ฤดูหนาวที่เยือกเย็นในยามราตรีอันเงียบเหงาและทุกอย่างเงียบสงัด
ในกลางดึกมืดมิด เงาดำค่อยๆ เคลื่อนกายเข้าใกล้ลานหลังบ้านสกุลหู
“แกร๊บ” เสียงใสดังชัดเจนเป็พิเศษในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด
เงาร่างลับๆ ล่อๆ แข็งทื่อทันที หยุดจังหวะก้าวย่างลงและหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเห็นว่าภายในลานไม่มีเสียงดังขึ้น จึงเดินมุ่งไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง
เงาดำเดินเข้าใกล้รั้วหลังบ้าน คิดจะใช้มือคลำหาคันดินที่ต่ำเตี้ยหรือรั้วที่แตกหัก
ในท้องฟ้ายามราตรีอันมืดมิด ูเาไกลออกไปทับซ้อนกันเป็ชั้น กิ่งไม้แห้งมีเงากระจัดกระจาย ระหว่างท้องนภาและผืนพสุธาเต็มไปด้วยความหนาวเย็นและความอ้างว้าง
บนบ้านดินโคลนซอมซ่อของครอบครัวหู มีแสงสีเขียวสองดวงส่องประกายในยามค่ำคืนที่มืดมิด เสี่ยวเฮยนั่งอยู่บนหลังคาบ้านตรงห้องของหลัวจิ่งด้วยความเงียบสงบ มองเงาดำที่หมอบอยู่ข้างรั้วอย่างไร้เสียง
“โอะ” อาจเป็เพราะถูกหนามของพุ่มไม้เตี้ยบนรั้วแทงเข้า เงาดำร้องเสียงต่ำหนึ่งเสียง
เงาดำหยุดชะงักครู่หนึ่ง สังเกตการณ์รอบๆ เล็กน้อย หลังจากนั้นใช้แรงงัดรั้วให้แตกออกเป็ช่องขนาดใหญ่ เตรียมยกเท้าจะเดินเข้าไป
ครั้นเท้าเพิ่งจะก้าวเข้าไป เงาหนึ่งสายวิ่งพุ่งเข้ามาเสียงดัง ‘สวบ’ เงาดำไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบกลับก็รู้สึกได้ถึงความเ็ปบนขาราวกับถูกมีดกรีด
“โอ้ย...” เสียงเ็ปดังออกมา เงาดำชักเท้ากลับทันที ร่างกายอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก เสียการทรงตัวล้มคว่ำลงหกคะเมนตีลังกา
“ผู้ใดอยู่ข้างนอก?” เสียงร้องน่าสังเวชปลุกให้หูฉางกุ้ยที่กำลังหลับสนิทอยู่ให้ตื่นขึ้น
เสี่ยวหวงที่นอนอยู่ข้างเตียงตะกายลุกขึ้น “บ๊อกๆ” หันไปเห่ายังทิศทางลานหลังบ้าน
“เป็อะไรไป?” ทันใดนั้นทุกคนในครอบครัวหูก็ตื่นจากความฝันทั้งหมด
แสงเทียนภายในห้องสว่างวาบขึ้นทันที
เงาดำที่ล้มอยู่บนพื้นห่อหุ้มขาท่อนล่างไว้ เมื่อเห็นว่าแสงไฟในลานบ้านสว่างขึ้น จึงไม่สนใจความเ็ปบนขาอีก กลิ้งและหยัดกายลุกขึ้นทนความเ็ปแล้ววิ่งหนีขากะเผลกไปจากลานหลังบ้านครอบครัวหู ไม่นานก็หายไปในความมืด
“ทำไมเสี่ยวหวงเห่าหนักอย่างนี้?” ผิงอันลุกขึ้นนั่งแล้วขยี้ตาที่เลอะเลือน
“ในลานหลังบ้านมีเสียงดัง เสี่ยวหวงเลยได้ยิน” เจินจูถูกเสียงน่าสังเวชที่ดังขึ้นปลุกให้ตื่นกะทันหันเช่นกัน
“ท่านพ่อ มุมกำแพงมีกระบองยาว ท่านถือไว้ป้องกันตัว ไม่แน่อาจจะเป็ขโมยก็ได้ ท่านต้องระวังหน่อยนะเ้าคะ” เห็นว่าหูฉางกุ้ยลุกขึ้นคิดจะออกไปสำรวจดู เจินจูเลยรีบเตือน
“ขโมย? เป็ไปไม่ได้กระมัง? พ่อเ้า เ้าอย่าออกไปเลย ระวังเจอเข้ากับโจรผู้ร้าย” หลี่ซื่อใกลัวจนตัวสั่น ดึงหูฉางกุ้ยไว้ทันทีทันใด
“หรงเหนียง ข้าต้องออกไปดูเสียหน่อย หลังบ้านยังมีกระต่ายบ้านเราอยู่นะ” หูฉางกุ้ยกลับคิดถึงกระต่ายร้อยกว่าตัวที่อยู่หลังบ้าน นั่นนับเป็สิ่งของที่มีค่าที่สุดของครอบครัวหูในตอนนี้เลย
“อ๊ะ กระต่าย! ท่านพ่อ ข้าจะไปด้วยขอรับ” เมื่อเอ่ยถึงกระต่าย ผิงอันใตื่นทันทีแล้วปีนลงจากเตียง ฉวยเสื้อหนาวขึ้นมาสวมคิดจะตามไปด้วย
“ผิงอัน อันตรายห้ามไป ข้างนอกอาจมีคนไม่ดี” หลี่ซื่อดึงผิงอันมากอดไว้ในอ้อมอกอย่างเป็กังวล
“เสียวหวง หยุดเห่า” เจินจูะโเรียกเสี่ยวหวงที่เห่าอย่างบ้าคลั่ง ตั้งใจฟังไปยังทิศทางลานหลังบ้านอย่างละเอียดครู่หนึ่ง “เหมือนจะไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว ท่านพ่อ ท่านเปิดประตูให้เสี่ยวหวงออกไปก่อนนะเ้าคะ”
“อื้อ” หูฉางกุ้ยมองเสี่ยวหวงที่ร่างกายยังไม่ค่อยโตเท่าไรแล้วลังเลเล็กน้อย แต่ก็ส่งเสียงขานรับออกไป
คนทั้งบ้านล้วนลุกขึ้นสวมเสื้อนวมตัวหนา ในค่ำคืนเดือนอ้าย หนาวเย็นและเงียบงัน
ในมือของทุกคนต่างถืออุปกรณ์ป้องกันตัวขึ้น กระบองไม้ ราวไม้ไผ่ มีดสับฟืน…
หูฉางกุ้ยยืนอยู่หลังประตู เปิดสลักประตูออกด้วยความระมัดระวัง เสี่ยวหวงวิ่งพุ่งออกไปทันที
หูฉางกุ้ยมองซ้ายขวาอย่างละเอียดอยู่สองสามครั้ง เห็นเพียงห้องของหลัวจิ่งก็มีแสงไฟสว่างขึ้นด้วย แสงไฟสลัวส่องแสงขับลานบ้านเล็กๆ บริเวณรอบๆ ไม่พบว่ามีสิ่งอื่นจึงเดินออกมานอกห้องอย่างระมัดระวัง
เจินจูถือราวไม้ไผ่ตามติดอยู่ด้านหลัง สำรวจรอบด้านอย่างรอบคอบ ใช้สายตาของนางที่ปัจจุบันนี้มองเห็นได้ไกลกว่ากล้องส่องทางไกล หากบริเวณรอบๆ มีคนล่ะก็นางจะต้องพอมองเห็นอย่างแน่นอน
“ไม่มีคน” เจินจูหยุดลง
“ได้ยินผิดไปหรือ?” หลี่ซื่อชะโงกหน้ามองไปรอบๆ อยู่นาน แล้วจึงกล่าวอย่างไม่แน่ใจ
“ฟังไม่ผิด เมื่อครู่มีคนร้องหนึ่งเสียงจริงๆ” หูฉางกุ้ยที่ถือไม้ตะบองอยู่ ท่าทางยังคงมองสังเกตไปรอบๆ อย่างกังวล
“ท่านอาฉางกุ้ย” ประตูห้องของหลัวจิ่งเปิดออก ในมือหนึ่งถือตะเกียงน้ำมัน มือหนึ่งถือกระบองไม้เดินออกมา
“ยู่เซิง เ้าก็ได้ยินหรือ?” เห็นท่าทางเช่นนี้ แสดงว่าเขาก็ระมัดระวังอยู่เช่นกัน
“เมื่อครู่มีเสียงร้องอย่างรุนแรงของชายผู้หนึ่ง” หลัวจิ่งพยักหน้า
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุย หลังบ้านมีแว่วเสียงของเสี่ยวหวงออกมา
ทุกคนกังวลขึ้นอีกครั้งชั่วขณะ หันมองหน้ากันและกันอยู่สองสามที
“ข้าจะไปดูหน่อย พวกเ้ารออยู่ตรงนี้” หูฉางกุ้ยถือตะบองเดินไปทางลานหลังบ้าน
“ท่านอาฉางกุ้ย ข้าไปกับท่านด้วย” หลัวจิ่งเดินตามไป แม้การเคลื่อนไหวของเขายังไม่คล่องแคล่วดี แต่ร่างกายเป็ลูกผู้ชายคนหนึ่ง ยามนี้ตนเองต้องก้าวออกมาอย่างห้าวหาญ
“ข้าจะไปด้วย” ผิงอันคว้าไม้ตะบองอยู่ด้ามหนึ่ง คิดจะตามไปด้วย
“ผิงอัน เ้ายังเด็ก รออยู่นี่ อย่าก่อปัญหาเพิ่มให้พ่อเ้า” หลี่ซื่อรีบดึงเขาไว้ทันที
เจินจูเงี่ยหูตั้งใจฟังการเคลื่อนไหวบริเวณรอบนอก นอกจากเสียงเห่าของเสี่ยวหวงก็ไม่มีเสียงอื่นปรากฏออกมา คาดว่าน่าจะหนีไปแล้วกระมัง
นึกถึงเสียงที่ได้ยินเมื่อสักครู่ขึ้นได้ เหมือนกับว่าเป็เสียงร้องเ็ป เจินจูคิดเล็กน้อยจึงะโเสียงเบาๆ “เสี่ยวเฮย… เสี่ยวเฮย… เ้าอยู่ไหน? รีบออกมา…”
“ท่านพี่ ยามราตรีเสี่ยวเฮยมักออกไปเที่ยว” ผิงอันชอบเสี่ยวเฮยเป็พิเศษ รับรู้นิสัยการใช้ชีวิตของมันเป็อย่างดี
“เหมียว”
ขณะที่กำลังกล่าว เสี่ยวเฮยก็เดินออกมาจากหัวมุมของหลังบ้าน จังหวะการก้าวว่องไวสุขุม
“เสี่ยวเฮย มานี่” เจินจูยอบกายลง จ้องมองเสี่ยวเฮยที่เดินเข้ามาใกล้
“เมื่อครู่เ้าเห็นคนเข้าบ้านเราหรือไม่?” เจินจูถามอย่างจริงจัง
“…”
หันไปถามปัญหาเช่นนี้กับแมวหนึ่งตัว หลี่ซื่ออดไม่ได้ที่จะตกตะลึงจนกล่าวอะไรไม่ออก
“ใช่สิ เสี่ยวเฮย เ้าเห็นหรือไม่?” ผิงอันก็นั่งยองลงซักถาม
อย่างไรก็ยังเป็เด็ก! หลี่ซื่อมองบุตรชายบุตรสาวหนึ่งคู่ที่ล้วนไร้เดียงสาเช่นนี้ อดปลงไม่ได้
“เหมียว” เสี่ยวเฮยพยักหน้า
นางไม่ได้มองผิดไปใช่หรือไม่? หลี่ซื่อใ แมวดำนั่นกำลังพยักหน้าตอบคำถามของเจินจูหรือ?
“เช่นนั้นก็มีคนคิดจะเข้ามาขโมยของบ้านเราน่ะสิ!” เจินจูลูบคาง ดูท่า่นี้ในบ้านจะเป็ที่สนใจเกินไป มีคนอิจฉาตาร้อนแล้ว
“เช่นนั้นทำไมเขาถึงร้องน่าสังเวชออกมา? เป็เ้าที่ข่วนเขาหรือ?” เจินจูถามต่อ
“หง่าว” เสี่ยวเฮยพยักหน้า ทันทีหลังจากนั้นก็เงยศีรษะเล็กๆ ขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ท่าทาง้าคำชมเชย
“ว้าว เสี่ยวเฮย เ้าสุดยอดเลย ตบตีคนชั่วจนหนีไปได้!” ผิงอันอุ้มเสี่ยวเฮยขึ้นแล้วเกาศีรษะของมันเบาๆ อย่างสนิทสนม
“…” หลี่ซื่อใจลอยตะลึงงัน แมวดำตัวเล็กนี่ฟังภาษาคนเข้าใจหรืออย่างไร? แล้วยังพยักหน้าตอบ? แล้วยังจะข่วนขโมยได้อีก? …นี่ …กลายเป็แมวปีศาจแล้วหรือ?
“อื้ม ที่แท้ก็เป็เช่นนี้” เจินจูพยักหน้า มิน่าเล่าแค่เสียงร้องหนึ่งเสียงแล้วก็ไม่มีเสียงดังอีก
เสี่ยวเฮยที่เป็แมวป่า ฉลาดปราดเปรียวและเย่อหยิ่ง เจินจูยังใช้น้ำแร่จิติญญาบำรุงมาเป็เวลายาวนาน ไม่เพียงสามารถฟังคำของนางเข้าใจ ยังสามารถตัดสินใจด้วยตัวมันเองได้อีกด้วย ด้านร่างกายยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง แม้รูปร่างจะไม่ต่างกับแมวธรรมดา แต่ไม่ว่าต้นไม้จะสูงเนินจะลาดชัดมันล้วนสามารถทำให้เป็เื่ง่ายได้ วิ่งและะโก็มักจะไม่ทิ้งร่องรอยไว้อยู่เสมอ
เปรียบเทียบกันแล้วเสี่ยวหวงที่เป็สุนัขพื้นเมืองของชนชาติจีนที่บำรุงด้วยน้ำแร่จิติญญาเหมือนกัน กลับดูเหมือนซื่อไร้เดียงสาและขาดความฉลาด ไม่มีความปราดเปรื่องเฉียบแหลมเท่าเสี่ยวเฮยที่มองใจคนได้ทะลุปรุโปร่ง เพียงเฉลียวฉลาดกว่าสุนัขทั่วไปอยู่สองสามส่วน คำสั่งคร่าวๆ เรียบง่ายล้วนทำได้ทุกอย่าง แต่ก็มีแค่เท่านั้นเอง
บางทีนี่อาจเป็ความแตกต่างของสัตว์ป่ากับสัตว์เลี้ยงกระมัง บางครั้งเจินจูก็คิดอย่างไม่ลังเล
ยามราตรีย่อมเป็ถิ่นของเสี่ยวเฮย กลางดึกที่มืดมิดดั่งหมึกก็ไม่อาจส่งผลต่อการมองเห็นของมันได้ สภาพอากาศอุณหภูมิหนาวเย็นก็ไม่เป็อุปสรรคต่อมันมากนัก นอกเสียจากหิมะตกหรือฝนตก แล้วในยามกลางคืนของวันปกติ เสี่ยวเฮยมักวิ่งเพ่นพ่านและเดินทอดน่องขึ้นลงอยู่บริเวณบ้านของตัวเอง นับั้แ่เสี่ยวเฮยมาที่บ้านครอบครัวหูไม่ต้องเอ่ยถึงหนูเลย แม้แต่แมลงสาบก็ไม่มีร่องรอยให้เห็น
คืนนี้เป็มันที่พบว่ามีคนคิดจะปีนเข้าลานหลังบ้าน ด้วยเหตุนี้จึงให้กรงเล็บกับเขาไปหนึ่งที เพราะอย่างนั้นจึงส่งเสียงร้องออกมาสั้นๆ
หูฉางกุ้ยกับยู่เซิงพาเสี่ยวหวงเดินกลับมาจากหลังบ้าน
“กระท่อมกระต่ายไม่เป็ไร มีเพียงรั้วหลังบ้านที่แตกออกเป็ช่องใหญ่ ข้างหลังรั้วที่แตกมีรอยเท้ายุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อย ข้างบนยังมีรอยหยดเือยู่สองสามหยดด้วย” ภายใต้แสงไฟโคลงเคลงไม่นิ่ง เสียงของหลัวจิ่งสุขุมใจเย็น
“พรุ่งนี้ข้าจะเสริมรั้วหลังบ้านให้มั่นคงแข็งแรงขึ้น” หูฉางกุ้ยกล่าวเสียงกลัดกลุ้ม
“ไม่เป็ไร ท่านพ่อ เมื่อครู่เสี่ยวเฮยข่วนคนผู้นั้นไปหนึ่งกรงเล็บ ่นี้คงจะไม่กล้ามาอีก รอยเืที่พวกท่านเห็นก็เป็มันข่วนเข้าให้เ้าค่ะ” เจินจูยิ้มอย่างพึงพอใจ ไม่เสียเปล่าเลยที่นางใช้น้ำแร่จิติญญาบำรุงมานานเช่นนี้ ความสามารถคุ้มกันเฝ้าบ้านของเสี่ยวเฮยไม่เลวนัก บันทึกผลงานของมันไว้หนึ่งอย่าง
“…เสี่ยวเฮย …ข่วน?” หูฉางกุ้ยมองแมวดำด้วยความตกตะลึง มันซ่อนอยู่ในอ้อมอกผิงอันอย่างเฉยเมย
“ใช่แล้ว ท่านพ่อ ท่านอย่าดูแคลนมันนะเ้าคะ เสี่ยวเฮยฉลาดเฉียบแหลมมากเลย ฝีมือสุดยอดมากด้วย มีมันเฝ้าบ้าน ตอนกลางคืนพวกเราก็ไม่ต้องกังวลใจ” เจินจูกล่าวพลางหัวเราะ ถือโอกาสเกาคางของเสี่ยวเฮยเบาๆ เล็กน้อย “เ้าว่าใช่หรือไม่?”
“เหมียว” ใบหน้าเล็กของเสี่ยวเฮยเงยขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เต็มไปด้วยความมั่นใจว่าต้องเป็เช่นนั้นโดยไม่ต้องสงสัยไปทั่วใบหน้า
“เสี่ยวเฮยข่วนเขาที่ตรงไหนหรือ?” หลัวจิ่งถามออกมา
“นี่ไม่ได้ถาม” เจินจูเลิกคิ้ว หันหน้ามาหาเสี่ยวเฮย “เสี่ยวเฮย เ้าข่วนคนไม่ดีที่ตรงไหน? หน้า? แขน? หรือบนขา?”
เจินจูชี้ในตำแหน่งเดียวกับที่กล่าวทีละจุด
“เหมียว” เสี่ยวเฮยยกขาซ้ายขึ้นมาอย่างเฉยเมย
หูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อมองเสี่ยวเฮยที่กระทำการตอบกลับออกมา สองคนตื่นใจนได้แต่มองดูกันไปกันมา
“โอ้ ข่วนขานี่เอง นี่ยิ่งดีเลย ขาได้รับาเ็เดินไม่ไหวก็ยิ่งไม่กล้ามาแล้ว” เจินจูพึมพำเสียงต่ำ
หลัวจิ่งพยักหน้า แม้รอยเืที่หยดบนพื้นไม่มาก แต่ตอนนี้ฤดูหนาว ชุดที่สวมอยู่บนกายก็หนา ทะลุเสื้อผ้าที่หนาเข้าไปแล้วยังมีเืสีแดงสดหยดออกมาอีก ดูท่าว่ากรงเล็บนี้จะใช้แรงมากเลยทีเดียว!
หลัวจิ่งมองสายตาของเสี่ยวเฮยอย่างซับซ้อนอยู่หลายส่วนและวิจารณ์ในใจ
“…เสี่ยวเฮย ข่วนคนผู้นั้นาเ็จริงหรือ?” หลังหูฉางกุ้ยตกตะลึงไปแล้ว ก็สงบจิตใจลง แต่เดิมเสี่ยวเฮยเป็แมวป่า ั้แ่มันหายจากการาเ็แล้ว การกระทำวิ่งขึ้นะโลงปีนต้นไม้ไต่หลังคาแต่ละอย่างล้วนคล่องแคล่วและว่องไว เปรียบเทียบกับแมวบ้านทั่วไปไม่ได้เลย สำหรับเื่ที่ฟังคำคนเข้าใจ แมวป่า… ก็ไม่แน่ว่าอาจจะฉลาดกว่าก็เป็ไปได้กระมัง หูฉางกุ้ยคิดอย่างไม่มั่นใจ
“แน่นอนว่าจริงสิ ท่านพ่อ ไม่ใช่ว่าท่านก็เห็นรอยเืบนพื้นหรือ นั่นจะเป็ความเท็จได้อย่างไรเ้าคะ?” เจินจูมุ่ยปาก
“โอ้… อื้ม… ก็เห็น ไม่เท็จๆ แหะๆ…” หูฉางกุ้ยเห็นเจินจูมุ่ยปาก จึงยิ้มแล้วตอบทันที
สถานการณ์ที่ตื่นใกันไปเอง คนทั้งครอบครัวจึงสำรวจดูรอบๆ อย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วจึงเข้านอนและหลับไปพร้อมกับความคิดของแต่ละคน