หลี่อิงฮว๋าพูดว่า “นางไปบนเขากับอู่โก่วจื่อ บอกว่าจะไปเก็บสมุนไพรขอรับ”
สวี่เจิ้งและหม่าซื่อของบ้านสวี่มีลูกแปดคน เพื่อเป็การประหยัดเวลา และเพราะความที่ไม่รู้อักษร จึงตั้งชื่อไม่เป็ อาศัยเรียกบุตรชายบุตรสาวเป็ ต้าโก่วจื่อ (เ้าหมาใหญ่) เอ้อร์โก่วจื่อ (เ้าหมารอง) สามโก่วจื่อ (เ้าหมาสาม)…
อู่โก่วจื่อ เป็บุตรีคนที่ห้าของสองสามีภรรยา ปีนี้อายุเก้าขวบ อายุเท่าหลี่หรูอี้
เ้าของร่างเดิมของหลี่หรูอี้เป็สหายสนิทกับอู่โก่วจื่อจนเรียกได้ว่าคุยกันทุกเื่
หลังจากที่หลี่หรูอี้มาที่หมู่บ้านหลี่ ขอเพียงอู่โก่วจื่อมีเวลาว่างก็จะมาเล่นกับนางที่บ้าน
ก่อนหน้านี้หลี่หรูอี้กลัวอู่โก่วจื่อจะรู้ว่านางไม่เหมือนเดิม จึงใช้ข้ออ้างว่า ไม่สบายและปฏิเสธตลอด
ก่อนหน้านี้เดือนกว่า หลี่หรูอี้ถึงกับไปหาอู่โก่วจื่อด้วยตนเองเพราะ้าไปเก็บสมุนไพรบนูเา
ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงกลับไปดีเหมือนตอนแรก
หมู่บ้านหลี่อยู่ที่ตีนเขา คนในหมู่บ้านล้วนอาศัยูเาหากิน ฤดูใบไม้ผลิจะไปเก็บผักป่าบนูเา ฤดูร้อนเก็บฟืน ฤดูใบไม้ร่วงเก็บซานจา ฤดูหนาวล่ากระต่ายล่าไก่
่ฤดูร้อนพืชจะใช้เวลาผลิบานออกดอกค่อนข้างสั้น เมื่อฝนตกหนึ่งวันหนึ่งคืน จึงมีพวกเห็ดและผักขึ้นอยู่บนูเามากมาย
เด็กหญิงสองคนสวมชุดที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวที่ทั้งเก่าและขาด เดินแบกตะกร้าไผ่สานไปตามเส้นทางคดเคี้ยวบนูเา
เด็กหญิงร่างเตี้ยผิวดำคนหนึ่ง บนหน้าผากด้านซ้ายมีแผลบวมขนาดเท่าลูกซานจา สวมรองเท้าฟางที่ขาดจนนิ้วเท้าโผล่ออกมา กำลังเดินมองหาเห็ดและผักตี้พลางบ่นว่า “หรูอี้ พวกเรามาช้าไปแล้ว คนข้างหน้าเก็บเห็ดกับผักตี้ไปหมดแล้ว”
เด็กหญิงคนนี้ก็คือ อู่โก่วจื่อของบ้านสวี่
นางมีใบหน้ายาว หน้าผากสั้น คางยื่น จมูกโด่ง ปากหนา หน้าตาธรรมดามาก เสียงแหบเล็กน้อย ดูเผินๆ ยังคิดว่าเป็เด็กผู้ชาย
หลี่หรูอี้กล่าวเสียงเบาๆ “หากไม่มีเห็ดกับผักตี้ พวกเราก็เก็บพวกผักเบี้ย ผักคาวตอง ผักโขม”
อู่โก่วจื่อถามว่า “ผักพวกนั้นกินได้หรือ?”
“กินได้แน่นอน ทั้งยังเป็สมุนไพรอีกด้วย” หลี่หรูอี้บอกสรรพคุณทางยาของผักป่าสามชนิดนี้อย่างละเอียด
“ที่แท้เ้าก็รักษาอาการป่วยให้ผู้อื่นได้จริงๆ” อู่โก่วจื่อพูดอย่างยินดียิ่ง “เช่นนั้นรักษาถุงบนหน้าผากไม่ให้ข้าทรมานกับมันได้หรือไม่?”
หลี่หรูอี้เห็นแผลบวมๆ บนหน้าผากของอู่โก่วจื่อมานานแล้ว “ถุงบนหน้าผากเ้าได้มาเพราะเมื่อวานเ้าออกมาเดินตอนกลางคืน มองทางไม่ชัดเลยไปชนกิ่งไม้เข้า รอข้ากลับไปบ้านก่อน ประเดี๋ยวจะทายาให้เ้า ขอเพียงเ้าไม่เกามันก็จะไม่มีรอยแผลเป็”
“ดีจริงๆ” อู่โก่วจื่อรู้สึกยินดี ถามอีกว่า “เช่นนั้นเ้าทำให้ข้าไม่มีอาการตาบอดกลางคืนได้หรือไม่?”
“ตอนนี้ยังทำไม่ได้” อาการตาบอดกลางคืนเกิดจากการขาดสารอาหาร คนในหมู่บ้านหลี่ส่วนใหญ่ต่างก็ป่วยเป็โรคตาบอดกลางคืนทั้งนั้น คนบ้านหลี่ก็เช่นเดียวกัน
อู่โก่วจื่อทอดถอนใจ “ข้ามีอาการตาบอดกลางคืน ก็รู้สึกหวาดกลัว”
“ข้ารู้” หลี่หรูอี้ถามอย่างสงสัย “เช่นนั้นเ้าจะออกมาเดินตอนกลางคืนทำไม?”
น้ำเสียงของอู่โก่วจื่อกลายเป็อัดอั้นตันใจขึ้นมาทันที “พี่สี่ของข้าไปตัดฟืน แล้วลืมมีดตัดฟืนไว้บนูเา พวกเราทั้งครอบครัวจึงต้องไปหา ข้าหลงทางทั้งยังเจอฝน ฟ้าก็มืดเพียงนั้น ทำให้ข้าใแทบตาย พอเหยียบไปเจอความว่างเปล่าหน้าผากก็ไปชนกับกิ่งไม้จนสลบไป พอข้าฟื้นขึ้นมาก็เช้าแล้ว”
หลี่หรูอี้ขมวดคิ้วถาม “เ้าสลบอยู่บนเขาทั้งคืนเลยหรือ?”
อู่โก่วจื่อพูดเสียงสะอื้น ท่าทางโศกเศร้า “สลบไปหนึ่งคืนเต็มๆ ข้าออกไปตอนบ่ายเมื่อสองวันก่อน เมื่อวานเช้าเพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน คนที่บ้านไม่ไปตามหาข้ากันสักคน และไม่มีใครถามด้วยว่า ข้าไปค้างคืนอยู่ที่ใด ข้าว่าต่อให้ข้าตายพวกเขาก็คงจะไม่สนใจด้วยซ้ำ”
บ้านสวี่มีลูกมาก ไม่ต้องพูดถึงลูกสาวอย่างอู่โก่วจื่อหายไปเลย ต่อให้ทำลูกชายหายไปหนึ่งคน สวี่เจิ้งและหม่าซื่อก็ไม่สนใจที่จะฝ่าฝนขึ้นเขาไปตามหาหรอก
หลี่หรูอี้รู้สึกปวดใจ ปลอบไปว่า “ฝนตกหนักเกินไป ทั้งยังมีฟ้าผ่าด้วย ครอบครัวเ้าคงกลัวว่าหากขึ้นเขาไปตามหาเ้าแล้วจะถูกฟ้าผ่า”
“ในใจของท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายน้องชายไม่มีข้าอยู่เลย พี่สาวของข้าดีกับข้ามาก แต่นางไปเป็สาวใช้ที่ในตำบล ไม่อยู่ที่บ้านแล้ว ที่บ้านไม่มีใครสนใจข้าแล้ว” อู่โก่วจื่อใช้มือทั้งสองปาดน้ำตา หยุดยืนอยู่กับที่ มองไปทางหลี่หรูอี้ “หากเ้าหายไป ต่อให้ต้องทิ้งมีดผ่าฟืน ครอบครัวของเ้าก็คงยินดีขึ้นไปตามหาเ้าทั่วูเา”
หลี่หรูอี้พยักหน้าเล็กน้อย ยื่นมือไปจับไหล่อันผอมแห้งของอู่โก่วจื่อเบาๆ “พวกเราไม่หลงทางแน่นอน ต่อไปเ้าอย่าอยู่ทีู่เาตอนมืดอีกเป็อันขาด ต่อให้มีทองรอให้เ้าไปเก็บ เ้าก็ต้องลงเขาก่อนฟ้ามืด พวกเราไปเก็บผักป่ากันต่อเถิด อีกเดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว”
อู่โก่วจื่อตอบรับแล้วเดินตามหลังหลี่หรูอี้ไป
หนึ่งชั่วยามต่อมา ทั้งสองก็สะพายตะกร้าที่เต็มไปด้วยผักป่าลงเขาไป
หลี่หรูอี้สอนอู่โก่วจื่อไปอีกครั้งว่า จะนำผักป่าไปทำเป็อาหารอร่อยๆ ได้อย่างไร อู่โก่วจื่อจดจำเอาไว้ สายตาที่มองไปทางหลี่หรูอี้มีความชื่นชมและซาบซึ้งเพิ่มขึ้นสองเท่า
ขณะที่กำลังจะเดินออกจากูเา อู่โก่วจื่อผู้มีสายตาคมกริบพบว่ามีนกกางเขนตัวหนึ่งตายอยู่บนกิ่งต้นสน จึงปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว หยิบนกตายตัวนั้นลงมา จะมอบมันให้หลี่หรูอี้
“ข้าไม่เอานกตาย แบบที่มีชีวิตอยู่ข้าก็ไม่เอา” หลี่หรูอี้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่เอานกตาย
“นกกางเขนตัวอ้วนขนาดนี้ หากนำไปถอนขนคงได้เนื้อครึ่งชั่ง นำไปย่างจะได้กินของอร่อยๆ มื้อหนึ่งเชียว” สีหน้าของอู่โก่วจื่อเปล่งประกาย ชูซากนกกางเขนที่แข็งไปแล้วขึ้นสูง “เมื่อปีก่อนข้าเก็บนกกระจอกตายได้สองตัว พวกเราสองคนกินกันคนละตัว เ้ายังบอกเลยว่า ต่อไปหากถ้าเก็บนกตายได้อีกจะต้องแบ่งให้เ้ากินด้วย”
“ไม่ ต่อไปเื่ดีๆ เช่นนี้เ้าไม่ต้องคิดถึงข้าแล้ว ข้าไม่กินนกตาย” หลี่หรูอี้แทบอ้วกอาหารเช้าออกมา นางปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า อู่โก่วจื่อผู้มากน้ำใจไมตรีจึงเก็บนกกางเขนไปเอง
“ข้าจะซ่อนนกตัวนี้ไว้ ตอนกลางวันค่อยเอาออกมาย่างกินคนเดียว” ดวงตาเรียวเล็กของอู่โก่วจื่อมีประกายน้อยอกน้อยใจ
เมื่อหลี่หรูอี้กลับมาถึงบ้านก็รีบนำยาที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ มาทาให้อู่โก่วจื่อ กำชับไปว่า “อย่าให้แผลโดนน้ำเด็ดขาด ต่อให้คันมากก็อย่าเกา”
หลังจากอู่โก่วจื่อกลับไปแล้ว จ้าวซื่อจึงค่อยถามขึ้นว่า “แผลของอู่โก่วจื่อไปโดนอะไรมา?”
หลี่หรูอี้ถอนใจยาว เล่าเื่ที่อู่โก่วจื่อหลงทางจนต้องค้างอยู่บนเขาทั้งคืนให้ฟัง
“พี่หม่าก็จริงๆ เลย ลูกเกือบตายอยู่บนูเาแล้ว นางยังใจกล้าปล่อยให้ลูกขึ้นเขาไปอีก ข้าต้องหาเวลาไปคุยกับนางบ้างแล้ว” จ้าวซื่อกับหม่าซื่อเป็เพื่อนที่ดีต่อกัน
เมื่อปีนั้น สวี่เจิ้งและหม่าซื่อพาต้าโก่วจื่ออายุสามขวบหนีภัยมาด้วยกัน ต้าโก่วจื่อตายไประหว่างเดินทาง เมื่อสองสามีภรรยามาถึงหมู่บ้านหลี่ก็เสียใจจนแทบไปผูกคอตาย
หลี่ซานไปปลอบสวี่เจิ้ง จ้าวซื่อไปปลอบหม่าซื่อ
สองสามีภรรยาจึงค่อยๆ สงบลง ปีต่อมาก็คลอดเอ้อร์โก่วจื่อ ต่อมาก็คลอดบุตรอีกหกคน
ก่อนหน้านี้สองสามีภรรยาคู่นี้ปวดใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ ทว่าตอนนี้มีลูกชายลูกสาวมากแล้ว ต่อให้เกือบทำลูกสาวหายไปคนหนึ่งก็ยังไม่รู้สึกอะไร
หลี่อิงฮว๋าเพิ่งกลับมาจากแปลงผัก เมื่อได้ยินเื่นี้ก็ส่ายหน้า “อู่โก่วจื่อแข็งแรงจริงๆ หมดสติอยู่บนเขาหนึ่งคืนเต็มก็ยังไม่เป็ไข้ แถมวันนี้ยังะโโลดเต้นตามเ้าไปเก็บเห็ดบนเขาได้อีก”
“นางไม่มีไข้ แต่มีแผลบวมขนาดใหญ่อยู่บนหน้าผาก ไม่รู้ว่าหกล้มจนกระเทือนถึงสมองหรือไม่” หลี่หรูอี้กังวลว่า อู่โก่วจื่อจะมีเืออกในสมอง จึงคิดจะสังเกตอาการอีกหลายวันค่อยว่ากันอีกครั้ง
หลี่อิงฮว๋าพูดยิ้มๆ “นางซนอย่างกับลิง ต่อให้ล้มจนกระทบกระเทือนถึงสมองก็ยังฉลาดกว่าคนธรรมดา”
หลี่หรูอี้ทำหน้าย่นย้อนถาม “นางจะซนเหมือนลิงได้อย่างไร?”
.......................................