อวิ๋นโส่วจงหัวเราะ “ใช่แล้ว เจียวเอ๋อร์ของพวกเราพูดถูก ทุกคนไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย รู้ดีว่าอะไรดีอะไรไม่ดี”
ทุกคนในครอบครัวกินอาหารอิ่มท้องอย่างมีความสุข เื่นี้ก็ถูกวางทิ้งไว้ อวิ๋นเจียวตื่นจากงีบหลับตอนเที่ยง ก็พบว่าในลานบ้านมีโครงรถม้าเพิ่มขึ้นมาสองโครง ดูเหมือนพี่รองคงทำโครงรถม้าเสร็จแล้ว
อวิ๋นเจียวรีบออกไปดู โครงรถม้าที่ภายนอกดูธรรมดา ในแคว้นต้าเยี่ย รถม้าก็มีกฎเกณฑ์กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็ความกว้าง ความยาว หรือจำนวนม้าที่ลาก ล้วนไม่อาจผิดพลาด ในยุคโบราณที่เคร่งครัดเื่ชนชั้น หากผิดพลาดไปเพียงนิด อาจถึงขั้นถูกปะาชีวิต
เพียงแต่ โครงรถม้าสองโครงนี้ แม้ดูธรรมดา แต่หากสังเกตดูรายละเอียด จะพบว่าแตกต่างจากรถม้าทั่วไป เช่น ล้อรถ ล้อหนึ่งนั้นกว้างกว่ามาก ขณะเดียวกันด้านนอกยังหุ้มหนังวัวอีกชั้น ดูโป่งๆ
ส่วนภายในหนังวัวนั้นมีสิ่งใด อวิ๋นเจียวเองก็ไม่รู้ นางเพียงแต่เล่าถึงแิยางรถยนต์ในยุคปัจจุบันให้อวิ๋นฉี่ซานฟัง พร้อมกับทฤษฎีการลดแรงสั่นะเืที่นางเรียบเรียงขึ้นมาเอง ซึ่งรวมถึงเื่ลวดขดต่างๆ ด้วย โดยตัดส่วนที่ไม่สามารถทำได้ในยุคโบราณออกไป ส่วนที่เหลือก็ให้ร้านขายตำราโบราณในเถาเป่าช่วยคัดลอกเป็เล่ม แล้วนำไปมอบให้อวิ๋นฉี่ซาน
อวิ๋นฉี่ซานเฉลียวฉลาด ทำตามจากในตำราก็สามารถประดิษฐ์ชุดลดแรงสั่นะเืขึ้นมาได้จริงๆ รถม้าของบ้านพวกเขาก่อนหน้านี้ก็ถูกเขาปรับปรุงใหม่แล้ว
“เจียวเอ๋อร์ เ้ามาดูรถม้าสิ พอใจหรือไม่?” เห็นอวิ๋นเจียวลุกออกมา อวิ๋นฉี่ซานก็เอ่ยอย่างภูมิใจนำเสนอ
อวิ๋นเจียวปีนขึ้นไปบนรถม้า มองไปรอบๆ ด้านนอกเรียบง่าย แต่ภายในกลับมีลูกเล่น ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ โต๊ะเก้าอี้สามารถดึงออกมาเป็เตียง โต๊ะน้ำชาเมื่อไม่ใช้ก็สามารถพับเก็บติดกับผนังรถม้าได้
ด้านหลังโต๊ะน้ำชาสลักเป็ภาพดอกกล้วยไม้ เมื่อติดกับผนังรถม้าแล้วก็กลายเป็ภาพวาดอันงดงาม ที่นั่งบนรถม้าไม่เพียงแต่ดึงออกมาเป็เตียงได้ ด้านล่างโต๊ะเก้าอี้ยังออกแบบเป็กล่องสำหรับเก็บของมีค่าได้อีกด้วย กล่าวโดยสรุป อวิ๋นเจียวชื่นชมอวิ๋นฉี่ซานในใจเป็อย่างมาก
“พี่รอง ท่านเก่งมาก รถม้าที่ปรับปรุงคราวนี้ดีกว่าครั้งที่แล้วอีกเ้าค่ะ”
อวิ๋นฉี่ซานได้รับคำชมก็ยิ้มเขินพลางเกาหัวเบาๆ “ถ้าอย่างนั้น ข้างในก็ให้น้องหญิงจัดการเองแล้วกัน ข้าจะไปหาท่านอาจารย์ก่อน”
“เ้าค่ะ พี่รองรีบไปเถิด อ้อ แล้วของดีเช่นนี้ ได้เตรียมไว้ให้ท่านอาจารย์หรือไม่เ้าคะ?”
อวิ๋นฉี่ซานรีบตอบ “เตรียมไว้แล้ว นี่ไง รถม้าสองโครง หนึ่งคันพวกเราใช้เอง อีกคันให้อาจารย์ใช้” กล่าวจบ เขาก็บอกลาอวิ๋นเจียวแล้ววิ่งออกไป
“ท่านพ่อไปซื้อม้าที่ในตำบลแล้ว คราวนี้พวกเราไม่ต้องขนสัมภาระอะไรมากมาย ก็แค่ไปเที่ยวเล่นข้างนอก เดินทางตอนกลางวัน พักค้างแรมในโรงเตี๊ยมตอนกลางคืน รถม้าหนึ่งคันก็เพียงพอแล้ว แบบนี้ก็จะได้เหลือรถม้าไว้ที่บ้านหนึ่งคันให้อาจารย์ใช้”
ฟางซื่อเดินออกมา บอกว่าเตรียมของเสร็จแล้ว รอซื้อม้ากลับมา อีกสองวันก็ออกเดินทางได้ เื่ในไร่นาก็จัดการเรียบร้อยแล้ว อย่างไรเสียก็มีอวิ๋นโส่วกวงกับอวิ๋นโส่วเย่าคอยดูแล พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลอะไร
“เ้าค่ะ ท่านแม่ งั้นข้าจะไปจัดรถม้านะเ้าคะ!” ่นี้เื่วุ่นวายมากมายทำให้อวิ๋นเจียวรู้สึกอัดอั้นใจมาก ต้นกล้าดอกไม้ของนางก็ถูกเ้าหน้าที่ทำลายไปหมด ตอนนี้แค่คิดว่าอีกไม่นานก็ได้ออกไปเที่ยวผ่อนคลายข้างนอกแล้ว ความหดหู่ใจก็มลายหายไปสิ้น
อวิ๋นเจียวเรียกชุนเหมยและอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์มาช่วยจัดรถม้า การตกแต่งภายในรถม้าเป็ไปตามแบบที่อวิ๋นเจียวร่างไว้ ส่วนอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ช่วยเย็บปัก ตกแต่งในรูปแบบชนบทเรียบง่ายสดใส ใช้สีเขียวหลายเฉดดูแล้วสดชื่นสบายตา
ทางฝั่งอวิ๋นเจียวและคนอื่นๆ กำลังเตรียมตัวออกเดินทางด้วยความตื่นเต้น ส่วนอวิ๋นฉี่เยว่กับอาจารย์หม่าที่อยู่เมืองหลวงก็เกือบจัดการเื่ราวต่างๆ เสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน
สุดท้ายเสนาบดีโหลวก็ถูกปะาชีวิตประจานที่ตลาด ผู้คนมากมายต่างมามุงดูเหตุการณ์ ทว่าคนที่มาส่งเขามีอาจารย์หม่าเพียงคนเดียว
สุราหนึ่งจอก คำอำลาว่า ‘ไปดีเถิด’ ทำให้เสนาบดีโหลวร้องไห้ออกมา ก่อนจะเอ่ยว่า ‘ท่านไม่ควรมา’ จากนั้นก็ถูกเพชฌฆาตตัดศีรษะ
อาจารย์หม่าเสียใจอยู่หลายวัน ถึงขนาดล้มป่วยเป็ไข้หวัด ตอนนี้ทั้งสองคนพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม อวิ๋นฉี่เยว่ได้ไปเชิญหมอมาทำการรักษา และดูแลอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากอาจารย์หม่าไปร่วมพิธีส่งเสนาบดีโหลวในวันปะา ทำให้สหายเก่าในเมืองหลวงต่างพากันหลบหน้าเขา กลัวว่าจะถูกองค์กรอินทรีทมิฬเพ่งเล็ง และนำปัญหามาสู่ตนเอง
“ฉี่เยว่ เ้าไม่ควรตามข้ามาเลย แค่กๆ...” ในเวลานี้อาจารย์หม่าก็รู้สึกเสียใจ ไม่ใช่กลัวว่าตนเองจะเดือดร้อน แต่กลัวว่าจะพาให้อวิ๋นฉี่เยว่ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
เพราะก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่า เื่ของโหลวหงคังจะบานปลายใหญ่โตขนาดนี้ ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนัก ไม่มีใครกล้าไปส่งเขาที่ลานปะาเลยสักคน
อวิ๋นฉี่เยว่ยิ้มบางๆ “ท่านอาจารย์พูดเช่นนี้ก็เห็นข้าเป็คนอื่นแล้ว ปัญญาชนซื่อตรงสง่าผ่าเผย พวกเราแค่ไปส่งสุราจอกสุดท้ายให้ผู้ที่กำลังจะตาย องค์กรอินทรีทมิฬ ต่อให้โเี้เพียงใด คงไม่หาเื่กับอาจารย์ศิษย์อย่างพวกเราในเวลาเช่นนี้หรอกขอรับ เพราะพวกเขายังคงต้องรักษาหน้าตา”
“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านก็ลาออกจากราชการแล้ว ส่วนข้าก็ยังไม่ใช้ถงเซิ่งเลยด้วยซ้ำ องค์กรอินทรีทมิฬคงไม่เสียเวลากับพวกเราหรอกขอรับ สำหรับพวกเขาแล้ว ศิษย์อาจารย์อย่างพวกเราก็เป็แค่คนเขลาที่เอาแต่ศึกษาตำราจนโง่เง่า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังต้องใช้พวกเราสองคนมาแสดงให้เห็นถึงความใจกว้างของพวกเขาอีกด้วย”
คำพูดของอวิ๋นฉี่เยว่ทำให้อาจารย์หม่าคลายใจลงได้ในที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์หม่ายังรู้สึกชื่นชมในความคิดความอ่านของอวิ๋นฉี่เยว่มากขึ้น ในใจก็ยิ่งพึงพอใจในตัวเขามากขึ้นไปอีก
จริงๆ แล้ว ที่อวิ๋นฉี่เยว่ตัดสินใจมาเมืองหลวงคราวนี้ เขาไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว เขาไม่มีทางทำเื่ที่นำพาอันตรายไปสู่ครอบครัวเป็อันขาด
อาจารย์หม่าดื่มยาเสร็จก็เข้านอน เขาจึงให้อากุ้ยเฝ้าอยู่ข้างๆ ส่วนตัวเองก็ออกไปที่ตลาด วันนี้เป็วันที่ครอบครัวของเสนาบดีโหลวถูกนำตัวออกมาขาย
คุณชาย คุณหนูแห่งจวนเสนาบดีที่เคยสูงส่งในอดีต วันนี้กลับต้องกลายมาเป็ทาสถูกขาย ยิ่งไปกว่านั้น เพราะเป็การขายโดยราชสำนัก จึงเป็ทาสสืบชั่วลูกหลาน ไม่มีวันได้เป็ไท ยกเว้นแต่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษจากฮ่องเต้
บนท้องถนนที่มุ่งหน้าสู่ตลาด ผู้คนพลุกพล่าน ไม่มีใครมาเพื่อส่งเสนาบดีโหลว แต่คนที่ตั้งใจมาซื้อคนของตระกูลโหลวนั้นกลับมีไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็ขุนนางและเชื้อพระวงศ์
ในเวลานี้ การซื้อคนของตระกูลโหลวกลับไปเป็ทาสสักคนสองคน ก็เปรียบเสมือนเป็การแสดงความจงรักภักดีต่อผู้ที่อยู่เื้ัเื่นี้
บนเวทีที่ทางการใช้ประมูลขายทาส เต็มไปด้วยผู้คนจากตระกูลโหลว ทั้งสายตรง สายรอง ญาติห่างๆ บ่าวไพร่ รวมกันแล้วหลายร้อยคน ทำให้พื้นที่บนเวทีแน่นขนัด
ภรรยาและบุตรธิดาสายตรงยืนอยู่แถวหน้าสุด ทุกคนต่างโศกเศร้าเสียใจ มีทั้งหวาดกลัว ร้องไห้ฟูมฟาย ทันใดนั้นก็มีทหารเข้าไปตบหน้าบ้าง ใช้แส้ฟาดบ้าง หลังจากถูกลงโทษและข่มขู่หลายครั้งก็ทำให้เหล่าคุณชาย คุณหนู และฮูหยินแต่ละคนที่เคยใช้ชีวิตสุขสบาย เหลือเพียงความหวาดกลัวตัวสั่นเทา ราวกับนกกระทาที่ต้องทนรับความทุกข์ ไม่กล้าส่งเสียง
ถัดมาด้านหลังเป็บุตรธิดาสายรอง ไกลออกไปอีกหน่อยก็เป็ญาติห่างๆ ส่วนคนแถวสุดท้ายก็คือบ่าวไพร่ ไม่นานนัก คนของตระกูลโหลวก็ถูกซื้อไปจนหมด ไม่ว่าจะเป็สตรี บุรษ คนชรา เด็กเล็ก ล้วนถูกแบ่งสันปันส่วนไปจนหมดสิ้น
จากนั้นก็ถึงคราวของบุตรธิดาสายรอง ขายช้ากว่าเล็กน้อย เพราะราคาทาสที่ขึ้นตรงกับราชสำนักราคาค่อนข้างสูง นี่เป็วิธีการควบคุมของราชสำนัก ไม่ว่าอย่างไรหากขายไม่ได้ ผู้หญิงก็จะถูกส่งไปเป็หญิงงามเมือง ส่วนผู้ชายก็ถูกส่งไปเป็ทหารหรือไม่ก็ถูกส่งไปทำงานหนักในเหมือง อย่างไรเสีย ราชสำนักก็ไม่มีทางขาดทุน
หลังจากขายคนของตระกูลโหลวสายรองหมดแล้ว ก็เหลือเพียงญาติห่างๆ และบ่าวไพร่ ชาวบ้านธรรมดาต่างก็อยากซื้อบ่าวไพร่ เพราะบ่าวไพร่จากตระกูลใหญ่โตมักจะรู้จักธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ มากมาย ซื้อกลับไปก็ยังสามารถสอนบ่าวไพร่ที่บ้านได้อีกด้วย