เย่ชิงหานนอนสลบหมดสติอยู่ภายในหอเซียวเหยาเป็เวลากว่าครึ่งวันถึงได้ตื่นขึ้นมาเนื่องจากการเขย่าปลุกของลู่ซี
“ห้องของเ้ากำลังมีคนมาแล้วรีบๆ ออกไป!” ลู่ซีแผ่พลังิญญาสังเกตสถานการณ์ความเคลื่อนไหวด้านนอกอยู่ตลอดเวลา ขอเพียงมีคนเข้ามาหรือว่ามีพลังิญญาของผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพตรวจสอบผ่านมาเขาจะสามารถรู้ได้ในทันทีและจะให้เย่ชิงหานออกไป เพราะถ้าให้คนเห็นว่าเย่ชิงหานหายตัวไปอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้จะต้องเกิดความสงสัยขึ้นอย่างแน่นอน
“อืม...เวียนหัวมาก นี่มันภาพจิตรกรรมบ้าอะไรกัน? มีคนมา? อย่างนั้นข้าออกไปก่อน มีเวลาค่อยเข้ามาฝึกฝนก็แล้วกัน!” เย่ชิงหานสะบัดศีรษะไปมาอย่างรุนแรงหลายครั้งเพื่อทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นมา เขาเพิ่งจะกลับมาคงมีเื่ราวอีกมากที่ต้องสะสางจึงหาเวลาว่างทำการฝึกฝนได้ยาก คงต้องให้ผ่าน่นี้ไปก่อนค่อยกลับเข้าไปภายในหอเซียวเหยาถึงจะสามารถสงบจิตใจลงทำการฝึกฝนอย่างจริงจังได้
“ข้าคงต้องออกไปก่อน ผู้เฒ่าลู่ท่านอยากจะออกไปเล่นข้างนอกสักหน่อยไหม? อย่างน้อยก็ได้ผ่อนคลายอารมณ์บ้าง” เย่ชิงหานสมองปลอดโปร่งได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้วจึงพลันคิดได้ว่าลู่ซีอยู่แต่ภายในหอเซียวเหยาอาจจะรู้สึกเบื่อก็เป็ได้ ดังนั้นจึงเอ่ยถามความคิดเห็นของเขาขึ้น
“เหอะๆ ข้าเองก็อยากจะออกไปท่องเที่ยวเล่นอยู่เหมือนกัน แต่ว่า...่นี้ข้ายังไม่สามารถเผยตัวออกมาได้ เื่กระบี่เทพยังไม่ทันสงบลงถ้าหากข้าออกไปละก็จะทำให้คนอื่นสงสัยในตัวเ้าได้ ข้าคิดว่าอยู่ภายในหอเซียวเหยาต่ออีกสักระยะน่าจะดีกว่า!” ลู่ซีเมื่อได้ยินว่าออกไปเดินเล่นภายในดวงตาปรากฏแววยินดีออกมา ถูกขังอยู่ภายในูเาสุสานทวยเทพเป็เวลาหลายพันปีรู้สึกอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว แต่ใช้ความคิดพิจารณาอยู่ชั่วครู่จึงส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้น
“เอาอย่างนั้นก็ได้ มีเวลาข้าจะเข้ามาพูดคุยเล่นเป็เพื่อนท่าน!” เย่ชิงหานเองก็ทำการครุ่นคิดอยู่ภายในใจ รอให้สะสางเื่ราวต่างๆ ได้พอสมควรแล้วค่อยกลับเข้าไปภายในหอเซียวเหยาตั้งใจฝึกฝนอย่างจริงจัง เพราะไม่ว่าจะพูดอย่างไรเื่นี้เกี่ยวพันถึงชีวิตความอยู่รอดของเขา
ทำการเปิดใช้งานแหวนเซียวเหยาอีกครั้ง ร่างกายของเขาขยับวูบขึ้นคราหนึ่งพลันเลือนหายไปจากหอเซียวเหยาแล้วไปปรากฏขึ้นภายในห้องพักดังเดิม เป็ดังที่คาด เขาเพิ่งจะออกมาก็พลันได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบดังเข้ามาจากภายนอก
“ท่านพี่...ตื่นได้แล้ว ด้านล่างมีคนมาขอพบท่าน!” เสียงด้านนอกคือเสียงของเย่ชิงอวี่
“คือผู้ใดกัน?” เย่ชิงหานจัดแต่งเสื้อผ้าอยู่ชั่วครู่จึงเปิดประตูออกไปมองเห็นเย่ชิงอวี่ เขาหัวเราะแหะๆ ขึ้นจับมือเล็กๆ ของเย่ชิงอวี่ขึ้นมาพร้อมกับถามขึ้นด้วยความห่วงใย “ชิงอวี่ ทำไมถึงได้ตื่นแต่เช้าถึงเพียงนี้? สีหน้าเ้าดูไม่ค่อยดีเลย หรือว่าเมื่อคืนวานเ้าไม่ได้นอนหรือพักผ่อนได้ไม่ค่อยดีนัก?”
“หืม? เข้านอนดึกเช่นนั้นใครรู้คงได้ถูกหัวเราะเยาะเป็แน่” ใบหน้าของเย่ชิงอวี่ปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นมา ก้มหน้าลงอย่างเขินอายแล้วลอบนึกอยู่ภายในใจ เมื่อวานพวกเ้าทำกันเสียงดังขนาดนั้นคนอื่นนอนหลับลงได้ก็แปลกแล้ว จากนั้นนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบพูดขึ้น “ท่านพี่ ท่านยังไม่รีบลงไปอีก ด้านล่างมีเหล่าหัวหน้าตระกูลเล็กๆ และจ้าวเมืองเล็กทั้งหลายมารอท่านอยู่นานแล้ว ข้า...ข้าขอกลับไปห้องก่อนละ”
“ไม่ต้องไปสน ให้พวกเขารอต่อไป เ้ากินอะไรก่อนสักหน่อยค่อยนอนน่าจะดีกว่า เดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนนำของกินไปให้เ้า!” เย่ชิงหานเมื่อได้ยินว่าไม่ใช่ผู้าุโของตระกูลอะไรทำนองนั้นจึงไม่อยากจะสนใจอะไรมาก เขารู้ว่าตำแหน่งฐานะของเขาในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เป็ถึงนายน้อยใหญ่ของตระกูลเย่แน่นอนว่าจะต้องมีผู้มาขอพบเพื่อผูกไมตรีมอบสิ่งของนั่นนี่อะไรให้เป็แน่ เขายังไม่ได้ลงไปในทันที แต่ส่งกระแสเสียงบอกไปยังชุ่ยฮวาที่ยืนอยู่ตรงบันไดให้นำของกินขึ้นมา จากนั้นจึงค่อยเดินลงไปอย่างช้าๆ
“คารวะนายน้อยใหญ่!”
เมื่อเดินเข้าไปภายในห้องโถงใหญ่ คนห้าหกคนที่นั่งกันอยู่ภายในเมื่อมองเห็นเย่ชิงหานเดินเข้ามาต่างรีบลุกขึ้นประสานมือทำความเคารพขึ้นโดยทันที
“ทุกท่านเชิญนั่งไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก!” เย่ชิงหานหัวเราะเหอะๆ ออกมาเดินตรงไปยังตำแหน่งที่นั่งประธานแล้วนั่งลงในทันทีพร้อมกับสายตาที่กวาดมองไปยังคนเ่าั้ บุคคลทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่หนึ่งคนที่เขาพอจะรู้จักซึ่งก็คือเย่กุ้นจ้าวเมืองของเมืองหมัน ส่วนคนอื่นๆ นั้นเขาไม่ได้รู้จักแม้แต่คนเดียว
“เย่กุ้น ไม่เจอกันนานหลายปีดูดีมีสง่าราศีขึ้นมาไม่น้อยเลย แล้วทุกท่านที่เหลือคือ?” เย่ชิงหานยกแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งสายตามองไปที่เย่กุ้น เ้าอ้วนคนนี้ยิ่งนับวันยิ่งอ้วนขึ้นเรื่อยๆ ดำรงตำแหน่งจ้าวเมืองหมันอยู่หลายปีแล้วคิดว่าคงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปไม่น้อย สำหรับเย่กุ้นแล้วเย่ชิงหานพอมีความรู้สึกดีอยู่บ้าง เพราะในปีนั้นหากไม่ได้รถม้าเร็วของเย่กุ้นจนกลับมาได้ทันเวลา น้องสาวของเขาอาจจะจากไปโดยที่ไม่สามารถหวนกลับมาจริงๆ แล้วก็เป็ได้
“นายน้อยใหญ่กล่าวชมเกินไปแล้ว อาศัยบารมีของท่าน...จากกันจากเมืองหมันเพียงชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปถึงหกปีแล้ว ไม่คิดว่านายน้อยใหญ่จะยังจำข้าผู้น้อยเย่กุ้นผู้นี้ได้ นายน้อยไม่รู้ว่าในปีนั้นเมื่อข้าได้ยินว่าท่านถูกขังอยู่ภายในูเาสุสานทวยเทพข้าเป็ห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน...ตอนนี้นายน้อยปลอดภัยกลับมาได้แล้วนับว่า์ยังมีตา ข้าน้อยและเหล่าจ้าวเมืองอีกหลายท่านเลยนำของพิเศษพื้นเมืองมาทำการเยี่ยมคารวะต่อท่าน!”
ในปีนั้นที่อยู่เมืองหมันเขาแค่ออกมาพบกับเย่ชิงหานอย่างเร่งรีบเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น ไม่คิดว่าเย่ชิงหานยังจะจำเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังแสดงความเกรงใจต่อเขาเป็อย่างมากด้วย ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นยินดีจนแผ่นไขมันทั่วทั้งร่างสั่นไปหมด สีหน้าก็แสดงออกถึงความภาคภูมิใจคล้ายกับว่ากำลังโอ้อวดแก่เหล่าจ้าวเมืองคนอื่นๆ ฉันนั้น หลังจากกล่าวคำประจบสอพลอเสร็จจึงยิ้มขึ้นแล้วเริ่มแนะนำจ้าวเมืองทั้งหลายที่อยู่ข้างๆ ขึ้น “อืม...นายน้อย ท่านนี้คือเย่ชุนชุนจ้าวเมืองชุน ท่านนี้คือเย่หยางหยางจ้าวเมืองหยาง ท่านนี้คือเย่ซิงซิงจ้าวเมืองซิง...”
“นายน้อยสามารถรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัยถือเป็บุญวาสนาของตระกูลเย่ของเมืองชางและของเขตปกครองเทพา... นายน้อยอายุน้อยเพียงเท่านี้แต่มีระดับพลังฝีมือสูงล้ำถึงเพียงนี้ เรียกได้ว่าเป็ผู้มีพร์อันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทวีปัเพลิง ตระกูลเย่เนื่องจากนายน้อย...นายน้อยท่านเป็ดวงดาราบนท้องฟ้าที่ส่องสว่างนำทางแก่ผู้คน...ท่านคือไข่มุกที่ส่องประกายสว่างพร่างพราวมากที่สุดของทวีปัเพลิง...”
หลังจากที่เย่กุ้นพูดแนะนำทุกคนเสร็จต่างรีบยิ้มขึ้นอย่างประจบเอาใจพร้อมด้วยคำหวานสรรเสริญเยินยอที่ดังมาไม่ขาดสาย... สุดท้ายจึงต่างหยิบกล่องหยกออกมาพร้อมๆ กันเช่นเดียวกับเย่กุ้น “นี่คือของพื้นเมืองที่พิเศษเฉพาะ แน่นอนว่าอาจจะไม่ค่อยมีค่ามากเท่าใดนักในสายตานายน้อย แต่ก็ถือว่าเป็การแสดงคารวะแก่นายน้อย ถ้าหากนายน้อยใหญ่มีเวลาไปที่เมืองเล็กของข้าน้อยละก็...”
คำพูดประจบสอพลอแรกๆ ก็ยังพอน่าฟังได้อยู่ แต่หลังๆ เริ่มที่จะไม่น่าฟังขึ้นมาเท่าไรแล้ว ข้านายน้อยคนนี้ยังไม่ทันตายจะให้กลายเป็ดวงดาวเป็อะไรไปแล้ว จะประจบสอพลอก็ดูเกินจริงจนเกินไป... มองดูทั้งสี่คนยิ่งพูดยิ่งสนุกปากราวกับว่าทักษะการกล่าวประจบสอพลอมีใช้ออกมาได้ไม่มีหมดฉันนั้น สุดท้ายเย่ชิงหานทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงกระแอมออกมาเบาๆ ขัดจังหวะการแสดงฝีปากของพวกเขาขี้น
“เอาละ ของทิ้งไว้ ส่วนความตั้งใจของพวกเ้าข้าเข้าใจดี กลับไปอยากทำอะไรก็ทำแต่อย่าให้เกินขอบเขตที่จะรับได้ พวกเ้าน่าจะรู้ความหมายของข้าดี เย่กุ้นอยู่ก่อนส่วนคนอื่นๆ ออกไปได้!”
“อืม...วันหน้ายังมีโอกาสอีกมากพวกข้าน้อยไม่กล้าที่จะรบกวนเวลาอันมีค่าของท่านอีกต่อไป ถ้าหากนายน้อยมีโอกาสไปเที่ยวเล่นที่เมืองของพวกข้าน้อยละก็รับรองว่าจะทำการต้อนรับเป็อย่างดี หญิงสาวที่เมืองของพวกข้าน้อยฝีไม้ลายมือในการบีบนวดร้องรำล้วนชั้นหนึ่ง...”
ทั้งหมดเมื่อได้ฟังว่าเย่ชิงหานรับเอาของแล้วและน้ำเสียงในการพูดก็ฟังดูไม่เลวจึงได้พูดขอบคุณและกล่าวประจบสอพลอเอาใจอีกเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเย่ชิงหานที่เริ่มดำคล้ำขึ้นมาจึงรีบทำการคารวะแล้วก็ถอยออกไป
“แหะๆ นายน้อยใหญ่ อย่าไปฟังพวกนั้นคุยโว ไม่ใช่ว่าข้าพูดดูถูก หญิงสาวที่เมืองของพวกเขาจะไปมีอะไรดี หญิงสาวที่เมืองหมันสิถึงจะเรียกว่าของจริง สิบแปดแขนงวิชาร้อยแปดท่าลีลาัล้วนเชี่ยวชาญชำนาญทุกอย่าง ครั้งที่แล้วนายน้อยบอกว่ามีเวลาจะไปเที่ยวเล่น หรือว่าจะนัดเวลา เดี๋ยวข้าน้อยจะได้จัดเตรียมไว้รอ...”
เดิมทีพวกเขาเป็คนของเย่เชียง แต่หลังจากที่เย่ชิงหานอาละวาดขึ้นในสวนเมามายเย่เชียงจึงแสดงออกอย่างชัดเจนที่จะตั้งใจฝึกยุทธ์อย่างจริงจังโดยไม่คิดสนใจแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลอีกต่อไป และไม่แอบสมคบคิดซ่องสุมกำลังใดๆ ขึ้นมาอีก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเย่กุ้นถูกลอยแพไป เนื่องจากว่าเย้กุ้นพลังฝีมือไม่สูงมากนักอีกทั้งหลายปีมานี้มัวแต่เสพสุขหาความสำราญทำให้พลังฝีมือไม่ได้มีการพัฒนาขึ้นมาเลยสักนิด ดังนั้นหลายปีมานี้เขาเป็กังวลอยู่ตลอดว่าตำแหน่งจ้าวเมืองของเขาจะถูกคนอื่นเข้ามาแทนที่
ส่วนเย่ชิงหานหลายวันก่อนที่อยู่ศาลาเกียรติยศถูกแต่งตั้งให้เป็นายน้อยใหญ่ และยังเป็ประเภทที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตลอดกาลอีกด้วย ในตอนนั้นเย่กุ้นจึงเริ่มครุ่นคิดแล้วว่าจะลองใช้ความสัมพันธ์ที่มีอยู่อย่างเล็กน้อยในปีนั้นมาสานต่อขอพึ่งบารมีของเย่ชิงหานเพื่อรักษาตำแหน่งจ้าวเมืองของตนเองเอาไว้ต่อไป
“เอาละ เลิกแสแสร้งแสดงอะไรทำนองนี้ได้แล้วข้าไม่ชอบเท่าไร หากยังไม่หยุดอีกข้าคงจะต้องออกคำสั่งไล่แขกแล้วละ” เย่ชิงหานถอนหายใจออกมาอย่างอับจนปัญญาสีหน้าเ็า จากนั้นโบกมือขึ้นเพื่อหยุดการพูดของเย่กุ้น
เย่กุ้นมองเห็นสีหน้าเ็าของเย่ชิงหานพลันสะดุ้งใขึ้นในทันที นึกว่าตนเองพูดอะไรผิดออกไปจึงรีบลุกขึ้นด้วยอาการตื่นเต้นหวาดกลัว คิดอยากจะพูดอะไรออกมาสักหน่อยแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี ทำได้เพียงแค่ถูมือไปมาอย่างกระอักกระอ่วนอยู่เช่นนั้นพร้อมกับมองมาที่เย่ชิงหาน
“เย่กุ้น ในปีนั้น...ข้าติดค้างน้ำใจเ้าครั้งหนึ่ง ดังนั้นเ้าไม่จำเป็ต้องทำถึงขนาดนี้ ขอเพียงแค่ข้าเย่ชิงหานผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ข้ารับประกันว่าเ้าจะยังสุขสบายไปทั้งชีวิต แต่แน่นอนว่ายังคงเป็คำนั้นคำเดิม ถ้าหากเ้าทำอะไรเกินเลยจนเกิดเื่ใหญ่ขึ้นมาละก็ ข้าเองก็จะไม่เก็บเ้าเอาไว้เหมือนกัน!” เย่ชิงหานโบกมือขึ้นส่งสัญญาณบอกให้เขานั่งลงและไม่ต้องตื่นเต้นหวาดกลัวถึงเพียงนั้น
ตึง!
คิดไม่ถึงว่าคำพูดของเย่ชิงหานเพียงประโยคเดียวจะทำให้เย่กุ้นตื้นตันจนเกือบจะร้องไห้ออกมา แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดเลยว่าทำไมเย่ชิงหานถึงติดค้างน้ำใจเขาครั้งหนึ่ง? และยังให้คำมั่นสัญญาเช่นนี้อีกด้วย เย่กุ้นรีบคุกเข่าลงไปที่พื้นในทันทีทำท่าประสานมือมาทางเย่ชิงหานอยู่ไม่ขาดพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ “นายน้อยใหญ่ ท่าน...ท่านดีต่อข้ามากมายถึงเพียงนี้ ท่านคือพ่อแม่คนที่สองของข้า...ข้า ข้าไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรออกมาดีแล้ว ข้าโขกศีรษะให้ท่านก็แล้วกัน กลับไปเดี๋ยวข้าจะตั้งป้ายอายุยืนเป็ชื่อท่านเอาไว้กราบไหว้อีกด้วย...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้