เหอตังกุยเล่นจอกชา ก่อนจะพยักหน้ากล่าว “เมื่อเถ้าแก่ประเมินราคาเช่นนี้ ที่เถ้าแก่หลี่พูดก็ไม่ผิด... เฮ้อ ตอนนี้คงทำได้เพียงนำมันกลับจวนแล้วโน้มน้าวให้ฮูหยินนำโลงศพไปขายที่เมืองหยางโจว”
“ขาย?” เถ้าแก่จิ้งเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “พวกเ้าจะขายโลงศพใบนี้หรือ? ข้าขอดูหน่อยได้หรือไม่?”
เหอตังกุยพยักหน้า “เถ้าแก่เชิญดูตามสบายเ้าค่ะ”
เถ้าแก่จิ้งหมุนตัวกลับไปยังกล่องเครื่องมือที่ทำจากไม้แดงบนโต๊ะคิดเงิน ด้านในมีเครื่องมือวัดความยาวหลายเส้น ทั้งยังมีเครื่องมือทดสอบความแข็งแรงของวัสดุไม้ที่นำมาทำโลง เขาดึงเส้นวัดความยาวทาบลงบนแผ่นโลงศพ ขณะเดียวกันก็เงยหน้ามองพิจารณาพลางเอ่ยถาม “แม่นาง ฟังจากสำเนียงแล้ว เ้าไม่ใช่คนที่นี่ใช่หรือไม่? โลงศพใบนี้มาจากที่ไหนหรือ?”
เหอตังกุยจิบชาเพิ่มความชุ่มชื่นในลำคอ ก่อนจะอธิบาย “เถ้าแก่อาจยังไม่รู้ว่าข้าน้อยเป็สาวใช้ของตระกูลหลัวที่เมืองหยางโจว คุณหนูตระกูลข้าเป็ลูกหลานในจวนตระกูลหลัว ต้นเดือนก่อนคุณหนูของข้าตายอย่างกะทันหัน ฮูหยินเศร้าโศกยิ่งนัก นางยอมใช้เงินมากมายซื้อไม้จันทน์หอมสี่ชนิด ทั้งยังเชิญ “อวี้หัวจี้” ช่างฝีมือในเมืองหยางโจวมาทำโลงศพไม้จันทน์หอมใบนี้อีกด้วย จากนั้นพวกเขาก็ส่งไปที่วัดสุ่ยซังเพื่อทำพิธีสวดส่งิญญา ผ่านไปไม่กี่วันก็ได้ยินว่าโลงศพไม้จันทน์หอมสามารถทำให้จิตใจของดวงิญญาสงบ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมหัศจรรย์กว่าในตำนานที่เล่าขาน คุณหนูของข้าที่นอนไร้ลมหายใจในโลงศพถึงสองวันกลับฟื้นคืนจากความตายและมีชีวิตเหมือนในอดีต...”
“อะไรนะ? ตายแล้วสองวันแต่ฟื้นมามีชีวิตเป็ปกติเหมือนเดิมหรือ?” เถ้าแก่จิ้งร้องเสียงหลงด้วยความใ
เหอตังกุยใช้สายตาเป็เชิงบอกให้เขาสงบสติอารมณ์ พลางเอ่ยต่อ “เมื่อฮูหยินได้ยินข่าวก็ดีใจมาก รีบเดินทางมาที่วัดสุ่ยซังเพื่อรับตัวคุณหนูกลับจวน มีคนรับใช้เสนอว่าแม้โลงศพไม้จันทน์หอมจะสวยงามจนน่าเสียดายหากต้องเผา แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่ของมงคล ก่อนหน้านี้พวกข้าแบกโลงศพมาจากจวนตระกูลหลัวในเมืองหยางโจวเพราะมีคนตายนอนอยู่ ทว่าตอนนี้เกิดเื่น่ายินดีเพราะคุณหนูฟื้นจากความตาย พวกข้าจึงไม่ควรแบกโลงศพกลับเมืองหยางโจวอีก...”
“ใช่ ๆ มีเหตุผลมากแม่นาง” เถ้าแก่จิ้งพยักหน้าอย่างแรงเพื่อแสดงความเห็นด้วย
“ฮูหยินของข้าเห็นด้วยกับข้อเสนอ จึงให้คนแบกโลงศพมาถามที่เมืองตู้เอ๋อร์ หากราคาพอฟังได้ แม้จะเป็เพียงราคาวัสดุหกเจ็ดส่วน ก็จะตัดใจขายเพื่อความเป็สิริมงคลต่อตระกูล...”
ดวงตาของเถ้าแก่จิ้งทอประกายแวววาว เขาลูบไล้โลงศพไม้จันทน์หอมอย่างมีความสุขจนละมือไปไม่ได้ พลางครุ่นคิดในใจ “ฮ่า ๆ ข้าไหว้ขอพรต่อเทพเ้าแห่งความมั่งคั่งแต่เช้าตรู่ คิดไม่ถึงว่าความร่ำรวยจะมาหาข้าถึงหน้าประตูร้าน กำไรจากการขายโลงศพไม้หนานมู่ครึ่งปียังเทียบไม่ได้กับมูลค่าโลงศพไม้จันทน์หอมใบนี้เลย อืม ข้าต้องกดราคาให้ต่ำที่สุด เพื่อที่จะซื้อมันในราคาถูก ๆ ”
เหอตังกุยวางจอกชาที่ดื่มหมดแล้วลงบนโต๊ะ ก่อนจะยกจอกใหม่ที่มีน้ำชาเต็มจอกขึ้นมา พลางหัวเราะกับเงาของตนที่สะท้อนอยู่ในจอกชาอย่างไร้เสียง นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ “เฮ้อ ฮูหยินเห็นว่าข้าพูดจาฉะฉานและเฉลียวฉลาด นางจึงไว้วางใจ ทั้งยังบอกว่าข้าจะทำงานนี้ได้ดีที่สุด กลับจวนนางจะเลื่อนให้เป็สาวใช้ขั้นหนึ่ง... เฮ้อ ตอนนี้ตำแหน่งสาวใช้ขั้นหนึ่งของข้าคงเป็ไปไม่ได้แล้ว ใต้เท้าเกา เจินจิ้ง พวกเราแบกโลงศพกลับวัดสุ่ยซังดีกว่า”
เกาเจวี๋ยและเจินจิ้งได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นทันที ทว่าเถ้าแก่จิ้งรีบลุกกางมือขวางทาง พลางเอ่ยถาม “เป็อะไร คุยกันอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงรีบร้อนจากไปเล่า? มิใช่บอกว่า้าจะขายโลงศพหรือ? ข้าขอรับซื้อเอง แม่นางรังเกียจที่ข้าเสนอราคาต่ำเกินไปใช่หรือไม่? เ้า้าเท่าไหร่?”
เหอตังกุยที่บอกว่า้าจะไปนั้นยังคงไม่ลุกขึ้น นางยกมือกุมจอกชาพลางเอ่ยเนิบนาบ “เมื่อเช้าข้าสอบถามพี่ชายคนหนึ่งในเมืองตู้เอ๋อร์ ร้านของท่านคือร้านขายโลงศพที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ เดิมทีข้าคิดว่าจะลองถามที่ร้านท่านก่อน แต่มาถึงก็พบว่าร้านยังไม่เปิด จึงไปสอบถามร้านเถ้าแก่หลี่ที่ห่างออกไปสาม่ถนน แม้เขาจะยอมจ่ายหนึ่งร้อยสี่สิบตำลึงเงิน ทว่าก็ยังห่างไกลจากราคาที่ฮูหยินกำหนด ก่อนจะออกมาก็สอบถามเขาว่าแถวนี้มีร้านขายโลงศพอีกหรือไม่? เถ้าแก่หลี่บอกว่าในชนบทเล็ก ๆ เช่นเมืองตู้เอ๋อร์ มีครอบครัวร่ำรวยไม่กี่หลัง ร้านขายโลงศพก็ขายโลงศพไม้หนานมู่ราคาห้าหกตำลึงเท่านั้น โลงศพไม้จันทน์หอมต้องไปขายในเมืองหยางโจวจึงจะได้ราคาดี ด้วยเหตุนี้เขาจึงแนะนำให้ข้าอย่าได้ตามหาร้านค้าที่รับซื้อโลงศพในเมืองตู้เอ๋อร์อีก”
ดวงตาเรียวเล็กของเถ้าแก่จิ้งเบิกกว้างทันที ก่อนจะกล่าวด้วยความเดือดดาล “หลี่เหลาซานผู้นั้นยากจนข้นแค้น ซ้ำยังชอบพูดจาไร้สาระ เขายากจนเกินไปจึงไม่สามารถซื้อโลงศพของเ้าได้ แต่จิ้งเริ่นซิ่งผู้นี้ร่ำรวยกว่าเขามากมายนัก ข้าย่อมซื้อโลงศพของเ้าได้อย่างแน่นอน เช่นนี้ดีหรือไม่ แม่นาง เมื่อครู่ข้าสายตาพร่ามัวดูไม่ถนัดจึงเสนอราคาต่ำเกินไป รอข้าตรวจสอบอย่างละเอียดสักนิด ย่อมให้ราคาสูงเป็แน่”
“ตามสบายเ้าค่ะ” เหอตังกุยยกจอกชาประชิดริมฝีปาก ก่อนดื่มจนหมดในอึกเดียว “ชาดีจริง ๆ ”
เถ้าแก่จิ้งดูภายนอกของโลงศพอย่างละเอียด ก่อนจะผลักฝาโลงเปิดดูด้านใน เขาขมวดคิ้วเอ่ยถาม “แม่นาง เหตุใดโลงศพใบนี้จึงไม่มีหมอนไม้? โลงศพเล็ก ๆ ที่สง่างามเช่นนี้ควรมีหมอนไม้แกะสลักลวดลายด้วยไม่ใช่หรือ?”
เหอตังกุยพยักหน้าก่อนจะเอ่ย “ไม่ผิดเ้าค่ะ เดิมทีเคยมีหมอนไม้ใบหนึ่ง แต่ฮูหยินของข้าตั้งใจถอดมันออก”
“เพราะเหตุใดกัน? หมอนไม้นั่นมีค่ามากเชียวหรือ?”
เหอตังกุยส่ายศีรษะ “ไม่เ้าค่ะ นายหญิงบอกว่าไม่สามารถให้ “เ้าของโลง” คนต่อไปใช้หมอนไม้ใบเดียวกับคุณหนูได้ ความหมายของการ “ใช้หมอนร่วมกัน” นั้นลึกซึ้งมาก อีกทั้งคุณหนูของข้าก็เป็เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน...”
“ฮ่า ๆ นายหญิงของเ้าไตร่ตรองรอบคอบยิ่งนัก ข้าขายโลงศพมาหลายปีกลับไม่เคยคิดถึงขั้นนี้เลย” เถ้าแก่จิ้งลูบคางอย่างมั่นใจ ก่อนจะจับจ้องใบหน้าของเหอตังกุยด้วยแววตาเป็ประกายพลางเอ่ยถาม “แม่นาง นายหญิงของท่านกำหนดราคาไว้เท่าใดจึงจะสามารถซื้อโลงศพใบนี้ได้?”
“สามร้อยตำลึงเ้าค่ะ” เหอตังกุยชูนิ้วเรียวเล็กราวต้นหอมในฤดูใบไม้ผลิขึ้นสามนิ้ว
ดวงตาหยีเล็กของเถ้าแก่จิ้งเบิกกว้างกว่าเดิม พลางร้องอุทานด้วยความใ “สาม...สามร้อยตำลึง? แพงเกินไปแล้วกระมัง”
ขณะนี้เกาเจวี๋ยและเจินจิ้งที่ยืนอยู่ด้านหลังของเหอตังกุยนั้น ด้านเกาเจวี๋ยกอดอกพลางแหงนมองใยแมงมุมใต้หลังคา ส่วนเจินจิ้งกำมือเล็ก ๆ อยู่ภายในแขนเสื้อ เสี่ยวอี้มิได้บอกว่าโลงศพใบนี้มีราคาสองร้อยสามสิบตำลึงหรอกหรือ...
เหอตังกุยโบกมือไปมา ก่อนจะเอ่ยอย่างจนใจ “เถ้าแก่เป็ผู้มีความรู้เกี่ยวกับโลงศพ เหตุใดจึงกล่าวประหนึ่งคนธรรมดาเยี่ยงนี้เล่า? ราคานี้ยังไม่เท่าเงินที่ซื้อไม้จันทน์หอมในตอนแรกด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น โลงศพใบนี้เป็ผลงานการออกแบบชั้นยอดและทำด้วยมือของช่างทำโลงศพอวี้หัวจี้แห่งเมืองหยางโจว ชาวบ้านธรรมดามีหรือจะเชิญเขาไปทำโลงศพได้? ราคาของโลงศพนี้เท่าไร ทั้งยังทำให้คนฟื้นจากความตายอีกเท่าไร ไม่ใช่เพียงคำพูดไม่กี่คำของสาวใช้ธรรมดาเช่นข้าที่จะเอ่ยอย่างชัดเจนได้ นายหญิงบอกมาเท่าไร ข้าก็บอกไปเท่านั้น” เมื่อกล่าวจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับไปมองเกาเจวี๋ย “ใต้เท้าเกา ดื่มชาจนหมดแล้ว พวกเราแบกโลงกลับกันเถิด ตอนนี้คงทำได้เพียงแบกกลับไปขายที่เมืองหยางโจวเท่านั้น”
“พรึ่บ” เกาเจวี๋ยคว้าโลงศพออกจากมือเถ้าแก่จิ้ง ก่อนจะแบกขึ้นบ่าอย่างรวดเร็วแล้วเดินออกจากร้าน เหอตังกุยก็เดินตามออกไป ขณะจะออกจากประตูร้าน นางก็หันกลับมาโบกมือลาด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับชาเ้าค่ะ ขอให้ท่านขายดิบขายดี เงินทองไหลมาเทมา ข้าลาเ้าค่ะ”
เถ้าแก่จิ้งที่ยื้อแย่งโลงศพกับเกาเจวี๋ยเมื่อครู่นั้น คิดไม่ถึงว่าเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายจะมากมายเพียงนี้ แบกโลงศพราวแบกกล่องไม้เบา ๆ ก็ไม่ปาน ร่างของเขาโงนเงนแทบล้มหัวคะมำไปกองกับพื้น หลังจากยืนได้มั่นคงแล้วจึงรีบวิ่งเหยาะ ๆ ไปตามเหอตังกุยกลับมา
เหอตังกุยแสดงสีหน้าประหลาดใจ นางโบกมือพลางเอ่ย “เถ้าแก่จิ้งส่งเพียงเท่านี้ก็พอเ้าค่ะ ข้าเป็เพียงสาวใช้ มิกล้าให้ท่านเดินไปส่งหรอกเ้าค่ะ ส่งเพียงเท่านี้พอแล้วเ้าค่ะ”
เถ้าแก่จิ้งรีบห้ามนาง ก่อนจะเอ่ยอย่างรีบร้อน “ร้านของข้าก็รับซื้อโลงศพชั้นดี ราคาต่อรองได้ ข้าสามารถจ่ายเงินซื้อในราคาสูงได้เช่นกัน”
ดวงตากลมโตของเหอตังกุยกะพริบปริบ ๆ อย่างไร้เดียงสาแต่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา
เถ้าแก่จิ้งกัดฟันกรอดพลางยกมือทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งชูสองนิ้ว อีกข้างหนึ่งชูห้านิ้ว ก่อนจะเอ่ยอย่างมั่นใจ “สองร้อยห้าสิบตำลึง”
เจินจิ้งที่อยู่ด้านหลังหลุดหัวเราะทันที ทันใดนั้นเถ้าแก่จิ้งและเหอตังกุยก็หันมองนางอย่างพร้อมเพรียง ทำให้นางใยกมือขึ้นปิดปากพลางเอ่ย “ขอโทษเ้าค่ะ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น พวกท่านเจรจาต่อเถิดเ้าค่ะ”
เหอตังกุยเอ่ยขอโทษเถ้าแก่จิ้ง “ข้าขอโทษจริง ๆ เ้าค่ะ ข้าเป็เพียงคนรับคำสั่งของนายหญิงจึงไม่กล้าเอ่ยต่อรองราคา นายหญิงของข้าตั้งราคาโลงศพไว้แล้ว หากข้าเปลี่ยน เกรงว่าหลังจากกลับจวนจะต้องถูกลงโทษแน่เ้าค่ะ หากขายโลงศพไม่ได้ อย่างมากที่สุดก็ทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอเท่านั้น แต่หากลดราคา นายหญิงของข้าคงเดือดดาลเป็แน่ ข้า...”
เถ้าแก่จิ้งส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ สีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะเอ่ยแนะนำ “นี่ แม่นาง เหตุใดจึงดื้อรั้นเพียงนี้ ราคามันตายตัวแต่คนยังมีชีวิตอยู่ ข้าทำธุรกิจนี้มาหลายสิบปี ยังไม่เคยได้ยินเื่ต่อรองราคาไม่ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น นายหญิงของเ้าน่าจะรู้จักราคาการซื้อขายในท้องตลาด โลงศพใบนี้ถูกใช้แล้วหนึ่งครั้ง ราคาจึงตัดลงจากเดิม ประการที่สอง พวกเ้างัดหมอนไม้ออกจากโลงศพ ข้าก็ต้องเลือกไม้ทำหมอนใหม่ ออกแบบลวดลายและแกะสลักใหม่ให้เข้ากับโลงศพ สิ่งเหล่านี้ล้วนรวมอยู่ในสามร้อยตำลึงที่พวกเ้าบอกมา หากนายหญิงของเ้ายืนอยู่ตรงนี้ก็ต้องอนุญาตให้พวกข้าเจรจาต่อรองราคา”
เหอตังกุยขบริมฝีปากลังเล สีหน้าที่นางแสดงออกมาคล้ายจะเริ่มเปลี่ยนใจบ้างแล้ว
เถ้าแก่จิ้งเห็นว่าพอมีหวัง จึงเดินเข้าไปพลางเอ่ย “เมื่อครู่ แม่ชีน้อยผู้นั้นหัวเราะที่ข้าเสนอราคาไม่น่าฟัง เช่นนั้นข้าจะเพิ่มให้เ้าอีกสิบตำลึง...สองร้อยหกสิบตำลึง ราคานี้ทุกอย่างจะราบรื่นหรือไม่?”
เหอตังกุยนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกัก “เอ่อ...ข้าก็ไม่ทราบเ้าค่ะ...เช่นนี้ดีกว่า...ข้าจะให้ใต้เท้าเกานำโลงศพไปพักในโรงเตี๊ยมก่อน รอข้ากลับไปถามนายหญิง หากนางตกลง พรุ่งนี้ข้าจะกลับมาหาท่านอีกที...” เมื่อกล่าวจบก็ทำทีจะเดินออกจากประตูร้าน
เถ้าแก่จิ้งรีบเข้าไปขวางด้วยท่าทางโมโห พลางกระทืบเท้าสองข้างอยู่หลายครั้ง “เดี๋ยว ๆ ๆ แม่นาง เช้าตรู่เช่นนี้จะรีบร้อนไปไย? หากเ้ายังรังเกียจที่ราคาน้อยเกินไป พวกเราก็สามารถต่อรองได้อีกใช่หรือไม่ เ้าบอกว่าเ้าไม่มีความรู้เื่การต่อรองราคา แล้วเหตุใดนายหญิงถึงส่งเ้ามาเล่า? แม้แต่ลูกน้องกวาดร้านของข้ายังรู้จักทำธุรกิจมากกว่าเ้าเสียอีก คิดดูสิ พวกเ้าเข้าพักโรงเตี๊ยมก็ต้องใช้เงินจ่ายใช่หรือไม่? คนที่แบกโลงก็ต้องจ้างเพิ่มอีกวันใช่หรือไม่? โรงเตี๊ยมในเมืองตู้เอ๋อร์นั้น คนยิ่งมาก เื่ก็ยิ่งวุ่นวาย ข้าไม่ได้ขู่ให้เ้ากลัวหรอกนะ แต่ที่นั่นมีคนทุกประเภท หากของล้ำค่าเช่นนี้อยู่ในที่เช่นนั้น อาจเกิดพลาดพลั้งเสียหายได้ หากโดนกระแทกจนผิวโลงมีรอยขีดข่วนแม้แต่รอยเดียว ราคาก็จะตก”
ดวงตากลมโตเป็ประกายของเหอตังกุยกะพริบปริบ ๆ นางเอียงศีรษะพลางกล่าว “เถ้าแก่จิ้งช่างมีน้ำใจจริง ๆ คิดไตร่ตรองเพื่อพวกข้าอย่างรอบคอบถึงเพียงนี้ อืม...ในเมื่อโรงเตี๊ยมมีความเสี่ยงมาก เช่นนั้นท่านก็เสนอราคามาอีกครั้งเถิด ตราบใดที่ความแตกต่างของราคาไม่มากนัก ข้าสามารถนำกลับไปรายงานต่อนายหญิงได้ก็เพียงพอแล้ว มิเช่นนั้นพวกข้าก็ไม่กล้าพักที่โรงเตี๊ยม คงทำได้เพียงจ้างรถม้าไปตามหาร้านรับซื้อโลงศพที่เมืองหยางโจวก่อนพระอาทิตย์ตกดิน”
เถ้าแก่จิ้งยกมือซ้ายขึ้นมา ก่อนจะวางลงบนฝ่ามือขวาอย่างแรง เขาแสดงสีหน้าจริงจัง “ไม่ต้องต่ออีกแล้ว สองร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึง ราคาสูงกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“ตกลง”
เหอตังกุยยอมรับราคานี้ด้วยความพึงพอใจ นางหันกลับไปมองนอกประตูก็พบว่าแววตาดำขลับของเกาเจวี๋ยที่แบกโลงศพอยู่นั้นกำลังจับจ้องตนด้วยสีหน้าครุ่นคิด นางกวักมือเรียกเขาด้วยรอยยิ้มพลางเอ่ย “เอาล่ะ ไม่ต้องยืนนิ่งเป็สากแล้ว รีบแบกโลงกลับมาเร็วเข้า เมื่อขายโลงศพได้ พวกเราค่อยไปกินอาหารเช้ากัน ข้าจะเลี้ยงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ท่านเอง”
เกาเจวี๋ยจับจ้องแม่นางน้อยผู้มีสีหน้ายิ้มแย้มสดใส แววตาและคิ้วงามงอนของนางเต็มไปด้วยความยินดี ทั้งยังะโสั่ง “แม่ทัพใหญ่จอมสังหาร” เช่นเขาอีก หัวใจของเกาเจวี๋ยบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร เขาทั้งรู้สึกสงสัย รู้สึกงุนงง รู้สึกมีความสุข รู้สึกเสียดายที่เขาพบนางช้าเกินไป อีกทั้งยังรู้สึก...ตกหลุมรักนาง
นางเป็คนเช่นไรกันแน่? เหตุใดสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดไม่สอดคล้องกับอายุของนางเลย? นางยังมีความสามารถอีกมากมายเพียงใดที่ซ่อนไว้และคนอื่นยังไม่รู้? นางอยากใช้ชีวิตอย่างไร? ชอบบุรุษแบบใดกัน?
นางในตอนนี้เพิ่งอายุสิบปีเท่านั้น ทว่ากลับมีใบหน้างดงามดั่งหิมะขาวบริสุทธิ์เสียแล้ว ใบหน้างดงามล่มเมืองเช่นนี้ั้แ่ยังเด็ก อีกสามปีหรือห้าปีจะโตมามีใบหน้าที่งดงามเพียงใดกัน?
เกาเจวี๋ยเป็แม่ทัพที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เขารับใช้ฮ่องเต้ตลอดทั้งปี ได้พบสตรีในวังหลังที่มีใบหน้างดงาม กิริยาอ่อนช้อย แต่งหน้าประแป้งและสวมชุดผ้าแพรลวดลายงดงามจำนวนมาก แต่ไม่ว่าเหล่านางสนมของฮ่องเต้จะงดงามเพียงใด กลับไม่มีสตรีคนใดทำให้เกาเจวี๋ยสนใจจนไม่สามารถละสายตาได้เช่นนี้เลยสักคน สตรีเ่าั้มีรูปร่างอ้วน ผอม สมส่วน แตกต่างกันไป มีเสน่ห์และความสง่างามหลากหลายรูปแบบ มีความอ่อนโยนที่น่าหลงใหล ความเ็าทะนงตนที่ตรึงใจผู้คน แต่กลับไม่มีสักคนที่เหมือนสตรีที่อยู่เบื้องหน้าเขาในเวลานี้ ราวกับ...พระจันทร์ขึ้นหนึ่งค่ำท่ามกลางเมฆหมอกหนาทึบก็ไม่ปาน
ภายใต้การเร่งเร้าของเหอตังกุย เกาเจวี๋ยแบกโลงศพกลับไปในร้าน เถ้าแก่จิ้งเดินเข้าไปในห้องบัญชีครู่หนึ่ง ก่อนจะนำตั๋วเงินและเศษเงินห้าตำลึงส่งให้เหอตังกุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางเอ่ย “แม่นาง นับดูว่าครบสองร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึงหรือไม่?”
เหอตังกุยรับเงินมานับ ก่อนจะเก็บเข้าถุงเงินสีน้ำตาลคล้ายผลซิ่ง นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ครบเ้าค่ะ เช่นนั้นพวกข้าขอลานะเ้าคะ เถ้าแก่จิ้งส่งเพียงเท่านี้ก็พอเ้าค่ะ ไม่ต้องออกไปส่งถึงนอกร้านก็ได้” จากนั้นก็หันกลับไปพูดกับเกาเจวี๋ยและเจินจิ้ง “เสร็จธุระแล้ว ไปกันเถอะ ไปเดินตลาดเช้ากัน ที่นั่นมีร้านขายของกินมากมายเชียวล่ะ” เมื่อเห็นว่าสายตาของเกาเจวี๋ยยังคงจับจ้องที่ใบหน้าของตน นางจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเกา บนหน้าข้ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่หรือ เหตุใดจึงจ้องข้าเช่นนี้?”
เกาเจวี๋ยหันหลังสาวเท้าเดินออกจากร้านขายโลงศพ พลางเอามือไพล่หลัง ทอดตามองนกกระจิบที่กำลังจิกกินอาหารอยู่ริมถนน ก่อนจะเอ่ยถามเหอตังกุย “เื่ของต้วนเสี่ยวโหลว เหตุใดเ้าจึงปฏิเสธ?”