ฉีจือโจวไม่เกรงใจกับหรงจ้านแม้แต่น้อย แต่ละกระบวนท่าล้วนอันตราย ขนาดคนที่ไม่ค่อยรู้จักกำลังภายในอย่างเฉียวเยว่ยังััได้
แต่หรงจ้านก็ไม่เกรงใจเช่นกัน ทั้งสองแลกหมัดกันไปมา เฉียวเยว่รู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังดูหนังฟอร์มั์อย่างไรอย่างนั้น
พอได้ยินความเคลื่อนไหวทางนี้ ฉีอันก็เดินมา เขาไม่รู้ว่าเหตุใดทั้งสองถึงลงไม้ลงมือกัน แต่ไม่เห็นเฉียวเยว่เข้ามาไกล่เกลี่ย ก็นึกว่าพวกเขาเพียงแค่ประลองฝีมือกันเท่านั้น
"เยี่ยม!" เขาชมเปาะ ส่วนเฉียวเยว่ที่อยู่ข้างๆ ก็ปรบมือผสมโรงไปด้วย
พูดตามความสัตย์จริง ทั้งหรงจ้านและฉีจือโจวไม่อาจสู้กันได้อีกต่อไป ทั้งสองต่างสบตากันเงียบๆ อย่างจนปัญญา
หรงจ้านเก็บมือ ไปยืนด้านข้าง ฉีจือโจวก็เช่นเดียวกัน
เด็กแฝดสองพี่น้องจ้องตาแป๋ว ถามขึ้นอย่างพร้อมเพรียง "ไยไม่สู้กันแล้วเล่า?"
กำลังสนุกเลยนะ
หรงจ้านหัวเราะหึๆ "ข้ารู้สึกว่าตนเองเหมือนคนขายศิลป์อยู่ปากถนนตงเจีย ซ้ำยังไม่เก็บเงินค่าชมอย่างไรก็ไม่รู้"
เฉียวเยว่เบิกตากว้าง ยิ้มพราย แล้วถามอย่างประหลาดใจ "ขายศิลป์แล้วยังไม่เก็บเงินด้วยหรือ นี่ไม่ถูกต้องนะเ้าคะ"
หัวข้อชักเริ่มเลี้ยวออกไปไกลหนึ่งหมื่นแปดพันลี้
ฉีจือโจวมองเด็กซื่อบื้อที่ไม่รู้จักรสชาติของความทุกข์เบื้องหน้า ทั้งหลานชายหลานสาวของตนเองดูเหมือนจะฉลาดมีไหวพริบ แต่เหตุใดถึงโง่ดักดานขนาดนี้
"วันหน้าเ้าอยู่ให้ห่างคนผู้นี้หน่อย อย่าวางใจมากนัก" ฉีจือโจวพูดอย่างเด็ดขาดตรงไปตรงมา
เฉียวเยว่ชูมือขึ้นทันควัน ตอบอย่างเชื่อฟัง "เ้าค่ะ"
ซ้ำยังทำท่าคารวะอีกด้วย แต่ท่าทางติดตลกเช่นนี้กลับทำให้วาจาของเขากลายเป็เื่ล้อเล่น ฉีจือโจวพลันรู้สึกแน่นอกในชั่วพริบตา
เขากำชับกับนางดีๆ แต่นางกลับเห็นถ้อยคำของตนเป็เื่ล้อเล่น ฉีจือโจวถอนหายใจ ไม่รู้จะว่าอย่างไร
ขณะที่ฉีจือโจวรู้สึกหนักอก หรงจ้านก็คับข้องใจเช่นกัน ที่อยู่ดีๆ เฉียวเยว่ก็รับปากอย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น... ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้อยู่เต็มอกว่าพวกเขาสองคนสู้กันจริงๆ นอกจากจะไม่คิดห้ามปราม ยังปรบมือร้องสู้ๆ กระต่ายน้อยนิสัยเช่นนี้ชวนให้คนหนักใจเสียจริง
ฉีอันมองคนนี้ที คนนั้นที ก็รู้สึกว่าบรรยากาศทะแม่งๆ หันไปสะกิดถามเฉียวเยว่ "พวกเขาทะเลาะวิวาทกันหรือท้าประลองฝีมือ?"
"ก็ทะเลาะกันน่ะสิ เ้ามองไม่ออกรึ? สีหน้าท่าทางจริงจังราวกับไม่อยากให้อีกฝ่ายสู้หน้าใครได้อีก ดูเป็การประลองฝีมือเสียที่ไหน" เฉียวเยว่ตอบอย่างฉาดฉาน
ฉีอัน "..."
เขารู้สึกว่าตนเองแทบจะหายใจไม่ออก นิ่งงันไปชั่วขณะ แล้วถามเสียงต่ำ "แล้วไยเ้าไม่เข้าไปเกลี้ยกล่อมหรือห้ามปรามหน่อยเล่า?"
อะไรจะซื่อเสียขนาดนี้
เฉียวเยว่ลอยหน้ายิ้มย่อง แล้วถามกลับอย่างเอ้อระเหย "เหตุใดต้องขวางเล่า?"
หืม?
ทุกคนหันมามองเฉียวเยว่
"เื่เช่นการทะเลาวิวาท ยิ่งขวางก็ยิ่งกระตุ้นให้พวกเขาสู้กัน แต่หากไม่ขวาง ตนเองจะสู้ต่อหรือไม่ก็ตัดสินใจเอาเองก็สิ้นเื่แล้ว"
เฉียวเยว่รู้สึกว่าตนเองคือผู้หยั่งรู้อย่างแท้จริง
ทุกคน "..."
ฉีจือโจวกระแอมกระไอ ในที่สุดก็เอ่ยว่า "อย่างไรเสียสิ่งที่ข้าเอ่ยเมื่อครู่ เ้าจำเป็ต้องใส่ใจ" หลังจากนั้นก็จดจ้องหรงจ้านเขม็ง "เข้าเคยเตือนแล้ว อย่ามาตอแยเฉียวเยว่"
หรงจ้านทอยิ้มอ่อนจาง เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ "ข้าว่าอาจารย์คิดกังวลมากไป แท้จริงแล้วไม่มีการตอแยอันใดทั้งนั้น ข้ารู้จักกับเฉียวเยว่มาั้แ่เด็ก ในใจข้านางคือน้องสาวที่แสนดียิ่ง และข้าก็ชอบนางมาก จะคบหากันก็เป็เื่ธรรมดา เฉียวเยว่ยังไม่รังเกียจ หากข้ารังเกียจก็ใช่ที่ เมื่อเป็เช่นนี้ จึงไม่อาจเรียกว่าเป็การตอแยเซ้าซี้ได้ เฉียวเยว่ เ้าว่าถูกต้องหรือไม่?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "พี่จ้านมิได้ตอแยข้าเลย"
ฉีจือโจวหัวเราะเยาะ "เ้าหลอกเด็กได้ แต่หลอกข้าไม่ได้ ข้าเคยบอกให้เ้าอยู่ให้ห่างนางหน่อย เฉียวเยว่ของพวกเราบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ไม่เข้าใจคนความคิดซับซ้อนอย่างเ้า"
ขณะหรงจ้านกำลังจะเอ่ยปาก เฉียวเยว่กลับชิงตัดบทไปก่อน "อันที่จริงอากาศต้นฤดูวสันต์ค่อนข้างหนาวเย็น เข้ามานั่งคุยในห้องรับแขกดีหรือไม่?" นางยิ้มพริ้มพราย
บรรยากาศตึงเครียดจริงจังทลายลงอีกครา
ดวงตากลมโตของนางกะพริบปริบๆ โบกมือน้อยๆ ออกไปทางหน้าต่างอย่างน่ารัก "เข้ามาเถอะเ้าค่ะ ข้างนอกหนาวมาก"
ฉีจือโจวถอนหายใจอย่างแรง เดิมทีเขานึกว่าหลานสาวตัวน้อยของตนน่ารักที่สุด แต่ดูจากตอนนี้ เห็นทีจะเป็เด็กดื้อเหมือนอย่างที่คนเ่าั้กล่าวทุกประการ
หากไม่ใช่เด็กดื้อ จะทำเื่เช่นนี้ได้อย่างไร
แต่หรงจ้านกลับรู้สึกขบขันอย่างบอกไม่ถูก ตัวเขาเองพูดไม่ออกแล้ว รู้สึกแต่อยากหัวเราะออกมา เป็ความรู้สึกที่แทบไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้
อาจเพราะมุมปากของหรงจ้านโค้งขึ้นเด่นชัดเกินไป ฉีจือโจวถลึงตาใส่เขาแรงๆ ก่อนสะบัดแขนเสื้อเข้าไปในห้อง
ฉีอันรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก จึงลังเลว่าควรจะเข้าไปหรือไม่เข้าไปดี ทว่าพอมานึกดูแล้ว ละครฉากใหญ่เช่นนี้มิได้มีให้ชมบ่อยๆ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจต่อสู้กันอีกก็ได้ นี่เป็หนึ่งในกระบวนการเรียนรู้
ยอดฝีมือประลองกันยากนักที่จะได้เห็น
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ดันตัวหรงจ้านทันที "พี่จ้านเข้าไปนั่งเถิดขอรับ"
หลังจากเข้าไปในห้อง เฉียวเยว่อยู่ในชุดกระโปรงสีชมพู แลดูอ่อนหวานน่ารัก
"เชิญเ้าค่ะ เชิญเ้าค่ะ ข้าจะช่วยรินน้ำชาให้พวกท่าน ดื่มชาแล้วก็ลืมบุญคุณความแค้นเสียให้สิ้น"
ทุกคนต่างมองมาที่นาง
"ลุงไม่อยากให้เ้าถูกคนรังแก" ฉีจือโจวเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
เฉียวเยว่ย่อมเข้าใจจุดนี้ นางกล่าวอย่างจริงจัง "ข้าทราบเ้าค่ะ"
หลังจากนั้นก็หันไปมองหรงจ้าน "พี่จ้าน ต่อไปท่านอย่าเห็นข้าเป็เด็กน้อยอีก ข้าโตแล้ว ไม่ใช่กระต่ายอ้วนหรือเป็แตงน้อยเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ตอนนี้ข้าโตจนเป็สาวใกล้จะออกเรือนได้อยู่แล้ว ดังนั้นการหยอกล้อเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเมื่อครั้งยังเด็ก เลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่า อันที่จริงข้าไม่แยแสว่าใครจะเข้าใจผิด แต่ข้ากลัวท่านลุงวิตกกังวล คนข้างกายข้าจะรู้สึกไม่สบายใจ ท่านเข้าใจหรือไม่?"
หรงจ้านมองเฉียวเยว่ด้วยแววตาคลุมเครือ
"ท่านลุงเ้าคะ ท่านไม่ต้องเป็ห่วง ต่อไปข้าจะระมัดระวังให้มากขึ้น แต่ข้าก็มีสิทธิ์ในการคบหาสหายเช่นกัน หลายปีมานี้ข้าแยกแยะได้ว่าพี่จ้านเป็คนเช่นไร ดังนั้นท่านวางใจเถิดเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่ยิ้มหวาน เอ่ยเสียงเบา "เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนไม่โกรธกันแล้วดีหรือไม่?"
หรงจ้านอมยิ้ม "ข้าไม่โกรธอยู่แล้ว แค่อาจารย์อย่าบันดาลโทสะเป็ใช้ได้"
"หากข้ามีศิษย์อย่างเ้า คงได้โมโหอกแตกตาย" ฉีจือโจวเอ่ย
เขาไม่อยากพูดอะไรมากมายต่อหน้าเฉียวเยว่ เื่เ่าั้หาใช่สิ่งที่เด็กผู้หญิงอายุเช่นเฉียวเยว่จะต้องมารับรู้
แม้ว่าเฉียวเยว่จะเก่งกล้าสามารถกว่าที่ใครๆ คิด แต่ถึงอย่างไรก็เป็เด็กน้อยในครอบครัวของตนเอง เขาไม่้าให้นางมีความสามารถอันใดมากมาย หวังเพียงให้นางมีความสุขอย่างเรียบง่าย ส่วนเื่อื่นๆ ทั้งหมด พวกเขาจะจัดการเพื่อนางเอง
"เหตุใดพวกท่านมาอยู่ที่นี่กันหมดเลยเล่า?" ไท่ไท่สามเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม "อวี้อ๋องก็มาแล้วหรือ"
นางรู้สึกดีกับเด็กคนนี้มากจริงๆ เห็นกล่องของขวัญบนโต๊ะ ก็รู้ว่าแปดส่วนต้องเป็ของกินที่ส่งมาให้เ้าแมวน้อยขี้ตะกละของพวกนาง "ท่านอ๋องอย่าตามใจนางนักเลย ต้องเสียเวลาทั้งวันทำของกินให้นาง พวกเราไม่รู้ว่าจะขอบคุณท่านอย่างไรดีแล้ว"
ไท่ไท่สามเป็คนชัดเจน หากชอบใครสักคน ท่าทีก็จะต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ฉีจือโจวไหนเลยจะไม่รู้นิสัยของน้องสาว เขาถอนหายใจอย่างปลงตก ความคิดของสตรีกับบุรุษไม่เหมือนกันเลย
เกี่ยวกับเื่ของอวี้อ๋อง เขากับซูซานหลางเคยคุยกันแล้ว ความคิดของทั้งสองค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่อาอิ่งกลับไม่คิดเช่นนั้น
เดิมทีหรงจ้านนั่งลงแล้ว แต่พอเห็นไท่ไท่สามเข้ามา กลับลุกขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม "ไม่เป็ไร ล้วนเป็สิ่งที่สมควร ยากยิ่งนักที่จะมีคนชื่นชมฝีมือการทำอาหารของข้า อีกอย่างครานี้นำแต่สาลี่น้ำแข็งมาฝากเท่านั้น ไม่ต้องลงแรงทำอะไรเอง อันว่าทองพันตำลึงหาง่าย แต่คนรู้ใจหายาก มานึกไตร่ตรองดูแล้ว นับว่าข้าเป็ฝ่ายเอาเปรียบเฉียวเยว่ ก็ยิ่งรู้สึกพึงพอใจ"
ไท่ไท่สามฟังแล้วก็ยิ่งมีรอยยิ้มกลาดเกลื่อนใบหน้า "ฟังคำกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกว่าหากไม่รับของคงจะต้องรู้สึกผิดเป็แน่ เด็กอย่างท่านนี่นะ"
ไท่ไท่สามมองหรงจ้านด้วยความพึงพอใจอย่างแท้จริง หากถามว่าบุตรเขยในอนาคตของนางเป็อย่างไร นางก็คิดว่าเป็อย่างหรงจ้านนี่แหละ
ชาติตระกูลดี หน้าตาหล่อเหลา เรียบร้อยมีมารยาท รักและห่วงใยเฉียวเยว่เป็ที่สุด แม้แต่งานทำอาหารซึ่งเป็หน้าที่ของสตรียังทำได้คล่องเหมือนนับสมบัติในบ้านตน ไท่ไท่สามเห็นเช่นนี้แล้วก็ยิ่งรู้สึกพอใจในตัวเขาเป็เท่าทวี
เฉียวเยว่ยังเป็เด็กอาจไม่มีความคิดอันใด แต่นางไท่ไท่สามรู้สึกว่า หากจะเลือกบุตรเขยสักคน คนผู้นี้ก็ไม่เลวอย่างยิ่ง แม้อายุจะมากไปเสียหน่อย แต่อายุยิ่งมากก็ยิ่งรู้จักรักและทะนุถนอมคน ยิ่งไปกว่านั้นอวี้อ๋องก็เคยช่วยชีวิตเฉียวเยว่มาหลายหน มองดูเพียงเท่านี้ก็มีคุณสมบัติที่ดียิ่งแล้ว
แน่นอนว่าด้านนอกมีข่าวลือบางอย่าง และข่าวลือเ่าั้ก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจของซานหลางและพี่ใหญ่ แต่อย่างไรเสียข่าวลือก็เป็ข่าวลือ หากฟังคำคนไปเสียทุกเื่ จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรกันเล่า
เหมือนนางในตอนนั้นก็มีข่าวลือไม่น้อย แต่ความจริงในนั้นมีอยู่กี่ส่วนไม่ต้องเอ่ยปากก็เป็ที่รู้กัน
ด้วยเหตุนี้ นางจึงยิ่งเห็นอกเห็นใจหรงจ้านมากขึ้น
"ต่อไปหากไม่มีธุระก็มาเล่นหมากกับซานหลางในจวนได้ เขาต้องยินดีต้อนรับท่านเป็แน่"
หรงจ้าน "ขอรับ"
หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างไม่กระโตกกระตาก "ฮูหยินสาม ฟังจากเสียงสนทนาของท่านดูเหมือนจะมีอาการหอบเล็กน้อย ไม่ทราบว่าพอถึงฤดูวสันต์ก็มักเป็เช่นนี้ใช่หรือไม่?"
ไท่ไท่สามตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนตอบกลับไป "ดูเหมือนจะใช่ ข้าไม่เคยนึกถึงมาก่อน แต่พอถึงฤดูวสันต์ก็มักเป็เช่นนี้"
หรงจ้านพยักหน้า "แท้จริงแล้วข้าเองก็เหมือนจะแพ้ละอองเกสรดอกไม้ แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก ถึงอย่างไรตนเองก็ไม่ใช่หมอ แต่หมอหลวงในวังเป็เช่นไร ท่านน่าจะรู้ดี พวกเขาจะบอกโรคที่เป็ หาก้ารักษา ก็ไม่ค่อยจะมีวิธีการที่ดีกว่าสักเท่าไร หมอหลวงในวังไม่หวังสร้างผลงานมากมาย แต่ขอแค่อยู่รอดปลอดภัย ปรกติแล้วปริมาณยาที่ใช้ก็จะเบาเป็พิเศษ มิใช่บอกว่าวิธีเช่นนี้ไม่ดี แต่บางคราก็ล่าช้าเกินไป หากกลายเป็โรคเรื้อรังก็จะยิ่งแย่ไปใหญ่ แท้จริงแล้วที่ข้ามาจวนของท่านวันนี้ ก็เพราะเื่นี้ หากท่านไม่รังเกียจ สามารถให้ศิษย์พี่หญิงของข้ามาตรวจให้ท่านได้ ที่ข้าออกจากเมืองหลวงคราก่อนก็เพื่อไปรับศิษย์พี่หญิงโดยเฉพาะ"
เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย "แม้ศิษย์พี่หญิงของข้าไม่ใช่หมอหลวง แต่ข้ากล้าพูดว่าทักษะการแพทย์ของนางไม่ด้อยกว่าหมอหลวงในวัง"
"เช่นนั้นก็ต้องเอาสิเ้าคะ พี่จ้าน ท่านจัดมาเลย" เฉียวเยว่เอ่ยอย่างจริงจัง
แม้จะเป็โรคเล็กน้อย แต่หากสามารถรักษาให้หายย่อมลดปัญหาไปได้มาก
ฉีจือโจวมองหรงจ้าน แล้วค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า "ทักษะการวางหมากของเ้าต้องดีมากอย่างแน่นอน"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้