“หลังจากนี้ข้าเองก็ต้องเดินทางไปหาอาจารย์เช่นกัน ข้าคงตามหาหญ้าฟั่นอินไม่เจอแล้ว” เฉินเกอมีสีหน้าจนปัญญาระคนหม่นหมอง ก่อนจะยื่นมือไปตบไหล่จ้าวซีเหอ “พี่จ้าว ฝากท่านดูแลฉือเอ๋อร์ด้วย หากนางได้รับอันตราย ข้าไม่ปล่อยท่านไว้แน่”
จ้าวซีเหอยิ้มกว้าง “ข้าจะปล่อยให้นางเป็อะไรไปได้อย่างไร”
“เอาละ ได้เวลาเดินทางแล้ว หากพวกท่านอยากจะเดินทางออกจากป่าให้ทันก่อนฟ้ามืดก็ต้องรีบเดินทางเดี๋ยวนี้” เฉินเกอมองหนิงมู่ฉือด้วยสีหน้านิ่งขรึม
หนิงมู่ฉือพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองจ้าวซีเหอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จ้าวซีเหอจูงม้ามา อุ้มหนิงมู่ฉือขึ้นไปนั่งบนม้า ก่อนจะตามขึ้นไปทีหลัง จากนั้นหันไปกล่าวลากับทุกคน
หนิงมู่ฉือมองเหล่าทหารเก่าทั้งหลายด้วยใจอาวรณ์ยิ่ง
ครั้นจ้าวซีเหอเห็นแววตาของหนิงมู่ฉือก็รู้สึกเศร้าใจตามไปด้วย เขายิ้มพลางกระตุกสายบังเหียน ม้าพลันวิ่งห้อตะบึงไปข้างหน้า
ตลอดทางหนิงมู่ฉือเอาแต่เงียบไม่พูดแม้สักคำเดียว
“ฉือเอ๋อร์ นี่คือสิ่งที่อย่างไรเ้าก็ต้องเผชิญกับมัน”
หนิงมู่ฉือพยักหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น “ข้ารู้”
ตลอดทางไม่มีผู้คนผ่านไปผ่านมาเลยสักคนเดียว ม้าวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จ้าวซีเหอในชุดสีขาวกอดหนิงมู่ฉือในชุดสีม่วงอ่อนซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าเอาไว้ แววตาของหนิงมู่ฉือกระจ่างใส หากไม่ติดที่นางมีสีหน้าราบเรียบก็คงจะดูน่าเป็มิตรและน่าเข้าใกล้มากกว่านี้
ทั้งสองคนขี่ม้าผ่านป่าจนมาถึงที่รกร้างแห่งหนึ่ง เวลานี้เองที่ฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีส้มก่อนจะมืดลงทุกขณะ
ทั้งสองอยู่บนทางระหว่างไปเยี่ยนฉือ ซึ่งยังห่างจากตำหนักอ๋องในเมืองหลวงอีกไกล ทันใดนั้นเองทั้งสองคนพลันได้ยินนกร้องเสียงดัง
ณ ตำหนักอ๋องในเมืองหลวง ร่างกายท่านอ๋องอ่อนแอลงไม่น้อย ยามนี้มักจะมีลมหนาวพัดผ่าน ท่านอ๋องร่างกายอ่อนแอจนเอาแต่ต้องนอนอยู่บนเตียง ฉู่เมิ่งเอ๋อร์จึงเข้ามาจัดการเื่ทุกอย่างในตำหนักอ๋องแทน นางจึงหยิ่งยโสขึ้นหลายเท่า
หลังจากฉู่เมิ่งเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา นางเดินออกไปดูตำหนักอ๋องอันโอ่อ่า ข้ารับใช้มากมายเดินขวักไขว่ยุ่งอยู่กับงานในมือ นางอารมณ์ดียิ่งนัก นางกลับเข้ามานั่งลงหน้าคันฉ่องให้เหยาหงประทินโฉมแต่งตัวให้ นางมองภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่บนคันฉ่องพร้อมกับยิ้มอย่างโอหัง
“เหยาหง ชาดอันนี้ดูดีหรือไม่” นางหยิบชาดที่เพิ่งซื้อใหม่ขึ้นมาจากในกล่องแล้วทาบลงบนแก้ม ก่อนจะส่องกระจกดูว่าตัวเองงดงามแล้วหรือยัง
่นี้เหยาหงก็มีท่าทีโอหังขึ้นเช่นกัน เพราะในตำหนักอ๋องมีแค่ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ที่เป็เ้านายเหลืออยู่คนเดียว ทำให้ฐานะของนางในตำหนักอ๋องสูงขึ้นตามไปด้วย
เหยาหงยิ้มขณะหยิบพู่กันขึ้นมาวาดคิ้วให้ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ “อนุฉู่ เดิมท่านก็งดงามอยู่แล้วเ้าค่ะ”
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ขมวดคิ้ว มองคิ้วที่อยู่บนใบหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ “นังบ่าวไม่รักดี ประโยคนี้เ้าเหมือนกำลังกัดฟันพูด!”
เหยาหงรีบส่ายหน้าเป็พัลวัน คุกเข่าลงไปกับพื้น “อนุฉู่ ท่านอย่าเพิ่งโมโห บ่าวจะวาดให้ใหม่นะเ้าคะ”
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์พยักหน้าก่อนจะหลับตา เหยาหงวาดคิ้วให้ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ใหม่ คิ้วเรียวยาวประกอบกับใบหน้าขาวนวลเนียน ยิ่งทำให้ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ดูงดงามจับตามากขึ้นอีกหลายส่วน แม้แต่สตรีมาเห็นก็ยังอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว
เวลานี้เอง หญิงรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามารายงานด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “อนุฉู่ อาการป่วยของท่านอ๋องรุนแรงขึ้นอีกแล้วเ้าค่ะ!”
หลังจากฉู่เมิ่งเอ๋อร์ได้ยิน หยิบสีทาปากซึ่งเป็กระดาษเข้าปากแล้วเม้มด้วยแววตาเรียบนิ่ง ไม่มีความใแต่อย่างใด “เหตุใดต้องร้อนรนถึงเพียงนี้ด้วย ไปตามหมอมาก็ใช้ได้แล้ว”
“แต่ว่า…”
“แต่อันใด รีบพูดมา!” ฉู่เมิ่งเอ๋อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ มองหญิงรับใช้ผู้นั้นด้วยแววตาดุร้าย
หญิงรับใช้ผู้นั้นรีบคุกเข่าก้มหน้าลงกับพื้น “แต่อาการป่วยของท่านอ๋องจำเป็ต้องเข้าไปในวังเพื่อเชิญหมอหลวงให้มาดูอาการ แต่อนุฉู่เคยบอกว่า ไม่ให้พวกเราออกจากตำหนัก…”
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน “เหตุใดอาการป่วยของตาแก่นั่นถึงได้ยุ่งยากเช่นนี้ ปกติตาแก่นั้นไม่ชอบข้า แต่ตอนนี้มีแต่ข้าเท่านั้นที่จะช่วยได้ เช่นนั้นก็ส่งคนเข้าไปในวังสิ”
หญิงรับใช้รีบลุกขึ้นยืน ยิ้มพร้อมกับโค้งกายคำนับให้ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ จากนั้นถึงค่อยหมุนตัววิ่งออกจากตำหนักไป
ภายในห้องของท่านอ๋อง ท่านอ๋องซึ่งนอนอยู่บนเตียงส่งเสียงไออย่างรุนแรง พ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้นสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ครั้นเห็นว่ามีหญิงรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งออกจากตำหนักเพื่อเข้าไปในวังก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา
“ท่านอ๋อง อดทนอีกนิดนะขอรับ ข้าส่งคนไปเชิญหมอหลวงจากในวังมาแล้ว อีกไม่นานก็คงจะมาถึง” พ่อบ้านกุมมือท่านอ๋องเอาไว้แน่น
ฉีอันที่ยืนอยู่ด้านข้างมีสีหน้าเป็กังวลยิ่งกว่า เห็นท่านอ๋องร่างกายอ่อนแอพลันถอนหายใจพร้อมกับอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากบ่นว่าออกมา “ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ผู้นี้ช่างใจกล้านัก ท่านอ๋องแค่ไม่สบายเล็กน้อย นางถึงกับทำตัวเป็เ้านายของตำหนักนี้ ได้ยินบรรดาบ่าวรับใช้พูดกันว่า วันนี้นางเชิญพี่สาวน้องสาวของนางจากหอนางโลมมาสังสรรค์กันที่ตำหนัก!”
ท่านอ๋องได้ฟังก็โมโหยิ่งนัก ขณะกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา กลับต้องไอออกมาเสียก่อน พ่อบ้านหันไปถลึงตาใส่ฉีอัน ฉีอันจึงรีบหุบปากฉับทันที
หลังหมอหลวงมาถึงรีบเข้าไปตรวจอาการให้ท่านอ๋องในห้องอย่างรวดเร็ว เมื่อจับชีพจร สีหน้าเคร่งเครียดก็พลันผ่อนคลายลง แสดงความเคารพแก่ท่านอ๋องก่อนจะเอ่ย “เรียนท่านอ๋อง ท่านแค่ต้องลมหนาวจนคออักเสบเท่านั้น มิได้หนักหนา เดี๋ยวข้าน้อยจะเขียนใบสั่งยาให้ท่านนะขอรับ”
พ่อบ้านพยักหน้า ขณะมองหมอหลวงเขียนใบสั่งยาด้วยสีหน้าโล่งใจ
ครั้นได้ใบสั่งยามาก็ยื่นส่งให้ฉีอันเพื่อให้รีบออกไปซื้อยามาต้ม
ยามเที่ยง อากาศอุ่นขึ้น ดอกไม้ในตำหนักอ๋องเริ่มออกช่อ เถาวัลย์ที่เลื่อยอยู่ตามกำแพงเริ่มแตกยอดสีเขียวชอุ่ม ทำให้ตำหนักอ๋องดูสดใสขึ้นมาทันตา
เสียงเคาะประตูของตำหนักอ๋องดังขึ้น หญิงสาวมากมายในเสื้อผ้าสีสันสดใสยิ้มและหัวเราะขณะกำลังเคาะประตู ที่ข้อเท้าของหญิงสาวเหล่านี้มีเชือกสีแดงซึ่งห้อยกระดิ่งเงินผูกอยู่ ยามหญิงสาวเหล่านี้ขยับเท้าจึงเกิดเป็เสียงดังกุ๊งกิ๊ง
ตัวของหญิงสาวเหล่านี้เต็มไปด้วยกลิ่นแป้งและชาดฉุนกึก เสื้อผ้าหลากสีสันที่หญิงสาวเหล่านี้สวมทำให้ผู้คนที่เห็นอดตาลายไม่ได้ หญิงสาวเหล่านี้ยิ้มขณะถือพัดเดินเข้าไปในตำหนักอ๋อง ก่อนจะเดินไปหาฉู่เมิ่งเอ๋อร์
พวกนางยิ้มและหัวเราะกันไปตลอดทาง ทิ้งกลิ่นแป้งและชาดฉุนกึกไว้ตามทาง
ฉีอันเปิดหน้าต่าง ครั้นเห็นหญิงสาวเหล่านี้ยิ้มและหัวเราะเดินเข้ามาในตำหนักอ๋องแต่ไกลก็ขมวดคิ้ว เสียงหัวเราะของหญิงสาวเหล่านี้กำลังรบกวนท่านอ๋องที่กำลังพักผ่อนเพราะไม่สบาย
ท่านอ๋องถอนหายใจ เอ่ยอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนักว่า “ช่างเถิด ปล่อยพวกนางไป ถึงอย่างไรสตรีผู้นั้นก็คงอยู่ในตำหนักนี้อีกไม่นานแล้ว อีกไม่กี่วันซีเหอก็จะพานางหนูหนิงกลับมาแล้ว”