พระอาทิตย์ลอยขึ้นสูง สายลมฤดูร้อนพัดผ่านแ่เบา ใบไม้งอกงามเต็มต้น แดดที่ส่องกระทบลงมาทำให้เกิดเงาอยู่เต็มพื้น
จู่ๆ มู่หรงฉือก็คิดเื่อะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะถาม “การตายของซุนอวี้เหม่ยมีข้อสงสัยหรือไม่?”
เสิ่นจือเหยียนส่ายหน้า “ข้าไปที่บ้านสกุลเฝิงแล้ว สอบถามเพื่อบ้านสกุลเฝิงไปรอบหนึ่ง ความสัมพันธ์ของเฝิงเคอกับซุนอวี้เหม่ยดีมาก คนในครอบครัวมีความสุขกันดี”
นางพูดพลางครุ่นคิด “ปลาในบึงเสี่ยวเยว่ไม่สามารถกินคนได้อยู่แล้ว ปลาในแม่น้ำลั่วเองก็ไม่สามารถกินคนได้ เช่นนั้นเป็สัตว์อะไรที่กัดซุนอวี้เหม่ยกับเสี่ยวลู่จนกลายเป็แบบนั้น?”
ั์ตาของเขาทอประกายเย็นเยียบ “ข้ายังคิดไม่ออก ปริศนาฝนเืตกที่ตำหนักชิงหยวนเองก็ยังไม่คลี่คลาย”
สองวันมานี้ ตอนกลางคืนเขาไม่สามารถหลับสนิทเลย คิดจนสมองแทบแตกก็คิดไม่ออกว่าฝนเืมาได้อย่างไร เขาจึงเหมือนได้พบกับความท้าทายที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน แต่ก่อนแม้จะเป็คดีฆาตกรรมที่แปลกแค่ไหนลึกลับเพียงใด เป็ฉากที่จัดได้ฉลาดแยบยลเพียงใด เขาก็สามารถสืบจนกระจ่างได้ แต่ว่าในครั้งนี้ เขากลับรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ลึกๆ
เพลงพื้นบ้านหนึ่งเพลง หยกโลหิตตกจากฟ้า ฝนโลหิตตกที่ตำหนักชิงหยวน ปลากินคน ฉากที่จัดขึ้นมาง่ายๆ แต่กลับไม่มีเบาะแสใด เขายังจับจุดสำคัญที่สุดไม่ได้
เขาไม่รู้ว่าหากไม่อาจไขปริศนาได้ทันเวลา เื่นี้จะมีผลลัพธ์ที่น่ากลัวอย่างไรตามมา
“เปิ่นกงอยากจะไปดูที่ตำหนักชิงหยวน” มู่หรงฉือกล่าว
“อืม ข้าเองก็จะไปด้วย” เสิ่นจือหยวนหันไปมององค์รัชทายาททันทีก่อนจะชะงักไป
แสงแดดเจิดจ้าส่องกระทบลงบนใบหน้าของเตี้ยนเซี่ย ความงดงามในโลกนี้ยังงามไม่เท่ารูปหน้าอันงามวิจิตรดั่งภาพวาดของเตี้ยนเซี่ย โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นส่องประกายเหมือนแก้วหลิวหลี ดวงตาสีดำราวไข่มุกดำแวววาว คิ้วเรียวดำ...ความรู้สึกลึกล้ำน่าพิศวงที่ดูดกลืนิญญาผู้คน...
มู่หรงฉือเห็นสายตาของเขาเหม่อลอยจึงเอ่ยปากถาม “เป็อะไรไปหรือ?”
เขาพลันรู้สึกตัวก่อนจะพูดอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่มีอะไร แค่จู่ๆ มีความคิดบางอย่างแล่นผ่านไป แต่ก็จับไม่ได้”
“อะไรหรือ?” นางถามต่อ
“เป็แค่แสงวาบผ่านไป จับไม่ได้แล้ว” เขาเดินไปด้านหน้าอย่างคนมีชนักติดหลัง
ในชั่วครู่นั้น หัวสมองของเขามีความคิดบ้าบอปรากฏขึ้นมา เขาที่เห็นหน้าตาของเตี้ยนเซี่ยมาจนเคยชิน กลับรู้สึกว่าเตี้ยนเซี่ยมีความงดงามราวกับสตรี
จนถึงขั้นงามกว่าสตรีทั่วไปอีก
เขาเร่งฝีเท้าให้ให้เดินไวขึ้น สลัดความคิดน่าขันไร้สาระพวกนั้นทิ้งไป
เมื่อมาถึงตำหนักชิงหยวน มู่หรงฉือจึงไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อก่อน
ถึงแม้ข่าวลือในวังจะแพร่กระจายออกไปจนสะท้านะเืราชสำนัก จิตใจของคนต่างพากันหวาดหวั่น ทว่าตำหนักชิงหยวนได้ปิดผนึกไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมีคนนำเื่นี้ไปบอกมู่หรงเฉิง
นางเป็คนออกคำสั่งให้ปิดตำหนักไว้ หากมีคนขวัญกล้ามาบอกเสด็จพ่อแม้แต่น้อย นางก็จะจัดการขั้นเด็ดขาด
ร่างกายของเสด็จพ่อค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้น แต่วันนี้ยังดูไม่ค่อยสนชื่นเท่าไหร่ ทว่าก็ยังถามถึงการเรียนของนางอยู่
“เสด็จพ่อโปรดวางใจ ลูกจะเป็องค์รัชทายาทตามตำแหน่ง” นางยิ้มสดใส “เสด็จพ่อเองก็จะต้องรับปากลูกว่าจะพักรักษาตัวให้ดี”
“ได้ๆๆ เจิ้นจะไม่เชื่อคำพูดของนักพรตพวกนั้นอีกแล้ว ไม่อยากได้ชีวิตที่ยืนยาวไม่แก่เฒ่า” มู่หรงเฉิงยิ้มอย่างรักใคร่ “เ้าเองก็จะต้องเรียนรู้จากอวี้หวางให้มาก เรียนรู้การบริหารแคว้นให้ดี”
“ลูกจะเรียนรู้พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค มู่หรงฉือก็กล่าวลา เมื่อออกมาก็เห็นองครักษ์สองคนยกบันไดไม้มาวางไว้ที่ด้านล่างตำหนัก
เสิ่นจือเหยียนบอก “เตี้ยนเซี่ย ข้าจะขึ้นไปดูสักหน่อย”
นางกำชับ “เ้าก็ระวังหน่อย”
องครักษ์สองคนจับบันไดไม้เอาไว้ให้มั่นคง เสิ่นจือเหยียนก้าวขึ้นไปทีละก้าว ปีนขึ้นไปบนหลังคา
แสงอาทิตย์ส่องลงมากระทบกับหลังคาหลิวหลีจนแยงตา
ในที่สุด เขาก็มายืนอยู่บนจุดสูงสุดของหลังคา ก่อนจะกวักมือมาทางนาง เผยรอยยิ้มสดใส
หากไม่ใช่เพราะไม่อยากเปิดเผยความสามารถของตนเอง มู่หรงฉือก็คงจะปีนขึ้นไปดูแล้ว
การตรวจสอบใช้เวลาราวหนึ่งถ้วยชา เสิ่นจือเหยียนถึงได้ลงมา
ครั้นออกมาจากตำหนักชิงหยวน นางก็รีบถามทันที “พบสิ่งใดหรือไม่?”
“ไม่พบอะไร” ความจริงเขาก็คิดอยู่ก่อนแล้วว่าผลจะออกมาเช่นนี้ เพียงแต่อยากจะขึ้นไปดู้าเพื่อให้สงบใจลงได้เท่านั้น ฝนโลหิตในวันนั้นคงชะล้างความเป็ไปได้ทั้งหมดไปแล้ว
“ผลลัพธ์นี้อยู่ในการคาดเดา” นางถอนหายใจอย่างผิดหวัง
“เตี้ยนเซี่ย ข้ารู้สึกว่าเื่นี้ยังไม่จบ คนที่อยู่เื้ัไม่มีทางหยุดมือ” ใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นจือเหยียนเผยรอยยิ้มลึกลับยากคาดเดาออกมา
“แย่งชิงแคว้น...” มู่หรงฉือไม่กล้าคิด ตำหนักชิงหยวนที่ได้รับการปกป้องและจัดเวรยามอย่างเป็ขั้นตอนจะต้องพบกับการเปลี่ยนเป็แปลงที่น่าใ
ภาพเสด็จพ่อนอนจมอยู่ในกองเื หากกลายเป็ความจริงขึ้นมา นางจะรับได้อย่างไร?
คนที่อยู่เื้ัไม่มีทางรามือ นั่นหมายความว่าต่อไปจะเกิดเื่กับเสด็จพ่อใช่หรือไม่?
ในวินาทีนี้ ทั่วทั้งร่างกายของนางพลันสูญสิ้นเรี่ยวแรง ไอเย็นพุ่งขึ้นจากเท้า ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจของนาง นางยกมือขึ้นกุมอก หายใจไม่ออก
เสิ่นจือเหยียนเห็นใบหน้าของนางขาวซีด หอบหายใจ จึงอดใไม่ได้ “เตี้ยนเซี่ย...”
ขาทั้งสองข้างของนางงอลงน้อยๆ ก่อนคนจะล้มลงไป เขารีบเข้าไปพยุงนาง “เตี้ยนเซี่ย ท่านเป็อะไรไป?”
มู่หรงฉือจับข้อมือของเขา ฝืนทรงตัวให้มั่นคง “เื่ต่อไปที่จะเกิดขึ้น...จะเกิดอะไรขึ้นกับเสด็จพ่อ...”
แย่งชิงแคว้น! คนผู้นั้นจะแย่งชิง...
ราชสำนักเกิดการเปลี่ยนแปลง เืไหลนองเป็แม่น้ำ ศพกองเกลื่อนเป็ูเา พระราชวังที่โรยไปด้วยกลีบดอกไม้ เกียรติยศเรืองรองเต็มไปด้วยบารมีอันสูงส่งจะกลายเป็นรกที่เต็มไปด้วยการนองเื
“เตี้ยนเซี่ยอย่าเพิ่งคิดอะไรไปเลย” เสิ่นจือเหยียนพูดปลอบเสียงอ่อน “เื่ที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้ ไม่ว่าจะทหารหรือว่าขุนนางต่างก็รู้ ต่างพูดคุยคาดเดากันไป มีคนจำนวนไม่น้อยที่เดาเื่ที่พวกเราเดาได้เช่นกัน แต่ท่านพ่อบอกว่า ถึงแม้เขาจะมีอำนาจกุมราชสำนัก แต่ว่าในวังกับเมืองหลวงหลายปีมานี้ไม่มีการเคลื่อนไหวแปลกๆ”
“ราชครูเสิ่นพูดเช่นนี้จริงๆ หรือ?” นางจ้องเขา สายตาอ่อนแอไม่สบายใจจับจ้องไปที่เขาอย่างคาดหวัง
ใช่สิ ฉินรั่วได้ส่งคนไปจับตาดูการเคลื่อนไหวของจวนอ๋องอยู่ก่อนแล้ว จับตาดูการเคลื่อนไหวในเมือง หากมีความผิดปกติ นางไม่มีทางไม่รู้
เป็นางที่ตื่นเต้นจนเกินไป
เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น สายตาของเตี้ยนเซี่ยเขียนคำว่าหวาดผวากับหวาดกลัวเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม
เป็สหายขององค์รัชทายาทมานานหลายปี นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเห็นเตี้ยนเซี่ยมีปฏิกิริยารุนแรงแบบนี้ ถึงกับแสดงความรู้สึกจริงๆ ออกมา
กำแพงของวังหลวงเป็สีแดงเข้ม เส้นทางทอดตัวยาวลึก สายลมฤดูร้อนค่อยๆ พัดผ่านมา
มู่หรงอวี้ออกมาจากประตูวังบานหนึ่ง มองไปทางสองคนที่อยู่ด้านหน้าค่อยๆ เดินจากไปไกล
เสิ่นจือเหยียนประคองมู่หรงฉือ ราวกับนักเดินทางที่เดินอย่างยากลำบากท่ามกลางสายลมที่พัดกระหน่ำ จับมือเคียงบ่าเคียงไหล่ พึ่งพากันไป
สายลมปะทะใบหน้าเ็าของมู่หรงอวี้ แต่กลับไม่สามารถพัดพาหมอกควันในแววตาของเขาไปได้
....
บ้านเรือนต่างๆ ในเมืองลั่วหยางจุดคบไฟ ในวังเองก็จุดไฟสว่างไสว
ลมในยามค่ำคืนพัดผ่าน กิ่งก้านของต้นไม้ต่างสั่นไหวทิ้งเงาไหวระริกไปมาทอดลงบนกำแพงวังสีแดง
ฉินรั่วกลับมาจากด้านนอก หรูอี้เห็นนางก้มหน้าราวกับมีเื่ในใจจึงเอ่ยปากถามออกไป “เ้าเป็อะไร? ไม่ได้ไปเอาเสื้อคลุมของเตี้ยนเซี่ยหรือ?”
“ไม่มีอะไร”
ฉินรั่วเดินเข้าไปในห้องบรรทม เอาเสื้อคลุมของเตี้ยนเซี่ยใส่เข้าไปในหีบไม้ใส่เสื้อผ้า
มู่หรงฉือนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะ หยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่าน “ฉินรั่ว ทำไมกลับมาช้าถึงเพียงนี้เล่า?”
ฉินรั่วที่ปกติมีความคิดกระจ่างแจ้ง น้อยมากที่จิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ นับว่าแปลกไปอยู่เล็กน้อย
ฉินรั่วเดินเข้ามา “เตี้ยนเซี่ย ตอนที่หนูฉายไปหยิบเสื้อของเตี้ยนเซี่ยที่ตำหนักลิ่วชางหนูฉายได้ยินเื่ผิดปกติเล็กน้อยเื่หนึ่งเพคะ”
เสื้อของเ้านายในตำหนักไม่ได้ให้โรงซักผ้าในวังซัก แต่เป็หน่วยเสื้อผ้าของตำหนักลิ่วชางเป็คนซัก เสื้อผ้าขององค์รัชทายาทที่ตำหนักบูรพาเองก็เป็หน่วยชางฝูเป็คนรับผิดชอบ ส่วนตำหนักลิ่วชางอยู่ด้านหลังของตำหนักส่วนใน ห่างจากตำหนักบูรพามาก
วันนี้ฉินรั่วคิดจะเดินไปเรื่อยๆ จึงอาสาไปเอาเสื้อของเตี้ยนเซี่ย
“มีเื่อะไร?” ความสนใจของมู่หรงฉือถูกดึงขึ้นมา ฉินรั่วรู้สึกว่ามีเื่ผิดปกติ เช่นนั้นจะต้องมีอะไรแปลกๆ เป็แน่
“หนูฉายได้ยินนางกำนัลของหน่วยชางฝูพูดคุยกันที่ริมกำแพง พวกนางบอกว่าที่เรือนชุนอู๋มีคนตายสองคนเพคะ” ฉินรั่วตอบ
“อ้อ? เป็ใครหรือ?”
“หนูฉายเองก็ไม่ทราบ หนูฉายรับเสื้อมาแล้วก็รีบไปที่เรือนชุนอู๋ ทันได้เห็นองครักษ์ฝ่ายในสี่คนลากกระสอบสองใบออกมา กำลังจะเอาศพออกไปทิ้งที่สุสาน”
เรือนชุนอู๋ตั้งอยู่ทางตะวันตกของวังหลวง เป็สถานที่อันห่างไกลและสกปรกที่สุด เป็เรือนอันมืดมนที่ไม่มีแสงส่องเข้าถึงมากที่สุด ข้าหลวงที่กระทำผิด เฟยผินที่ทำความผิดต้องโทษก็จะเอามาขังเอาไว้ที่นี่ ขอแค่เข้าประตูเรือนชุนอู๋ไปแล้วก็หมายความว่าทั้งชีวิตของพวกเขาจบสิ้นลงแล้ว ไม่มีความหวังใดๆ อีกต่อไป
มู่หรงฉือยังคิดว่ามีเื่แปลกอะไร ดึงสายตากลับมายังหนังสืออีกครั้ง “เรือนชุนอู๋มีคนตายทุกวัน มีอะไรแปลกหรือ?”
ฉินรั่วตอบ “หนูฉายได้ยินนางกำนัลพวกนั้นบอกว่า สองคนนั้นตายมาแล้วสามสี่วัน ร่างทั้งร่างซีดขาว ไม่เหมือนคนตายทั่วไปเพคะ”
มู่หรงฉือเหมือนคิดอะไรออก รีบลุกขึ้นทันที แววตาเจือความสงสัยอยู่เล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ถามออกมา “หรูอี้ มาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เปิ่นกง”
“ดึกขนาดนี้แล้ว เตี้ยนเซี่ยจะออกไปไหนหรือเพคะ?” หรูอี้เข้ามาพอดี ได้ยินคำพูดของเตี้ยนเซี่ยก็รีบปฏิเสธทันที “ไข้ของเตี้ยนเซี่ยยังไม่หายดี ตอนนี้ก็ดึกแล้ว จะออกไปไม่ได้นะเพคะ”
“ฉินรั่ว” มู่หรงฉือแกะเสื้อคลุมตัวเอง แล้วส่งสายตาไปให้ฉินรั่ว
ฉินรั่วจึงทำได้แค่เดินเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เตี้ยนเซี่ยเงียบๆ
หรูอี้ตำหนิฉินรั่วด้วยความโกรธ “เหตุใดเ้าถึงได้ยอมให้เตี้ยนเซี่ยออกไปเสี่ยงอันตรายด้านนอก? หลายวันมานี้ไม่ค่อยปลอดภัย เกิดเื่ขึ้นตั้งมากมาย คลื่นลมเยอะขนาดนี้ยังให้เตี้ยนเซี่ยออกไป หาก...ถุยๆๆๆ ฉินรั่ว เ้าให้เตี้ยนเซี่ยอยู่ในตำหนักบูรพาอย่างปลอดภัยไม่ได้หรือ?”
ฉินรั่วยิ้มสดใส “หรูอี้คนดีของข้า เื่ที่เตี้ยนเซี่ยตัดสินใจไปแล้ว ข้ากับเ้าก็ห้ามไม่ได้ เ้าอยู่ที่นี่คอยรับมือให้ดี มีไหวพริบหน่อย”
ระหว่างที่พูดคุยกัน มู่หรงฉือก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย นางตบใบหน้ารูปไข่ของหรูอี้ที่กำลังโมโหอยู่เบาๆ เลิกคิ้วแล้วยิ้ม “ที่นี่ก็ต้องพึ่งเ้าแล้ว”
หรูอี้มองพวกนางจากไปก่อนจะถอนหายใจ ออกจากตำหนักบูรพาในเวลานี้ไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่ ใช้เส้นทางลับจึงจะปลอดภัยที่สุด
มู่หรงฉือกับฉินรั่วขี่ม้าสองตัวห้อตะบึงไปที่จวนราชครู
ประตูจวนราชครูจุดโคมไฟแขวนเอาไว้สูง มู่หรงฉือยืนรออยู่ด้านข้าง ฉินรั่วไปเคาะประตู
ผ่านไปไม่นาน บ่าวรับใช้ก็มาเปิดประตู ยื่นหน้าออกมาถาม “เ้ามาหาใคร?”
“เสิ่นเซ่าชิงอยู่ในจวนหรือไม่? ข้าคือคนของศาลต้าหลี่ มีเื่ด่วนต้องพบเสิ่นเซ่าชิง”
ฉินรั่วถามอย่างเกรงใจ ขอแค่หยิบยกศาลต้าหลี่ขึ้นมาถึงจะสามารถพบเสิ่นจือเหยียนได้ไวที่สุด
ครั้นบ่าวรับใช้ได้ยินคำว่า “ศาลต้าหลี่” สามคำก็รีบเข้าไปรายงาน
เพราะคุณชายใหญ่ได้กำชับเอาไว้แล้ว หากมีคนของศาลต้าหลี่มาหาก็ให้รีบไปรายงานทันที จะชักช้าไม่ได้
เพียงไม่นาน เสิ่นจือเหยียนก็รีบออกมา เห็นว่าเป็ฉินรั่วก็รู้ว่าเตี้ยนเซี่ยอยู่ด้านนอก
เขาไล่บ่าวรับใช้ออกไป จากนั้นก็เข้ามาทำความเคารพมู่หรงฉือ พูดเสียงเบา “เหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงได้ออกจากตำหนักดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้เล่า? มีเื่ด่วนหรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้