“ตามใจเ้า ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป หลานชายสามของลูกเราจะคลอดอยู่แล้ว เ้าช่วยอยู่อย่างสงบไม่ได้เชียวหรือ? อยู่ห่างกันเพียงนี้ ข้าก็อยากอุ้มหลานชายของข้าบ้างไม่ใช่หรือ!”
หลิวฉีซื่อปฏิบัติต่อครอบครัวฝั่งหลิวสี่กุ้ยแตกต่างไปจากลูกคนอื่นๆ
“เ้าอยากไปก็ไป ให้ตายข้าก็ไม่ไป!” หลิวต้าฟู่เป็พวกเถรตรง สิ่งที่เขาไม่ถนัดที่สุดก็คือการเถียงกับหลิวฉีซื่อ
แต่เขาก็มีนิสัยที่หัวรั้นเช่นเดียวกัน สำหรับเื่ที่ไม่เห็นด้วย ให้เอาวัวเก้าตัวมาฉุดก็ไม่มีทางหันเหทิศทางได้
หลิวฉีซื่อรู้สึกว่าตนเองแต่งงานกับเขา ก็มาพร้อมด้วยสินเ้าสาวที่ก้อนใหญ่กว่า ดังนั้นหลิวต้าฟู่จำต้องฟังคำพูดของนาง
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็เื่ที่เกี่ยวพันกับนางว่าจะสามารถย้ายกลับไปปักหลักที่ตัวจังหวัดได้หรือไม่
“ข้ารู้อยู่แล้วว่า ในใจของเ้ายังมีนางแพศยาคนนั้น เ้าคงเห็นว่านางฝังอยู่ที่นี่จึงทำใจทิ้งนางไว้ไม่ได้ แล้วตอนนั้นทำไมไม่ตายๆ ไปพร้อมกับนางเล่า?”
หลิวต้าฟู่เปรียบดั่งแมวที่ถูกเหยียบหาง เขาลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ “คนเขาตายไปแล้ว เหตุใดเ้าจึงไม่เลิกราวี เ้าจะรังควานจนกระทั่งนางหลับตาไม่สนิทอยู่ใต้ผืนดินเช่นนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นว่าหลิวฉีซื่อและหลิวต้าฟู่ต่างก็พูดจาทิ่มแทงเชือดเฉือนกัน หลิวสี่กุ้ยเกรงว่าทั้งสองจะทะเลาะกันจนบานปลาย สุดท้ายสิ่งที่ตนเองลงแรงไปทั้งหมดจะไม่เหลืออะไร และส่งผลต่อเงินในกระเป๋าของเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขา้าเห็น
“ท่านพ่อ อย่าได้โกรธไป ท่านดูสิ ครอบครัวเราซื้อที่ดินที่นั่น ปีหนึ่งก็เก็บเกี่ยวได้สองฤดู ข้าวเปลือกของเราคงไม่มีพื้นที่ให้เก็บ จำต้องมีโรงเก็บ อีกอย่าง ที่นาดีของเราอยู่ที่นั่น หากว่า้าให้มีผลผลิตที่เร็วหน่อย ก็ต้องจ้างแรงงาน การจ้างคนงานก็ต้องมีที่พักให้ อีกอย่าง ท่านพ่อ ครอบครัวเรา ท่านเชี่ยวชาญการปลูกนาข้าว หากท่านไม่ไปดูเองก็คงไม่ได้ ใครเล่าจะรู้ว่าคนงานเ่าั้จะแอบอู้งานหรือไม่?”
การโน้มน้าวของหลิวสี่กุ้ยเช่นนี้ หลิวต้าฟู่เองก็ฟังเข้าหูอยู่บ้าง เมื่อนึกถึงที่นาดีหนึ่งร้อยไร่ที่นั่น หากไม่ได้ไปดูเอง เกรงว่าคนงานคงอู้งาน ไม่ยอมลงแรงอย่างตั้งใจ
“แม้ว่าข้าจะไป แต่ที่นาในหมู่บ้านสามสิบลี้ของเราก็ห้ามขาย”
หลิวต้าฟู่ไม่ใช่คนไร้เหตุผล เขาคิดว่าเมื่อถึงฤดูทำนาก็ไปดูที่จังหวัด แต่เมื่องานเกษตรว่างก็จะกลับมาที่หมู่บ้านสามสิบลี้ เขาชื่นชอบหมู่บ้านที่ตนเองคุ้นเคยมากกว่า ที่นี่ยังมีผู้าุโเก่าแก่ที่เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ แล้วยังเด็กน้อยที่จับปลาเล่นในแม่น้ำลำธาร แล้วก็อีกมากมาย…
“สี่กุ้ย ผู้เฒ่ามักกล่าวว่า เมื่อคนเราอายุสี่สิบขึ้นไปก็มักจะคิดถึงบ้านเกิด ข้าอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านสามสิบลี้มาครึ่งค่อนชีวิต จะให้จากไป คงทำใจไม่ได้จริงๆ!”
ขณะที่เขาพูดเช่นนี้ก็เข้าสู่ภวังค์แห่งความทรงจำในอดีต
หลิวฉีซื่อเบะปากเงียบๆ ส่วนหลิวสี่กุ้ยก็รู้สึกปวดศีรษะไม่น้อย อาศัยจังหวะที่หลิวต้าฟู่กำลังเหม่อลอยจึงส่ายหน้าให้มารดา เป็สัญญาณให้นางยังไม่ต้องพูดอะไร
“ท่านพ่อ พวกเราเองก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ต้องอยู่ที่แห่งนี้แล้ว นี่คือรากเหง้าของตระกูลหลิวเรา ถึงอย่างไรก็ต้องเหลือทางกลับไว้ให้ลูกหลาน ก่อนหน้านี้ที่ข้าโน้มน้าวท่านแม่ให้สร้างบ้านดีๆ ที่นั่น ก็เพราะนึกถึงครอบครัวเรา ท่านคิดดูเถิด ผ่านพ้นตรุษจีนนี้ไปเสี่ยวหลันก็อายุแปดขวบ หญิงสาววัยนี้หากได้อยู่ในจังหวัด ถือเป็่ที่เหมาะแก่การฝีกมารยาทเพื่อเป็ศรีแก่ตัว ต่อไปจะได้แต่งเข้าไปในตระกูลที่ดี แล้วยังมีน้องสี่ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงข้า หากว่าน้องสี่สอบผ่านซิ่วไฉ แล้วต้องไปเล่าเรียนที่จังหวัดแล้วสอบผ่านจวี่เหริน ก็ต้องไปเล่าเรียนที่มณฑล ต่อไปจึงจะสามารถสอบก้งเซิงได้ เมื่อสอบผ่านจึงจะเข้าสู่สถาบันกลางแห่งการเรียนรู้”
หลิวสี่กุ้ยพูดออกมาในอึดใจเดียว ฟังดูแล้วไม่รับรู้ถึงความเห็นแก่ตัวของเขาแม้สักนิด ทุกอย่างล้วนทำเพื่อคนในตระกูลหลิวทั้งนั้น
หลิวต้าฟู่พยักหน้าอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินว่าครอบครัวตนเองจะมีบ้านและที่ดินเพิ่ม อันที่จริงในใจเขาก็ปลื้มปีติพอสมควร เพียงแต่ยังนึกเสียดายผืนดินแหล่งกำเนิด
“คำพูดของเ้าก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผล เพียงแต่ว่า รากเหง้าของตระกูลหลิวเราคือที่นี่ ต่อไปหากข้ากับแม่ของเ้าจากไป ก็ต้องมาฝังอยู่ข้างปู่ย่าของเ้า”
หลิวสี่กุ้ยไตร่ตรอง คำพูดของหลิวต้าฟู่นั้นเขาเองก็เห็นด้วย ในเมื่อบิดา้าปักหลักถิ่นฐานเชื้อสายของบรรพบุรุษไว้ที่นี่ ก็ใช่ว่าจะไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนคำพูดและเอ่ยกับหลิวฉีซื่อ “ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ลูกไตร่ตรองไม่ถี่ถ้วน ที่ท่านพ่อพูดมานั้นถูกต้อง หรือไม่ก็เอาเช่นนี้ เราสร้างบ้านที่หมู่บ้านกันก่อน ซึ่งไม่ได้ต้องใช้เงินมากนัก ถึงอย่างไรสักเจ็ดสิบถึงแปดสิบตำลึงก็เพียงพอ ส่วนที่ดินทางนั้นเห็นว่าเอาเงินจากท่านแม่ไปซื้อที่ดินรกร้างไว้ก่อน จากนั้นให้คนมาสร้างเรือนหลังบ้าน โรงเก็บข้าวเปลือกและโรงเก็บอุปกรณ์การเกษตรให้เสร็จก่อน ลูกอาจจะต้องเหนื่อยวิ่งหลายรอบหน่อยก็คิดว่าน่าจะได้ขอรับ”
“เช่นนั้นไม่ได้หรอก ภรรยาของเ้าจะคลอดในฤดูใบไม้ผลิหน้าแล้วไม่ใช่หรือ?” โชคดีที่ในห้องนี้ยังมีหลิวต้าฟู่ที่เป็คนมองโลกอย่างเข้าใจ
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวสี่กุ้ยชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงตอบ “ท่านพ่อ ก็ยังมีเฉี่ยวเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ ถึงเวลาก็ให้นางขอความเมตตาจากฮูหยินใหญ่ให้กลับมาบ้านสัก่”
หลิวต้าฟู่ค้านเหตุผลข้อนี้ไม่ได้ จึงได้แต่พยักหน้า “ถึงตอนนั้นคงต้องให้แม่ของเ้าไปช่วยชี้แนะ เฉี่ยวเอ๋อร์ยังเป็แค่เด็กสาวจะเข้าใจอะไรมากมายได้อย่างไร”
“เอาเถิด ตอนนี้ใช่เวลามาคุยเื่นี้หรือ?” หลิวฉีซื่อรู้สึกว่ายิ่งคุยกับหลิวสี่กุ้ยนานเท่าไรก็ยิ่งมีความสุข เมื่อนึกถึงว่าปีหน้าครอบครัวของตนจะก้าวหน้าอีกมาก
“ท่านแม่ ท่านพ่อคงเป็ห่วงว่าพวกข้าทำงานอยู่ข้างนอกบ้าน จนลืมเื่สำคัญที่ต้องให้พวกท่านมาอุ้มหลานด้วย”
“แม่รับปากว่าหลังตรุษจีน เมื่อผ่านพ้นเดือนแรกไปจะหาเวลาไปหาเ้า” หลิวฉีซื่อให้เกียรติบุตรชายคนโตคนนี้ยิ่งนัก
หลิวสี่กุ้ยใ เขาหรือจะไม่รู้ว่านิสัยของมารดาเป็เช่นไร? จึงเกรงว่าถึงเวลานางจะไปหาตนเองจริงๆ จึงเอ่ยอย่างร้อนรน “ข้าจะกล้ารบกวนท่านแม่แต่เนิ่นได้อย่างไร แม่ยายของข้าบอกว่า รอนางใกล้คลอดก็จะไปค้างที่บ้านข้า…”
หลิวสี่กุ้ยมีเหตุผลในใจ บ้านของพ่อตานั้นค่อนข้างมีฐานะ
ตอนนี้หลิวจื้อเซิ่งเล่าเรียนในสถาบันที่ปู่ของเขาเป็คนเปิด ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจึงไม่ต้องจ่าย อีกทั้งยังตัดเสื้อผ้าถุงเท้าให้หลายชุด
ส่วนหลิวฉีซื่อนั้น คำพูดที่ว่ารักใคร่หลานชายคนโตก็ดุจลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านผิวทะเลสาบ ไร้ซึ่งร่องรอยทิ้งไว้
ด้วยเื่ราวเล็กน้อยเหล่านี้ ทำให้หลี่ซื่อไม่ได้ชื่นชอบหลิวฉีซื่อนัก
พูดให้ถูกต้องก็คือ ลูกสะใภ้รังเกียจผู้เป็แม่สามีที่ทำตัวไม่น่าเคารพรัก
หลิวฉีซื่อหลงใหลในอำนาจ ชอบหาเื่ กล่าวกันว่าลูกสะใภ้กับแม่สามีมักจะเป็ศัตรูคู่แค้นกันแต่ชาติปางก่อน
เมื่อได้ยินคำพูดนี้จากบุตรชาย หลิวฉีซื่อมีสีหน้าบึ้งตึง “อะไรกัน เ้าฟังแต่คำพูดของภรรยาหรือ? กระทั่งความเห็นของแม่ก็ไม่สนใจแล้วใช่หรือไม่?”
หลิวสี่กุ้ยรีบปลอบโยน “ท่านแม่ ได้โปรดอย่าเข้าใจผิด ลูกกับหลี่ซื่อนั้นเป็ห่วงท่านแม่ หลังจากพ้นเดือนหนึ่ง อากาศยังหนาวเหน็บ ไม่้าให้ท่านแม่ทรมานกับการเดินทางไกล จึงคิดว่ารออากาศอุ่นกว่านี้หน่อย จะส่งคนให้มารับท่านพ่อกับท่านแม่ไปยังจังหวัด จากนั้นจะได้พาท่านพ่อไปเปิดหูเปิดตาและดูที่นาด้วย ท่านพ่อต้องช่วยเป็หูเป็ตาให้อีกแรง”
เขาเปลี่ยนเื่ให้มาทางหลิวต้าฟู่แทน ก่อนจะโน้มน้าว “ท่านพ่อ ถึงตอนนั้นท่านต้องมานะขอรับ มิเช่นนั้น ที่นาที่ท่านแม่อุตส่าห์ซื้อมาได้อย่างยากลำบาก คงถูกคนงานไม่รู้เื่เ่าั้ทำลายแน่”
หลิวต้าฟู่จุดยาสูบอีกครั้ง เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าก็ดีขึ้นมากและตอบว่า “ต้องละเอียดหน่อย จ้างคนงานที่ขยันหมั่นเพียร เราเองก็ไม่ใช่บ้านที่ใจแคบ หากพวกเขาทำงานอย่างตั้งใจ เราย่อมต้องตอบแทนอย่างดีงาม บอกให้พวกเขาวางใจได้ คนที่มาทำงานเช่นนี้ คงเพราะที่บ้านเองก็ใช้ชีวิตไม่ได้”
หากบอกว่าหลิวฉีซื่อนั้นเป็พวกเมตตาจอมปลอม เช่นนั้นหลิวต้าฟู่ก็น่าจะเป็คนที่มีความเมตตาของจริง
เขาทํางานหนักมาหลายปีย่อมเห็นใจคนงานที่ออกมาหางานทำ ขอเพียงขยันตั้งใจ เขาที่เป็นายไม่มีทางหักเงินค่าจ้าง หากว่าคราใดที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดี เขาเองก็เต็มใจที่จะให้มากเป็พิเศษ
หลิวต้าฟู่มีนิสัยของคนพอเพียง!
หลิวสี่กุ้ยแอบมองดูหลิวฉีซื่อ เมื่อเห็นนางไม่แม้แต่จะมองผู้เป็สามี จึงมีบทสรุปในใจ
หลิวต้าฟู่บ่นพึมพำอีกสักพัก บุตรชายคนโตก็นั่งฟังไปยิ้มไป เื่ที่บิดาสั่งมา นอกเสียจากเื่ที่ต้องหาคนที่ขยันหน่อย เื่อื่นเขาก็ไม่ได้ฟังเข้าหูแต่อย่างใด ย่อมไม่ได้้ารับปากจริงๆ
อย่างมากหากหลิวต้าฟู่ถามขึ้น เขาก็หาข้ออ้างบอกว่าตัวเองค่อนข้างยุ่ง แล้วพูดอ้างไปเรื่อยก็พอ
ความรำคาญใจของหลิวฉีซื่อเริ่มเผยออกมา หลิวสี่กุ้ยจึงหาวและบอกว่าดึกมากแล้ว
หลิวต้าฟู่เองก็ยังไม่ได้ล้างหน้าล้างตา หลิวฉีซื่อจึงสั่งให้ชุ่ยหลิวไปตักน้ำมาให้เขาหนึ่งกะละมัง จากนั้นรับใช้เขา
หลิวต้าฟู่ตามชุ่ยหลิวเข้าไปในห้องตะวันตก
หลิวฉีซื่อลดเสียงลงและพูดกับบุตรชายคนโตว่า “ก่อนหน้านี้เ้าส่งสัญญาณให้แม่ ตอนนี้พ่อเ้าไปแล้ว เ้ามีอะไรก็รีบพูด”
นางประเมินว่าเมื่อหลิวต้าฟู่ล้างหน้าล้างตาเสร็จคงเร่งให้เข้านอนเป็แน่
หลิวสี่กุ้ยจัดแจงความคิด จากนั้นเอ่ยถามด้วยเสียงค่อย “ท่านแม่ ในสี่พี่น้องของเรามีแต่น้องชายที่ไม่ค่อยได้เล่าเรียน ต่อไปข้าต้องอยู่ที่จังหวัด เมื่อท่านพ่อท่านแม่แก่ชราก็ต้องไปอยู่บ้านในจังหวัด ลูกเองจะได้ดูแลได้ทั้งเช้าทั้งเย็น ส่วนน้องรองก็ต้องปักหลักที่ตำบลเหลียนซาน ส่วนน้องสี่ ก็ต้องมุ่งสู่หนทางของบัณฑิต”
หลิวฉีซื่อตอบอย่างเ็าว่า “เ้าสามนั้นหรือ? ก็ต้องอยู่ที่หมู่บ้านสามสิบลี้แน่นอน เขาเป็เพียงคนที่เชี่ยวชาญการทำนา คงได้แต่ทำนาอยู่ในชนบท นี่คือชะตากรรมของเขา โทษใครไม่ได้”
“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงไม่เข้าใจความหมายของข้าเล่า!”
หลิวฉีซื่อสบตาเขาพร้อมกับหรี่ตาลง จากนั้นเอ่ยถามด้วยแววตาสงสัย “เ้าไปได้ยินอะไรมาหรือ? วางใจเถิด ข้ามีแผนการในใจ ชาตินี้เขาต้องอยู่ในหมู่บ้านสามสิบลี้ ข้าไม่มีทางพาเขาไปจังหวัดด้วยแน่”
ในตอนนั้นหลิวฉีซื่อบอกว่าไม่ให้หลิวซานกุ้ยเล่าเรียนต่อ หลิวต้าฟู่เองก็เห็นด้วย
ชั่วพริบตา นางก็นึกขึ้นได้อีกเื่หนึ่งจึงเอ่ย “เื่ที่เราซื้อที่นาในจังหวัดก็ห้ามบอกกับเขา”
“ท่านแม่ ข้าจะพูดได้อย่างไร เื่ตอนนั้นข้าเองก็พอจำได้ ถึงอย่างไรบ้านเรากำลังจะได้ดีแล้ว แน่นอนว่าที่เป็เช่นนี้เพราะผลงานของท่านแม่ทั้งนั้น”
หลิวฉีซื่อพยักหน้า นางเป็หัวเรี่ยวหัวแรงจริงๆ หากไม่มีฉีหรุ่ยเอ๋อร์ ก็คงไม่มีความมั่งคั่งของตระกูลหลิวในเวลานี้
“มั่นใจได้ว่าต่อไปครอบครัวของเราจะร่ำรวยขึ้นและร่ำรวยขึ้นเท่านั้น”
หลิวฉีซื่อทนอยู่ในหมู่บ้านสามสิบลี้มาหลายสิบปี ในที่สุดก็จะได้หลุดพ้นจากสถานที่บ้านนอกแห่งนี้ แค่คิดก็สุขใจแล้ว
“ท่านแม่ ข้าขอพูดอะไรที่ไม่เคารพสักหน่อยเถิด หากถึงวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่จากไป บ้านนี้คงต้องแยกครอบครัวกันสักวัน ถึงตอนนั้น ท่านแม่คงร่ำรวยมั่งคั่งแล้วไม่ใช่หรือ? ท่านลองคิดดูว่า ครอบครัวเรามีทั้งเซิ่งเอ๋อร์ แล้วก็จื้อเอ๋อร์ เป่าเอ๋อร์ของน้องรอง อีกทั้งน้องสี่ ลูกหลานบ้านเราต่างก็เรียนดีทั้งนั้น เช่นนั้นอนาคตคงไม่ต้องเอ่ยถึง จำต้องมีบัณฑิตที่ได้เป็ขุนนางแน่นอน มรดกที่ท่านแม่สั่งสมมาอย่างยากเย็น แล้วก็สายสันพันธ์ของน้องสี่ที่สั่งสมมา นับว่าเป็ทรัพย์สมบัติที่ไม่น้อยทีเดียว”
เมื่อมองดูใบหน้าของหลิวฉีซื่อที่นิ่งดุจน้ำ หลิวสี่กุ้ยก็โล่งอก
คำพูดของเขาชัดเจนมากว่า อย่าปล่อยให้หลิวซานกุ้ยที่ขาดคนสืบสกุลได้ผลประโยชน์ หากมีคนแบ่งมรดกลดลงไปหนึ่งคน ครอบครัวของเขาก็จะได้ส่วนแบ่งเพิ่ม
“ท่านพ่อตัวดีของเ้าคงไม่ยอม”
หลิวฉีซื่อย่อมเข้าใจความหมายของบุตรชายคนโตได้ทันที เพียงแต่ว่าหลิวต้าฟู่จะไม่ค่อยมีปากมีเสียงในยามปกติ แต่หากถึงคราวที่หัวรั้น วัวเก้าตัวก็ฉุดไม่อยู่จริงๆ
มนุษย์เราย่อมมีจิตใจที่เห็นแก่ตัว ตอนนี้หลิวฉีซื่อกำลังชิงชังครอบครัวหลิวซานกุ้ยที่เป็ตัวอุปสรรค
เมื่อเผชิญกับผลประโยชน์ทับซ้อนครั้งใหญ่ การจะเหนี่ยวรั้งครอบครัวหลิวซานกุ้ยไว้เป็บ่าวรับใช้ที่ไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง จึงกลายเป็เมฆที่ล่องลอยไป
เพราะคนทั้งครอบครัวก็ไม่ได้ประหยัดเงินได้มากเท่าใด
แน่นอนว่าหลิวซานกุ้ยเป็แรงงานที่ไม่ได้รับผลประโยชน์มานานกว่าสิบปี หลิวฉีซื่อเองจึงได้รับผลประโยชน์จากเื่นี้อย่างคุ้มค่าทีเดียว
เพียงแต่ขณะนี้ในสายตาของนาง บุตรชายคนที่สามไม่ใช่ตัวประหยัดค่าแรงงานอีกต่อไป หากแต่เป็อุปสรรค นางต้องรีบหาวิธีเตะก้อนหินขวางทางนี้ออกไปให้พ้นตา
แต่เื่นี้นางไม่สามารถออกตัวได้ มิเช่นนั้นหลิวต้าฟู่ต้องไม่ปล่อยนางไว้แน่
เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงหันไปมองบุตรชายคนโต ไม่เสียแรงที่มีเขาเป็เืเนื้อ เวลาทำอะไรก็มักจะคิดอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ
แน่นอนว่าหลิวสี่กุ้ยจะไม่มีทางทำให้นางผิดหวัง
“ท่านแม่ เหตุใดเราไม่แยกครอบครัวเขาออกไปเล่า?” หลิวสี่กุ้ยเอ่ยถาม
“ถ้าเ้าแยกแค่ครอบครัวเขาออกไป ท่านพ่อเ้าคงไม่มีทางตกลงแน่”
เื่นี้หลิวฉีซื่อตอบได้อย่างหนักแน่น
-----
