'เขารู้ว่าการรบกวนคนอื่นเป็เวลานานนั้นไม่สมควร แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน นอกจากจะไม่มีเงินจ้างพี่เลี้ยงแล้ว ยังมีหนี้สินอีกเป็หางว่าวให้ต้องชดใช้ แล้วเขาต้องทำอย่างไรต่อไป...'
เขามีสีหน้าลำบากใจ ป้าสือรู้สึกผิดเช่นกัน แต่เธอเองก็จนปัญญา หลังจากคิดแล้วคิดอีก เธอก็ลูบใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยวถิงอย่างเบามือ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขอโทษว่า "ลูกสะใภ้ป้าลาคลอดมาหนึ่งปีแล้ว ถ้าไม่กลับไปทำงาน เกรงว่าจะถูกไล่ออก สองผัวเมียเงินเดือนก็น้อยนิด จ้างพี่เลี้ยงไม่ไหว ก็เลยต้องส่งลูกกลับมา"
เว่ยเจียเห็นป้าสือรู้สึกผิด จึงรีบโบกมือ "ผมเข้าใจครับป้า ผมจะหาทางออกเอง ขอบคุณที่ดูแลเสี่ยวถิงมาตลอดนะครับ"
ยิ่งเห็นเว่ยเจียเข้าใจ ป้าสือผู้ใจดีก็ยิ่งรู้สึกผิด แต่ทุกบ้านต่างมีปัญหาที่แก้ไม่ตกเหมือนกัน...เธอกับบ้านเว่ยเป็เพื่อนบ้านกันมาหลายสิบปี เห็นเว่ยเจียต้องลำบากหาเลี้ยงชีพด้วยตัวคนเดียว ก็อยากจะช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ จึงปฏิเสธคำขอร้องของลูกชายที่อยากให้เธอเลี้ยงหลานมาหลายครั้ง คอยแวะเวียนมาที่บ้านเว่ยอยู่เสมอ แต่เมื่อสองวันก่อน สามีของเธอก็ได้ยื่นคำขาด บอกว่าลูกชายกับลูกสะใภ้ทะเลาะกันเื่คนเลี้ยงลูกจนบ้านแทบแตกอยู่แล้ว ถ้าเธอไม่ช่วยจริงๆ บ้านคงแตกแน่ๆ
ในเวลานั้นเสี่ยวถิงที่อยู่ในอ้อมกอดเม้มปากน้อยๆ แล้วหันหลังไปหยิบกระต่ายน้อยที่พับจากกระดาษสีชมพูบนโต๊ะอาหารส่งให้เธออย่างเงียบๆ เด็กน้อยผู้เฉลียวฉลาดคงจะรู้ว่าอีกนานกว่าจะได้เจอเธออีกครั้ง ถือเป็การบอกลา
ป้าสือถอนหายใจยาวๆ เธอยิ้มรับกระต่ายกระดาษมาด้วยความรู้สึกเสียใจ พูดด้วยความรู้สึกผิดว่า "เสี่ยวถิง ป้าขอโทษนะ ป้าต้องไปช่วยเลี้ยงน้องแล้ว ถ้าป้ากลับมาจะมาเยี่ยมหนูนะ หนูต้องเป็เด็กดีเชื่อฟังน้านะ รู้ไหม"
เสี่ยวถิงพยักหน้า ทำให้ผมที่ยังไม่แห้งดีปรกลงมาบนหน้าผาก ดวงตากลมโตดำขลับดูเศร้าสร้อย ป้าสือยิ่งรู้สึกะเืใจมากขึ้น ทำได้เพียงกล่าวขอโทษออกมาอีกครั้ง "เสี่ยวเจีย ป้าขอโทษจริงๆ นะ"
"ไม่เป็ไรจริงๆ ครับ ป้าสือ!" เว่ยเจียส่ายหน้าแล้วยิ้มขื่น โอบกอดเสี่ยวถิงไว้ "ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณป้าที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอด"
เห็นดังนั้น ป้าสือก็ไม่พูดอะไรอีก เธอหยิบกระต่ายกระดาษสีชมพูแล้วลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เก็บของใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อย แล้วเว่ยเจียจึงจูงมือหลานชายตัวน้อยไปส่งเธอที่หน้าประตู
"พอแล้ว ไม่ต้องมาส่งแล้ว รีบไปเป่าผมให้เสี่ยวถิงเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบาย" ป้าสือยิ้มแล้วโบกมือ บอกให้เขารีบเข้าบ้าน
เธอหันหลังเดินลงบันไดไป เดินไปได้สามก้าวก็หันกลับมามองด้วยความสงสาร เว่ยเจียยังคงจับมือเด็กน้อยยืนอยู่ที่ประตูกำลังมองส่งเธอ ใบหน้าขาวซีดผอมซูบ แม้จะฝืนยิ้ม แต่ดวงตากลับแฝงไปด้วยความเศร้าโศกอย่างแสนสาหัส
เธอรู้สึกเสียใจมาก อยากเมตตาต่อเด็กๆ แต่ก็ไร้ความสามารถ คิดได้ดังนั้น จึงทำได้เพียงเมินหน้าหนีอย่างใจร้าย และรีบเดินลงบันไดจากไป
รอจนเสียงฝีเท้าหนักๆ ของป้าสือเงียบหายไป เว่ยเจียถึงกล้าถอนหายใจ สิ่งที่ตามมาคือความกดดันอย่างมหาศาล
'แล้วหลังจากนี้จะทำอย่างไรดี...'
ในขณะที่จิตใจของเขากำลังว้าวุ่น สายฟ้าพลันผ่าเปรี้ยงลงมา แสงสว่างวาบส่องสว่างไปทั่วห้องโถงของอพาร์ตเมนต์เก่าๆ ตามมาด้วยเสียงฟ้าคำรามกึกก้อง เสี่ยวถิงใตัวสั่นเทากำชายกางเกงของเขาแน่น ความหวาดกลัวของเด็กน้อยดึงเว่ยเจียกลับสู่โลกแห่งความเป็จริง
"โอ๊ะ น้าไม่ดีเอง เหม่อลอยไปได้ เรากลับเข้าไปในบ้านกันเร็ว!" เว่ยเจียพูดพลางก้มลงอุ้มหลานชายเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
เขาวางเสี่ยวถิงลงข้างโต๊ะอาหาร รีบเป่าผมเด็กน้อยให้แห้ง จากนั้นก็เอาข้าวสวยที่เหลือในตู้เย็นไปอุ่นในไมโครเวฟ แล้วตักแกงกะหรี่หมูที่ได้มาจากน้าฟางราดลงไป
เด็กน้อยที่เงียบมาตลอดแววตาเป็ประกายขึ้นมาทันที เขายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มลงมือกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
"เสี่ยวถิงชอบกินแกงกะหรี่หมูใช่ไหม น้าเรียนทำอาหารหลายอย่างจากน้าฟางเลยนะ หนูชอบกินอะไรที่สุด ไข่เจียวมะเขือเทศ ผัดวุ้นเส้นเสฉวน หรือลูกชิ้นหมูตุ่นไต้หวัน?"
เว่ยเจียถามไปเรื่อยๆ เด็กน้อยเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าว พยักหน้าหรือส่ายหน้าบ้างในบางครั้ง แต่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมาเลยสักคำ แต่เว่ยเจียก็ยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ
...นี่เป็คำแนะนำของนักบำบัด แม้เด็กจะไม่ตอบ ก็ต้องสื่อสารกับเขาต่อไป ให้เขาคุ้นชินกับบรรยากาศการสนทนาในชีวิตประจำวัน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาก็จะพูดออกมาเอง
เว่ยเจียกำพร้าแม่ั้แ่ยังเด็ก สองพี่น้องเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งมาด้วยกัน แม้ไม่ค่อยสะดวกสบาย แต่ก็อบอุ่นและมั่นคง ทว่าเื่ไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อครึ่งปีก่อน พี่สาวที่ทำงานล่วงเวลามาหลายวัน ลากสังขารที่อ่อนล้าขับรถพาพวกเขาไปเที่ยวสวนสัตว์ เพื่อไม่ให้ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเสี่ยวถิง ใครจะรู้ว่าความอ่อนเพลีย จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุชนประสานงากับรถบรรทุกทรายที่วิ่งสวนมา ทำให้รถชนกันหลายคัน
พี่สาวของเขาเสียชีวิตคาที่ เว่ยเจียที่นั่งอยู่ข้างคนขับติดอยู่ในซากรถ เ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะดึงเขาออกมาจากรถได้ แต่ขาซ้ายของเขาแตกละเอียด ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลถึงครึ่งปีกว่าจะหาย
เสี่ยวถิงที่นั่งอยู่เบาะหลังได้รับาเ็สาหัส ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่หลังจากได้เห็นแม่ตัวเองตายต่อหน้าต่อตา เด็กน้อยก็ป่วยเป็ภาวะทางจิตที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรง ทำให้เด็กน้อยไม่พูดอีกเลย
เว่ยเจียรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่หลังจากรักษาตัวจนหายดีแล้ว สิ่งที่ตามมาคือการเรียกร้องค่าเสียหายจำนวนมหาศาลจากอุบัติเหตุต่อเนื่องครั้งนั้น สาเหตุหลักของอุบัติเหตุเกิดจากความอ่อนเพลียของพี่สาว แม้ว่าผู้พิพากษาจะเห็นใจในชะตากรรมของเขา และได้พิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้ของเขาแล้วลดจำนวนเงินชดเชยลง แต่สำหรับเว่ยเจียที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานและอายุเพียงยี่สิบปี จำนวนเงินที่ต้องชดใช้ยังคงเป็จำนวนที่สูงเกินเอื้อม...
ในขณะนั้นเอง เสี่ยวถิงยื่นช้อนมาจ่อที่ริมฝีปากของเขา ดวงตาโตจ้องมองเขาเป็ประกาย ส่งสัญญาณให้เขาอ้าปาก เว่ยเจียจึงหัวเราะออกมาอย่างจนใจ เพราะไม่อยากแสดงความเศร้าให้เด็กเห็น เขายิ้มแล้วอ้าปากรับช้อน กินข้าวเข้าไปคำใหญ่ แกล้งทำสีหน้าเกินจริง "ว้าว อร่อยจังเลย!"
เสี่ยวถิงหัวเราะให้กับท่าทางตลกๆ ของเว่ยเจีย แต่เป็รอยยิ้มที่เหมือนยกมุมปากเล็กน้อยเท่านั้น แล้วเด็กน้อยก็กลับไปทำสีหน้าเฉยเมยเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตามเดิม
เว่ยเจียยิ้มขื่นในใจ เอื้อมมือไปขยับเครื่องช่วยฟังที่หูของเด็กน้อยให้เข้าที่ เช็ดคราบซอสที่มุมปากหลานชาย พร้อมประกาศก้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เสี่ยวถิง น้าจะดูแลหนูเอง ไม่ต้องกลัวนะ"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้