมือนกันว่าร้านตัดเสื้อมีชุดพร้อมใส่ขายหรือไม่ เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงไม่รอให้เกาเจวี๋ยเอ่ยตอบ เหอตังกุยหยิบเงินออกจากถุงตุง ๆ ยัดใส่มือเจินจิ้งพลางเอ่ย “ข้าเพิ่งเห็นร้านอาหารเช้าริมถนนร้านที่สองทอดเปาะเปี๊ยะและขนมงา กลิ่นหอมยิ่งนัก เ้าและใต้เท้าเกาไปกินรอพวกข้าก่อน สั่งซุปหูฉลามให้ข้าหนึ่งถ้วย กลับมาข้าจะได้กินเลย ไปเถอะ”
เจินจิ้งรับเงินพลางมองเกาเจวี๋ยด้วยสายตาหวาดกลัว ก่อนจะวิ่งไปที่ร้านอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว เดิมทีเกาเจวี๋ยไม่พอใจท่าทีเ้ากี้เ้าการของน้องสะใภ้ที่มีต่อเหอตังกุย นางเป็น้องแท้ ๆ ของภรรยาเขา มีนิสัยเอาแต่ใจ ชอบโกหกและมักจะสร้างปัญหา นางเป็ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนราวไข่มุกในฝ่ามือของฝั่งพ่อตา แต่ในเมื่อเหอตังกุยเต็มใจนำทางด้วยตัวเอง เขาจึงไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงจับจ้องใบหน้ากลมเล็กขาวเนียนของเหอตังกุยด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนจะหมุนตัวมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารเช้า
เด็กสาวในชุดสีแดงมองแผ่นหลังของเกาเจวี๋ยด้วยความใเล็กน้อย ก่อนจะหันมองเหอตังกุยพลางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “นี่ เ้าเป็ใครกันแน่ เหตุใดเขาจึงเชื่อฟังเ้าเพียงนี้ บอกให้ไปเขาก็ไป พวกเ้าสองคนเป็อะไรกัน?”
เหอตังกุยไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงประหลาดใจกับเื่กินอาหารเช้าถึงเพียงนั้น แม้ตนจะไม่ได้ดูแลพวกเขาด้วยตัวเอง แต่เ้าหน้าน้ำแข็งก็ต้องกินข้าวเหมือนกัน เขาไม่ใช่รูปปั้นในอารามเสียหน่อย
เหอตังกุยกล่าวตอบ “เป็เพียงคนเดินผ่านไปมาบนท้องถนนเท่านั้น” สิ้นเสียงก็มุ่งหน้าไปยังร้านตัดเสื้อทันที นาง้าชุดบุรุษที่ใส่สบายและเหมาะกับการเดินทางยามค่ำคืนสักสองสามชุด แม้นางจะไม่ได้รับกำลังภายใน ทว่าก็คิดจะเริ่มฝึกขั้นพื้นฐานเช่นท่าหม่าปู้ การฝึกเช่นนี้เป็ผลดีต่อร่างกายของนางในการฝึกวรยุทธ์
ชาติก่อนนางเริ่มเรียนวรยุทธ์ในวัยสิบเก้าปีซึ่งเลยวัยเหมาะสมในการฝึกไปแล้ว อย่างไรก็ตาม นางฝึกวรยุทธ์ที่แท้จริงได้สำเร็จในที่สุด แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือมือซ้ายเป็ตุ่มเื มือขวาหยาบกระด้าง ทว่าปัจจุบันร่างกายของนางมีอายุเพียงสิบปีเท่านั้น หากไม่รีบฝึกวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานให้ดีเสียั้แ่ตอนนี้ นางจะต้องขอโทษตนเองที่ต้องทนรับความเ็ปจากการถืออาวุธหนักกว่าหกสิบจินเหมือนในอดีตเป็แน่ ยิ่งไปกว่านั้น กำลังภายในของนางในเวลานี้แข็งแกร่งกว่ากำลังภายในขั้นสูงสุดของนางในชาติที่แล้วเสียอีก การฝึกของนางจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีเ้าหน้าน้ำแข็ง ต้องขอบคุณเขามากทีเดียว...
เด็กสาวชุดแดงเดินกระทบไหล่นางพลางเอ่ยถามอย่างไม่ปักใจเชื่อ “เ้าเป็สาวใช้คนใหม่ของพี่เขยข้าใช่หรือไม่? เ้าชื่ออะไร?” เด็กสาวเห็นเหอตังกุยเหม่อลอยและมีท่าทีไม่สนใจ นางจึงพุ่งไปด้านหน้าของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าดุร้าย “นี่เรียกว่าวิชาตัวเบา เก่งกาจมากใช่หรือไม่? วรยุทธ์ของพี่สาวข้าสูงกว่าข้ายิ่งนัก อีกทั้งนางยังเคยสังหารคนมาแล้ว บอกความจริงข้ามาเดี๋ยวนี้ เ้าเป็อนุชายาคนที่เท่าไหร่ของพี่เขยข้า?”
เหอตังกุยหาวหวอด พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าห่วงใย “แม่นาง กระโปรงด้านนอกของเ้าสกปรกแล้ว อีกหน่อยเสื้อคลุมของพี่เขยเ้าก็ต้องสกปรกด้วย ไม่เป็อะไรจริง ๆ หรือ?”
เด็กสาวในชุดสีแดงตกตะลึง ก่อนจะถลึงตามองเหอตังกุยพลางกล่าว “ข้าจะคิดบัญชีเ้าทีหลัง” พูดจบก็วิ่งตรงไปยังร้านตัดเสื้อที่อยู่ไกล ๆ อย่างรวดเร็ว
เหอตังกุยเพ่งสมาธิที่หูทั้งสองข้าง รับรู้ถึงเสียงฝีเท้าคนเดินขวักไขว่ เสียงพูดคุย เสียงทำกับข้าวและเสียงกินอาหารตามถนนได้ชัดเจน อีกทั้งยังรับรู้ว่าฝีเท้าของเด็กสาวผู้นั้นเบากว่าฝีเท้าผู้อื่น นางคงเคยเรียนวรยุทธ์มาบ้างแล้วจริง ๆ แต่เมื่อเปรียบฝีเท้านางกับตน เด็กสาวผู้นั้นยังมีฝีเท้าที่หนักกว่าเหอตังกุยอย่างเห็นได้ชัด นี่ไม่เท่ากับว่ากำลังภายในของตนแข็งแกร่งกว่ากำลังภายในของนางหรอกหรือ?
เหอตังกุยครุ่นคิดพลางเดินเข้าไปในร้านตัดชุด แต่กลับไม่พบเด็กสาวชุดแดงที่เข้ามาก่อนหน้า นางเปลี่ยนชุดอยู่ด้านหลังร้านกระมัง เหอตังกุยจึงเริ่มหาเสื้อผ้าแบบที่ตน้า ทั้งยังขอให้เ้าของร้านนำเสื้อผ้าบุรุษที่ขนาดพอดีร่างของนางออกมา ดูไปหลายแบบทว่าทั้งหมดล้วนเป็ชุดคลุมยาวคอกลม ไม่มีชุดสั้น รัดเอวและเคลื่อนไหวได้สะดวกตาม้า
“ขอถามหน่อยเ้าค่ะ หาก้าให้ท่านตัดชุด เร็วที่สุดกี่วันจึงจะมารับได้เ้าคะ?” เหอตังกุยเอ่ยถามเ้าของร้าน
เ้าของร้านตัดเสื้องุนงงเล็กน้อย เหตุใดแม่นางน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม้าซื้อชุดบุรุษ นางเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษนะจ๊ะ ลูกน้องในร้านของข้ากลับบ้านเกิดไปเก็บเกี่ยวผลผลิต ตอนนี้คนไม่พอ หากอยากตัดชุดก็ต้องรอครึ่งเดือนถึงจะได้รับ แม่นางงดงามเพียงนี้ สวมชุดสตรีจะงามกว่า หากสวมชุดบุรุษจะเทอะทะเกินไป ไม่สู้ลองชุดกระโปรงปักลายดอกไม้ที่เพิ่งตัดเสร็จใหม่ ๆ ดูล่ะ?”
เหอตังกุยส่ายหน้าปฏิเสธพลางเอ่ยถามต่อ “ร้านของท่านมีผ้าไหมสีดำเนื้อหนาและไม่มีลวดลายหรือไม่เ้าคะ?”
ขณะเ้าของร้านกำลังจะเอ่ยตอบ ผ้าม่านฝั่งขวาก็ถูกเปิด เด็กสาวชุดแดงวิ่งออกมาพร้อมชุดกระโปรงชุดใหม่ แต่ยังคงเป็ผ้าโปร่งสีแดงเช่นเดิม นางอารมณ์ดีขึ้นมากเมื่อไม่มีเื่กังวลใจ ก่อนจะมองเหอตังกุยด้วยสายตาเยาะเย้ยแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่เ้ากล้าจองหองตั้งหลายครั้ง ตอนนี้พี่เขยข้าไม่อยู่ด้วย ดูซิว่าจะมีใครหนุนหลังเ้าได้อีก”
เหอตังกุยบอกเ้าของร้านด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อีกประเดี๋ยวข้ากลับมานะเ้าคะ รบกวนเถ้าแก่หาผ้าไหมสีดำไม่มีลวดลายให้ข้าด้วย หากไม่มีสีดำ เป็สีน้ำเงินก็ได้เ้าค่ะ”
เด็กสาวชุดแดงหยิบเงินจากถุงเล็ก ๆ บริเวณเอวโยนไปที่โต๊ะคิดเงินพลางเอ่ย “อ๊ะ ไม่ต้องทอน” เ้าของร้านกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ “ขอบคุณแม่นางมาก ขอให้แม่นางโชคดี เดินทางปลอดภัย” เด็กสาวกลอกตาไปมา ก่อนจะหยิบเงินโยนไปที่อกของเหอตังกุย “อ๊ะ นี่เป็ค่าที่เ้านำทางคุณหนูอย่างข้า”
เหอตังกุยรับเงินแล้วมองดูครู่หนึ่งจึงพบว่าเป็เหรียญเงินดอกเหมย หนักราวสองกรัมครึ่ง เหมือนเงินที่เหล่าไท่จวินหลัวมอบให้นางตอนขึ้นปีใหม่ในชาติที่แล้วไม่มีผิด