ฉินอวี่ฟื้นขึ้นมา และค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจ
“หรือข้าจะหลอนไปเอง? แต่หากหมดสติไปจะเกิดภาพหลอนได้อย่างไรกัน? แล้วทั้งสองคนนั้นเป็ใครกัน? พวกเขากำลังพูดถึงข้าหรือ?”
คำถามมากมายผุดขึ้นในใจของฉินอวี่ คำสนทนาที่ได้ยินขณะกำลังหมดสติไปนั้นทำให้ฉินอวี่งุนงงเป็อย่างมาก และเขาก็แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นไม่ได้คิดไปเองหรือเป็ภาพหลอน แต่หากจะไม่เป็เช่นนั้น แล้วพวกเขาสองคนเป็ใครกันแน่?
หรือว่าในสำนักยุทธ์ว่านจ้งยังมีความลับที่ข้ายังไม่รู้?
“ดูเหมือนพวกเขาจะรู้ว่าตัวข้ายังไม่จุดตะเกียงกรรม แล้วคนที่พวกเขาเรียกว่าพี่ใหญ่เทียนคือใครอีกล่ะ? พวกเขาบอกว่าข้ามีพลังปราณที่เขาคุ้นเคย? ช่างเถอะ ไม่ต้องไปยุ่งก่อนดีกว่า จะอย่างไรก็อย่างนั้น ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เอง รีบยกระดับการฝึกฝนให้เข้าถึงขั้นเทียนชุ่ยก่อนดีกว่า” เมื่อนึกถึงเื่นี้ ฉินอวี่ก็ค่อยๆ ปีนลุกขึ้นมา
เป็เพราะฉินอวี่ได้กินโอสถระดับสามเข้าไปก่อนจะหมดสติ อาการาเ็บนร่างกายของเขาจึงดีขึ้นมากแล้ว รอยแตกของผิวต่างได้รับการสมานแล้ว
แม้ว่าแรงกดทับนั้นจะทำให้ฉินอวี่เคลื่อนไหวได้ยาก แต่ก็นับว่าดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาจึงค่อยๆ นั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น และเริ่มทำการสำรวจภายในร่างกายของตนเอง
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องประหลาดใจคือหลังจากเขาได้ใช้การเปลี่ยนแปลงขั้นแรกของวิชาปีศาจคลั่ง ร่างกายของเขาก็มีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะกระดูกของเขาที่มีความแข็งราวกับก้อนหิน และสิ่งสำคัญกว่านั้นคือ พลังปราณของเขามีความหนามากขึ้น และมีการประสานรวมกับอสุนีลึกลับและเพลิงแอ่งธรณี จนเกิดความแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด
สัญลักษณ์ของขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่หนึ่งนั้น พลังปราณจะมีการควบแน่นเป็แก่นปราณ และยังมีมโนจิตของตนเอง
“หากพลังอสุนีลึกลับและเพลิงแอ่งธรณีสามารถรวมเข้ากับพลังปราณได้ ก็จะทำให้พละกำลังของพลังปราณเพิ่มขึ้นได้อย่างมาก ในตอนนี้ ระดับการฝึกฝนก็มีความเสถียรพอสมควรแล้ว ถึงเวลาต้องรีบพัฒนาเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยแล้ว” ฉินอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนำเม็ดยาหลอมปราณออกมา และวางไว้ในปาก ก่อนจะกลืนมันลงไป
เพียงชั่วพริบตา พลังปราณของร่างกายก็เริ่มปะทุขึ้นมา ไม่นานนัก ฉินอวี่ก็เหมือนตกอยู่ในทะเลเพลิง พลังปราณในร่างกายเดือดพล่านจนเอ่อล้นออกมาจากภายในร่างกายทันที
ใบหน้าของฉินอวี่ภายใต้หน้ากาก ดูน่ากลัวเป็อย่างยิ่ง ความรู้สึกแสบร้อนทั่วทุกอณูในร่างกายได้พุ่งเข้าไปในจิตใจของเขา
โอสถหลอมปราณ เดิมทีแล้วใช้สำหรับหลอมพลังปราณ ซึ่งเป็การใช้พลังของโอสถช่วยกระตุ้นพลังปราณ และเผาผลาญสิ่งสกปรกในพลังปราณ แม้ว่าสิ่งนี้จะช่วยลดระยะเวลาลงไปมาก แต่ความเ็ปที่เกิดขึ้นนั้นก็รุนแรงเกินกว่ามนุษย์ปกติจะทนไหว
แม้ว่าฉินอวี่จะสามารถทนต่อความรู้สึกแสบร้อนนี้ได้ แต่ร่างกายของเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านขึ้น เขาปิดตาแน่นและกัดฟันกรอด ก่อนจะเริ่มใช้วิชาเซียนมรรคา์
ถ้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังิญญาที่หนาแน่น และด้วยความทรงพลังของวิชาเซียนมรรคา์ ใช้เวลาไม่นาน ทั่วทั้งถ้ำก็เกิดเป็กระแสวังวนของพลังงานขนาดเล็ก ท้ายที่สุดกระแสพลังิญญาทั้งหมดก็ตรงเข้าสู่ร่างกายของฉินอวี่ทันที
พลังิญญานั้นเปรียบเหมือนการเติมเชื่อเข้าไปในไฟ ช่วยให้พลังปราณเกิดการเผาผลาญได้ดีขึ้น และเกิดความเ็ปขึ้นในอวัยวะภายในและกล้ามเนื้อทุกส่วน นอกจากนี้ พลังิญญาฟ้าดินยังช่วยกระตุ้นการเผาไหม้ในทะเลลมปราณของฉินอวี่ ในตอนนี้ความรู้สึกถึงภาวะวิกฤติอันร้ายแรงความเ็ปได้แผ่ซ่านออกไปทั่วทั้งร่าง ฉินอวี่กัดฟันส่งเสียงดังเหมือนสัตว์ร้ายกำลังคำราม
ด้วยการมีอยู่ของพลังอสุนีลึกลับและเพลิงแอ่งธรณีทำให้พลังปราณของฉินอวี่ถูกเผาผลาญอย่างดุเดือดและยาวนานกว่าคนทั่วไป ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่ต้องแบกรับความทุกข์ทรมานเป็เวลานาน และเท่ากับเป็การทดสอบความอุตสาหะของฉินอวี่เป็อย่างยิ่ง
ฉินอวี่ได้กลายเป็เหมือนมนุษย์เพลิงอยู่ในถ้ำแห่งนี้ หากมีผู้ใดมองไปยังร่างของฉินอวี่ในตอนนี้ ทุกคนอาจจะต้องแปลกใจอย่างมาก ในขณะที่จุดตันเถียนของเขากลายเป็ทะเลเพลิง รอยประทับของสายฟ้าในเมล็ดพันธุ์คืนชีพก็หมุนอย่างรุนแรง ดูดซับพลังิญญาฟ้าดิน เพลิงแอ่งธรณีและพลังอสุนีลึกลับอย่างบ้าคลั่ง ท้ายที่สุด ลวดลายในเมล็ดพันธุ์คืนชีพก็ปรากฏเป็พลังปราณบริสุทธิ์ขนาดเท่าเส้นผมจำนวนหลายสาย และนี่ก็เป็ต้นแบบของแก่นปราณอย่างแท้จริง
ขณะที่ฉินอวี่กำลังก้าวผ่านการทดสอบครั้งใหญ่ จากนั้นเสียงทั้งสองก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เอ๊ะ เ้าเด็กคนนี้กำลังฝึกกลวิชาอะไรอยู่? พลังิญญาของชั้นที่สามทั้งหมดล้วนแต่หลั่งไหลเข้ามาหาเขา”
“ในสำนักยุทธ์ว่านจ้งมีกลวิชาระดับสูงอยู่มากมายมิใช่หรือ? ความมุ่งมั่นของเขาไม่เลวเลย เขาใช้โอสถหลอมปราณจนต้องแบกรับความเ็ปที่มากกว่าคนอื่นอย่างน้อยห้าเท่า”
“ห้าเท่า? เ้ากำลังคิดว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง? พลังสามชนิดรวมกันเป็หนึ่ง ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ตันเถียนของเขาาเ็ หากเขาไม่อาจยืนหยัดไว้ได้ กลัวว่าจุดตันเถียนจะแตกสลายเสียก่อน ว่าแต่ก่อนหินสีดำที่อยู่ในพลังสายฟ้าในร่างกายของเขาคืออะไรกัน?”
“ก้อนหินไหน? เห็นชัดอยู่ว่านั่นเป็เมล็ดพันธุ์ ข้าคิดว่าสาเหตุที่พี่ใหญ่เทียนรู้สึกคุ้นเคยกับเขา น่าจะเป็เพราะเมล็ดพันธุ์นั่นแน่นอน”
“จริงสิ ข้ารู้สึกได้ว่าในแดนเทียนหมัวซิงเฉินยังมีคนที่ยอดเยี่ยมอยู่คนหนึ่ง คนผู้นั้นดูเหมือนจะดุกว่าเ้าเด็กคนนี้เสียอีก คนอื่นต่างคิดว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร แต่คนผู้นี้กลับคิดว่าจะต้องตายอย่างไร และความสติปัญญาของเขาก็น่าทึ่งมาก หากเป็เช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเขาอาจจะเข้าใจถึงหนทางของความะ”
“หนทางของความะ? ต้องสนใจให้มากกว่านี้แล้ว หากคนผู้นั้นยังไม่ตาย เขาก็มีคุณสมบัติ”
“อืม ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหลายปีมานี้ ซิงเฉินทั้งสี่มีความแปลกประหลาดไปเล็กน้อย เมื่อไม่กี่วันก่อนข้ารู้สึกเหมือนมีใครสักคนไปเกิดใหม่ เ้าคิดว่าคนเช่นนี้จะสามารถนำพาพวกเขามาได้หรือไม่?”
“เื่นี้คงต้องเอาไปถามพี่ใหญ่เทียนและพี่ใหญ่ตี้แล้วล่ะ พวกเขาน่าจะเป็คำตอบสุดท้ายของเื่นี้ได้”
ฉินอวี่ที่กำลังแบกรับความเ็ปอย่างสาหัส รู้สึกได้ว่าคนสองคนนี้กำลังสนทนากันอย่างไม่รู้จบอยู่ภายในจิตใจของตนเอง เขาพยายามควบคุมจิตใจ แต่คำพูดของทั้งสองคนกลับทำให้ฉินอวี่ต้องตกตะลึง ครู่หนึ่ง ในใจของฉินอวี่ก็เหมือนจะหมดความอดทน
“พวกเ้าสองคนช่วยหุบปากเสียทีเถอะ!” ฉินอวี่ตวาดออกไปอย่างรุนแรง
“เอ๊ะ? เขาบอกให้ใครหุบปาก?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรกัน”
“โคตรแม่งเอ๊ย!” ฉินอวี่ก่นด่า
“เอ๊ะ เขากำลังด่าแม่ใคร?”
“ข้าจะไปรู้หรือ?”
“เฮ้ เ้าคิดว่าหนีเฟิงตายแล้วหรือยัง?”
“ข้าจะรู้หรือ? เขาจะตายหรือไม่ตายก็ต้องอยู่ตรงนี้ เพียงแต่ ่ที่ผ่านมาเขาดูแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ”
ใน่เวลาสำคัญเช่นนี้ เสียงทั้งสองนั้นยังคงดังเข้ามาในจิตใจของฉินอวี่อย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนทั้งสองคนต่างพูดคุยกันอย่างมีความสุข และเมื่อฉินอวี่รู้สึกได้ว่าฤทธิ์ของโอสถหลอมปราณได้มาถึงจุดสูงสุด ฉินอวี่ก็ส่งเสียงะโขึ้นอย่างร้อนใจ “ข้าหมายถึงพวกเ้าทั้งสองคนนั้นล่ะ หนีเฟิง? ข้ายังมีหวังโฮ่วเต๋ออีกนะ!”
“เดี๋ยวนะ... ทำไมเขา... เป็ไปได้อย่างไรกัน!”
“หุบปาก!”
ในขณะที่ฉินอวี่คิดว่าทั้งสองคนได้หยุดพูดแล้วนั้น ไม่นานนักก็มีเสียงพูดอย่างโกรธเคืองดังขึ้น “เวรเอ๊ย ที่เขาพูดอยู่ตั้งนานที่แท้ก็กำลังด่าพวกเราหรือ? เ้ามีโคตรแม่งให้เขาด่าหรือไม่? ข้าไม่มีนะ...”
“หุบปาก!!!”
เสียงทั้งสองก็หายไปจากจิตใจของฉินอวี่โดยสมบูรณ์ ฉินอวี่เริ่มรู้สึกหวาดกลัว แต่ก็ไม่กล้าคิดอะไรมาก จากนั้นจึงทำการรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีเพื่อทำการยกระดับตนเองสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่หนึ่ง
เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉินอวี่ก็อยู่ในห้องเทียนหมายเลขเก้ามาเป็เวลาสามเดือนครึ่งแล้ว
ในวันนี้
ณ ห้องโถงของหอคอยว่านจ้ง
“แย่แล้ว ศิษย์พี่หลิว คนผู้นั้นมาที่นี่แล้ว” หลี่เซิ่งรีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอกอย่างตื่นตระหนก และพูดอย่างกังวล
“คนไหน? ใครกัน?” หลิวอวิ๋นขมวดคิ้ว และถามกลับไป
“จ้าวจิงหลง ศิษย์พี่จ้าวอย่างไรล่ะ!” หลี่เซิ่งพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“อะไรนะ? เขาไม่ได้ออกไปหาประสบการณ์อยู่หรือ? แย่แล้ว เ้าคนบ้ากลับมาแล้วหรือเนี่ย? ทำไมถึงกลับมาเร็วแบบนี้ล่ะ เร็วเข้าๆ รีบไปที่ห้องเทียนหมายเลขเก้า... ไม่ได้สิ... ช่างเถอะ เอาเป็ว่าเมื่อถึงเวลาจะชดเชยแต้มสนับสนุนให้ผู้ดูแลคนนั้นเพื่อเป็การไถ่โทษ รีบไปเร็วเข้า ข้าจะพยายามถ่วงเวลาให้นานที่สุด!” หลิวอวิ๋นลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะกระซิบออกไป
หลี่เซิ่งรีบหันกลับและวิ่งออกไปทันที
หลิวอวิ๋นเดินไปมาอยู่ตรงโต๊ะด้วยความกังวลใจ
ห้องเทียนหมายเลขเก้าถูกสงวนเอาไว้สำหรับจ้าวจิงหลง จ้าวจิงหลงเคยบอกเอาไว้ก่อนจะเดินทางออกจากสำนัก ว่าไม่ว่าเขาจะกลับมาเมื่อใดก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ห้องเทียนหมายเลขเก้าจะต้องว่างให้เข้าใช้งานได้เสมอ แต่ฉินอวี่กลับบังเอิญเข้ามาพอดี หลิวอวิ๋นคิดในใจว่าจะให้ฉินอวี่ใช้แค่ครึ่งปี แต่กลับนึกไม่ถึงว่า จ้าวจิงหลงผู้นี้จะกลับมาก่อนเวลามากมายเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม จ้าวจิงหลงนับเป็ศิษย์อันดับที่สองในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะ และเป็คนที่คาดกันว่าจะได้เป็ผู้นำศิษย์รุ่นห้าในการคัดเลือกศิษย์ ดังนั้น หลิวอวิ๋นจึงกล้ารบกวนฉินอวี่เสียมากกว่าไปล่วงเกินจ้าวจิงหลง
ในขณะที่หลิวอวิ๋นกำลังร้อนใจนั้น มีเงาร่างสูงสง่าร่างหนึ่งตรงเข้ามายังห้องโถง ห้องโถงที่เต็มไปด้วยเสียงดังก็เงียบสนิทลงทันที พลังอันอำมหิตทำให้อุณหภูมิทั่วทั้งพื้นที่ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
หลิวอวิ๋นเงยหน้าขึ้นทันที มองไปยังชายหนุ่มที่กำลังก้าวเข้าประตูมา ชายหนุ่มคนนี้อยู่ในชุดปราชญ์สีขาว ใบหน้าเคร่งขรึม คิ้วหนาราวกับกระบี่ ดวงตาทั้งสองเป็ดั่งดวงดาว รัศมีอันน่าเกรงขามแผ่กระจายออกมา จนผู้คนต่างไม่กล้าจ้องมองไป
“จ้าว... จ้าวจิงหลง”
“จ้าวจิงหลงศิษย์อันดับที่สองในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะ”
“สมแล้วที่เป็ศิษย์ในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะผู้มีพร์ ระดับสูงสุดของขั้นเทียนชุ่ยมีพลังที่แข็งแกร่งและน่ากลัวเช่นนี้นี่เอง”
ศิษย์ทั่วทั้งห้องโถงต่างกระซิบกันด้วยความใ
จ้าวจิงหลงเมินเฉยต่อคำพูดของทุกคน ได้แต่เดินตรงเข้าไปยังหลิวอวิ๋น และพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ป้ายคำสั่ง”
“ศิษย์... ศิษย์พี่จ้าว ศิษย์... ศิษย์น้องหลี่ได้รอท่านอยู่ด้านล่างแล้ว” เมื่อถูกจ้องเช่นนี้ หลิวอวิ๋นก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ พยายามระงับความกลัวของตนเองเอาไว้อย่างสุดกำลัง และพูดออกไปอย่างตะกุกตะกัก
จ้าวจิงหลงละสายตาจางหลิวอวิ๋น และหันหลังกลับไปก่อนจะเดินตรงไปทางบันได
“แข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนเสียอีก ศิษย์พี่จ้าวโผล่มาในสำนักครั้งนี้จะมีเื่อะไรเกิดขึ้นอีกละเนี่ย? หลี่เซิ่ง... ไม่ว่าอย่างไร จะต้องพาตัวผู้ดูแลหอตำราออกมาให้ได้นะ” หลิวอวิ๋นะโก้องในใจ
แต่เขากลับไม่รู้ ว่าตอนนี้หลี่เซิ่งกำลังเดินวนเวียนอยู่ตรงหน้าประตูของห้องเทียนหมายเลขเก้า แม้ว่าจะไม่สามารถล่วงเกินจ้าวจิงหลงได้ แต่เขาจะสามารถล่วงเกินผู้ดูแลหอตำราได้หรือ? ใครๆ ก็รู้ว่าตำแหน่งผู้ดูแลมีสถานะที่พิเศษเช่นไร หากรบกวนการฝึกฝนของเขา... ก็กลัวว่าต่อจากนี้ไปคงจะเป็เื่ยากที่จะได้เข้าไปยังหอตำรา
ขณะที่หลี่เซิ่งกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้น ประตูของห้องเทียนหมายเลขเก้าก็เปิดออกอย่างกะทันหัน ลมที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวก็โชยออกมา หลี่เซิ่งดีใจเป็อย่างมาก แต่กลับมองเห็นฉินอวี่ค่อยๆ เดินออกมา
“ผู้ดูแล... ท่าน... ท่านออกจากการฝึกแล้วหรือ” หลี่เซิ่งมองฉินอวี่ด้วยความใ การที่ฉินอวี่เสร็จสิ้นจากการฝึกฝนเช่นนี้ นับว่าเป็เื่ดีอย่างยิ่งเลยทีเดียว
ฉินอวี่กวาดสายตามองหลี่เซิ่ง และพยักหน้าเล็กน้อย และเดินจากไป
ขณะที่กำลังเดินขึ้นบันได ฉินอวี่ก็ได้เผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่ดูโเี้คนหนึ่ง ฉินอวี่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองชายคนนี้ และพูดอยู่ในใจ “ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สามมีพลังปราณที่รุนแรงเช่นนี้เชียวหรือ? สำนักยุทธ์ว่านจ้งมีผู้แข็งแกร่งมีความสามารถซ่อนอยู่จริงๆ”
ชายหนุ่มที่ดูโเี้คนนั้นไม่ได้สนใจมองฉินอวี่ ได้แต่เดินตรงลงบันไดไป
เมื่อชายหนุ่มผู้ดูโเี้เดินมาถึงห้องเทียนหมายเลขเก้า หลี่เซิ่งก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และนึกถึงความอันตราย แต่ก็รีบระงับความคิดทุกอย่างเอาไว้ทันที ก่อนจะพูดออกไป “ศิษย์พี่จ้าว เชิญ!”
จ้าวจิงหลงเดินตรงเข้าไปในห้องเทียนหมายเลขเก้า โดยไม่หันมองหลี่เซิ่งแม้แต่น้อย ทันทีที่ก้าวเข้าไปในถ้ำ ร่างกายของจ้าวจิงหลงก็เหมือนจมดิ่งลงทันที กวาดสายตามองไปรอบถ้ำ เมื่อเขาได้พบกับรอยกำปั้นที่หนาแน่นอยู่บนผนังถ้ำ ดวงตาของจ้าวจิงหลงก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที
ท้ายที่สุด สายตาของเขาก็จ้องไปยังรอยกำปั้นที่ลึกที่สุดบนผนัง สายตาของเขาดูตกตะลึงเป็อย่างยิ่ง และพึมพำกับตนเอง “หมัดนี้อย่างน้อยจะต้องใช้พลังถึงสี่ชั้น เขาเป็ใครกันแน่? นอกจากนี้ ยังเป็หมัดข้างขวาทั้งหมด ไม่มีหมัดข้างซ้ายเลยสักนิด หรือจะมีแขนข้างเดียว? ไม่สิ ด้วยความแข็งแกร่งของบุคคลผู้นี้ ต่อให้แขนขาดไปก็สามารถจะกำเนิดขึ้นใหม่ได้ หรืออาจพูดได้ว่า หมัดข้างขวาของคนผู้นี้ มีความแข็งแกร่งมากกว่าข้างซ้ายหลายเท่า?”
“เขาทำได้อย่างไรกัน?”
