“นี่มันช่างน่าแปลก” ชายวัยกลางคนพึมพำ ในตอนนี้หลินเฟิงกำลังทำให้เขารู้สึกถึงบางอย่างที่มันพิเศษ
เพียงแค่มองไปด้านหลังของหลินเฟิง มันทำให้เขารู้สึกว่าอยากจะมองต่อไป และถึงกับทำให้หัวใจของเขาต้องสั่นไหว หลินเฟิงเป็เศษขยะอย่างที่จื่ออีได้เอ่ยไว้จริงๆ หรือ?
“เขามาที่หมู่บ้านจื่อเหวยเพื่อเป็คนรับใช้และดูแลลานบ้าน อาจเป็เพราะว่าเดิมทีเขาไม่สนใจอยู่แล้ว เขากำลังฝึกฝนให้ระดับขอบเขตแข็งแกร่งมากกว่านี้!”
ชายวัยกลางคนคิดในใจ ในใต้หล้านี้มีลูกหลานที่มาจากตระกูลใหญ่ๆ ล้วนฝึกฝนด้วยตัวเองเป็จำนวนมาก ซึ่งมีวิธีฝึกฝนแตกต่างกันออกไป บางคนไปฝึกฝนถึงลานประลอง บางคนก็เต็มใจที่จะเป็ทาสรับใช้เพื่อฝึกจิตใจ ทำให้ตัวเองกลายเป็คนที่ไม่แยแสต่อสิ่งใด เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนเห็นหลินเฟิงเป็คนประเภทที่สอง
มิฉะนั้นชายหนุ่มผู้นี้คงไม่ยืนอยู่ตรงนี้และพยายามควบคุมหยวนชี่ฟ้าดิน และไม่ยอมเป็คนรับใช้หรือช่วยเขาทำความสะอาดลานบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ แบบนี้หรอก
ชายวัยกลางคนค่อยๆ เดินไปข้างหน้าหลินเฟิง อย่างไรก็ตามแต่ละก้าวของเขาล้วนเบาบางอย่างมาก ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้า เพราะเขากลัวว่าจะไปรบกวนหลินเฟิงเข้า
หลินเฟิงในขณะนั้นมีจิตใจที่สงบราวกับสายน้ำ ความคิดหลายอย่างวนเวียนในสมองไม่หยุดหย่อน จึงไม่ได้สนใจเื่ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเขา
“วันนั้นตอนที่ข้าได้ทะลวงขอบเขต โดยมีทั้งเจตจำนงการต่อสู้ เจตจำนงน้ำแข็ง และเจตจำนงดาบ แต่ทำไมข้าถึงเลือกเข้าสู่ขอบเขตการหลอมรวมเป็หนึ่งกับดาบ เจตจำนงที่มีอยู่ทั้งหมดถูกเผาไหม้กลายเป็เจตจำนงดาบ แต่ทำไมมันถึงไม่กลายเป็เจตจำนงน้ำแข็งหรือเจตจำนงการต่อสู้?”
หลินเฟิงกำลังตั้งคำถามกับตัวเองไม่หยุดหย่อน
“ดาบมีอำนาจดาบ มีดมีอำนาจมีด ดาบและมีดสามารถใช้ขอบเขตการผสานได้เหมือนกัน เมื่อเชี่ยวชาญในดาบจะสามารถหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับดาบได้ และเมื่อเชี่ยวชาญในมีดก็จะสามารถหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับมีดได้ ถ้างั้นแล้วชนิดอื่นๆ ล่ะ?”
“ก็เหมือนกับใบไม้เมื่อครู่นี้ที่ลอยอยู่ในสายลม งั้นใบไม้ก็มีอำนาจใบไม้ ส่วนสายลมก็มีอำนาจสายลม อำนาจและการผสานได้หลอมรวมเป็ขอบเขต งั้นมันก็ไม่ได้มีแค่ในดาบและมีด แต่มันมีในทุกสิ่งบนโลกใบนี้”
ภายในใจของหลินเฟิงตอนนี้เกิดความหยั่งรู้ จู่ๆ เขามีการตอบสนองคล้ายกับเข้าใจบางอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง
หลินเฟิงชูฝ่ามือขึ้นสูงเล็กน้อย ซึ่งฝ่ามือตอนนี้ราวกับภาพมายา ไร้เงาไร้รูปร่าง และใบไม้ก็ถูกตัดออกเป็ส่วนๆ และบินว่อนไปในอากาศ
แม้จะหลับตาอยู่ แต่หลินเฟิงในตอนนี้กลับสามารถควบคุมทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบ ซึ่งเหมือนกับความรู้สึกที่ใช้จิตวิญญาญนักรบก่อนหน้านี้ แต่มันก็ยังมีบางอย่างที่แตกต่างกัน
ก่อนหน้านี้ที่เขาใช้จิติญญานักรบ คล้ายกับว่าทุกสิ่งรอบตัวเขาได้กลายเป็สีเทา แต่ตอนนี้ระหว่างฟ้าดินที่อยู่รอบๆ ได้หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกัน และทำให้เขารู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ชัดเจน
ในตำราทักษะยุทธ์ได้มีการกล่าวไว้ว่า การบ่มเพาะพลังขึ้นอยู่กับการหยั่งรู้ เจตจำนงการหยั่งรู้ ขอบเขตการหยั่งรู้ และเส้นทางแห่งการหยั่งรู้ หาก้าเปิดประตูเส้นทางแห่งการหยั่งรู้ ก็จำเป็ต้องก้าวเข้าสู่ขอบเขตประเภทนี้ก่อน ซึ่งขอบเขตที่ว่านี้ก็คือการหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับโลก
“หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับโลก!”
หลินเฟิงพึมพำในใจ แล้วเขาก็ลืมตาขึ้นพร้อมทั้งบนใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นไม่ใช่ความลำพองใจและไม่ใช่ความหยิ่งผยอง แต่หลินเฟิงในตอนนี้แม้ภายนอกจะดูธรรมดา แต่ก็ไม่ธรรมดาอีกต่อไป
นี่เป็อีกหนึ่งขอบเขต ซึ่งสอดคล้องกับขอบเขตของเส้นทางแห่งนักรบ
หลินเฟิงหันหลังกลับไปมองชายวัยกลางคนที่ยืนห่างจากเขาไม่ไกลนัก หลินเฟิงส่งยิ้มให้เขา และคาดไม่ถึงว่ารอยยิ้มนี้จะทำให้ชายวัยกลางคนรู้สึกไม่คู่ควร
“จอมยุทธ์น้อย!”
ชายวัยกลางคนกล่าวกับหลินเฟิง ขณะมองหลินเฟิงด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพ
หลินเฟิงพยักหน้าให้กับชายวัยกลางคนอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
“จอมยุทธ์น้อย ลูกสาวข้าได้เคยล่วงเกินท่าน จื่อหนานจึงมาที่นี่เพื่อขอโทษท่านจอมยุทธ์น้อยและหวังว่าท่านจะยกโทษให้” ชายวัยกลางคนกล่าวขณะโค้งตัวเล็กน้อย ชายหนุ่มผู้นี้จะเป็เศษขยะไปได้อย่างไร? แม้ลูกสาวบุญธรรมของเขาจะมีพร์ที่ยอดเยี่ยม แต่นางกลับมองคนไม่เป็
“ท่านเรียกข้าว่าหลินเฟิงก็พอแล้วขอรับ และข้าก็ไม่มีความคิดจะไปต่อว่าพวกนางเลย ที่มาหมู่บ้านแห่งนี้ก็เป็ข้าที่สมัครใจมาเองขอรับ”
หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ที่เอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ได้หมายความว่าครั้งนี้เขาสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตการหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับโลกได้แล้ว ซึ่งต้องขอบคุณจื่ออีที่พาเขามาที่หมู่บ้านจื่อเหวย เขาทำหน้าที่คนรับใช้และทำความสะอาดลานที่นี่มาได้สองสามวันแล้ว จึงทำให้จิตใจของเขาสงบลงและปลอดโปร่ง ซึ่งส่งผลให้เขามีฝีมือก้าวหน้ามากกว่าเดิม
หากจื่อหลิงไม่ได้พาเขามาจากข้างถนน บางทีอาจเกิดเื่อันตรายขึ้นกับเขาก็ได้
การทะลวงสู่ขอบเขตการหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับโลกนั้น ไม่ใช่เื่ที่จะพบได้ง่ายๆ ถ้าหากจะให้อธิบายก็คงบอกได้ว่านี่เป็แค่เื่บังเอิญเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเฟิง จื่อหนานจึงยิ่งมั่นใจมากว่า หลินเฟิงจะต้องเป็ลูกหลานของตระกูลใหญ่ที่ออกมาหาประสบการณ์แน่นอน
“ที่หมู่บ้านจื่อเหวยแห่งนี้มีห้องฝึกฝนหรือไม่? หากมีโปรดให้ข้ายืมใช้มันหน่อย” จู่ๆ หลินเฟิงก็กล่าวออกมา
“แน่นอน” จื่อหนานตอบทันที “จอมยุทธ์น้อย โปรดตามข้ามา”
หลังจากกล่าวจบ จื่อหนานก็เดินนำหลินเฟิงไปยังป่าไม้ที่ลึกเข้าไปอีก หลังจากนั้นสักครู่ เขาก็พาหลินเฟิงมาถึงสถานที่ลับแห่งหนึ่ง ที่แห่งนี้มีหยวนชี่ฟ้าดินอยู่หนาแน่นจนเกิดหมอกสีขาวขึ้นมา จากนั้นจื่อหนานก็กล่าวว่า “จอมยุทธ์น้อย ที่นี่คือสถานที่ฝึกฝนที่ดีที่สุดในหมู่บ้านจื่อเหวย หากท่าน้าบ่มเพาะพลังก็สามารถใช้ได้ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีหินหยวนมากมาย ท่านสามารถนำไปใช้เพื่อฝึกฝนได้ตาม้า”
จื่อหนานเป็คนใจกว้างมาก การที่จะพบเจอลูกหลานตระกูลใหญ่ที่มีพร์ยอดเยี่ยมท่านนี้ แน่นอนว่ามันย่อมไม่ใช่เื่เลวร้าย
หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไปท่ามกลางหยวนชี่ฟ้าดินที่กลายเป็หมอกสีขาวนั่น เขาไม่คิดเลยว่าหมู่บ้านจื่อเหวยจะมีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วย
เมื่อมาถึงด้านใน ซึ่งเป็ไปตามหลินเฟิงคาดไว้ เขาเห็นหินหยวนวางอยู่ที่นี่เป็จำนวนมาก จากนั้นหลินเฟิงก็นั่งขัดสมาธิและเริ่มผสานกับโลก ทันใดนั้นหยวนชี่ฟ้าดินมหาศาลก็พุ่งเข้าปะทะร่างของหลินเฟิง
ทางด้านหลินเฟิงในตอนนี้ราวกับดูหิวโหย จึงทำให้หยวนชี่ฟ้าดินยิ่งพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว
การฝึกฝนในครั้งนี้หลินเฟิงไม่ได้ใช้เวลานานนัก เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นเขาก็เดินออกมาจากเขตหมอกสีขาว แต่จื่อหนานยังคงอยู่ตรงนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยหลินเฟิงอยู่
“จอมยุทธ์น้อย”
เมื่อเห็นหลินเฟิงเดินออกมา จื่อหนานก็ลุกยืนขึ้นทันทีด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า หลินเฟิงในตอนนี้ยังคงไม่มีอะไรผิดปกติ ยังดูเหมือนตอนที่เดินเข้าไปในตอนแรก ช่างดูลึกลับนัก ทำให้ผู้คนยากที่จะคาดเดาได้
“ไปกันเถอะ” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย และทั้งสองก็ก้าวเดินออกไปจากที่นี่ หลังจากนั้นก็กลับมาถึงลานบ้าน
จื่ออีและจื่อหลิงกำลังตามหาจื่อหนาน ในขณะนั้นด้วยความบังเอิญ พวกนางก็เห็นจื่อหนานและหลินเฟิงอยู่ด้วยกัน จึงอดแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้ จากนั้นก็ะโว่า “ท่านพ่อ! ข้าและจื่อหลิงกำลังตามหาท่านพ่อไปทั่วเลย!”
“ท่านพ่อ พวกเราเตรียมออกเดินทางเถอะ” จื่อหลิงกล่าวขณะยิ้ม จากนั้นนางก็หันไปมองหลินเฟิงและกล่าวว่า “หลินเฟิง เ้าเตรียมตัวให้พร้อมและเตรียมออกเดินทางกับพวกเรา”
“บังอาจ!”
จื่อหนานะโออกมาอย่างฉับพลัน จึงทำให้จื่อหลิงต้องรู้สึกสั่นสะท้าน จากนั้นนางก็มองไปที่จื่อหนานและกำลังจะอ้าปาก แต่หลินเฟิงกลับแทรกขึ้นมาก่อนว่า “คุณหนู พวกเรากำลังจะไปไหนกันหรือขอรับ?”
“คืออย่างนี้ หมู่บ้านจื่อเหวยของพวกข้าเป็ส่วนหนึ่งของตระกูลจื่อ อีกไม่กี่วันหลังจากนี้ นายน้อยแห่งตระกูลจื่อ จื่อโฉงจะแต่งงาน พวกข้าจะไปร่วมแสดงความยินดีกับเขาด้วย ดังนั้นข้าถึงเรียกพวกนางกลับมาและเตรียมตัวออกเดินทาง”
จื่อหนานชิงตอบกลับก่อน หลินเฟิงก็พยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจแล้ว นายน้อยแห่งตระกูลจื่อกำลังจะแต่งงาน จึงเป็ธรรมดาที่พวกเขาจะไปร่วมแสดงความยินดีด้วย
“ท่านพ่อ สองวันมานี้ข้าได้ยินมาว่าภรรยาของจื่อโฉงเป็หญิงสาวที่สวยงามหาใครเทียบได้ เธองามกว่าผู้หญิงในตระกูลจื่อเสียอีก นอกจากนี้เห็นว่าเป็เ้าหญิงแห่งเสวี่ยเยว่ด้วย และเื่ที่จื่อโฉงบังคับให้นางแต่งงานกับเขาเป็เื่หรือไม่?”
จื่อหลิงกะพริบตาถี่ๆ ขณะมองไปที่จื่อหนานอย่างสงสัย
“อย่าพูดเื่ไร้สาระ!” จื่อหนานขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างแ่เบาว่า “มีข่าวลือว่าสาวงามผู้นั้นเป็องค์หญิงแห่งเสวี่ยเยว่ก็จริง แต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ดังนั้นจึงไม่อาจแพร่งพรายมั่วซั่วได้”
“อืม…” จื่อหลิงส่งเสียงตอบขณะกะพริบตา
แต่หลินเฟิงกลับกำลังสั่นเทา
องค์หญิงเสวี่ยเยว่?
หลินเฟิงรู้ว่าในอาณาจักรเสวี่ยเยว่มีองค์หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือต้วนซินเยี่ย!
“หรือว่าจะเป็นาง?” หลินเฟิงขมวดคิ้วมุ่น ในวันนั้นหลังจากที่หลินเฟิงจากไปและทิ้งต้วนซินเยี่ยไว้ตัวคนเดียว เขาก็ไม่รู้ว่านางเป็อย่างไรบ้าง แต่เมื่อได้ยินจื่อหนานพูดว่านายน้อยแห่งตระกูลจื่อกำลังจะแต่งงานกับองค์หญิงแห่งเสวี่ยเยว่ผู้งดงาม นอกจากนี้ยังถูกบังคับอีกด้วย ฉะนั้นแล้วเธอคนนั้นอาจเป็ต้วนซินเยี่ยก็ได้
“นายท่าน ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย”
หลินเฟิงกล่าวกับจื่อหนาน ทำให้จื่อหนานประหลาดใจและมองหลินเฟิงด้วยสายตาจริงจัง ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่คัดค้านที่หลินเฟิงจะไปด้วย
“ไม่ใช่ว่าเ้าได้ยินที่ข้าพูดว่าภรรยาของจื่อโฉงนั้นเป็ผู้หญิงที่สวยงดงาม เ้าก็เลยร้อนใจจนอยากไปด้วยหรอกนะ” จื่อหลิงมองหลินเฟิงขณะยิ้มและกล่าวว่า “จื่อโฉงเป็ถึงนายน้อยแห่งตระกูลจื่อ แต่เ้าเป็แค่คนรับใช้ สถานะนั้นช่างแตกต่างกันสิ้นเชิง เ้าไม่อาจไปเทียบเขาได้และได้แต่มองอยู่ห่างๆ เท่านั้น”
“หุบปาก!” จื่อหนานะโออกมาอีกครั้ง แล้วกล่าวกับหลินเฟิงว่า “หากจอมยุทธ์น้อยหลินอยากไป งั้นข้าก็จะไม่ไป ดังนั้นข้าต้องรบกวนท่านดูแลพวกเธอทั้งสองคนด้วย”