เช้าตรู่ของฤดูสารทอากาศค่อนข้างเย็น รถม้ายังคงวิ่งเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ล้อที่หมุนไป นำพามาซึ่งอารมณ์ที่ต่างกัน
เมื่อคืนมีฝนตกปรอยๆ อากาศร้อนปะทะอากาศเย็นก่อเกิดเป็ฝนฤดูสารท วันนี้อากาศจึงเย็นลง แต่หลังฝนผ่านไปท้องฟ้าก็สดใส เมฆน้อยลมสงบ บัดนี้เพิ่งเข้าสู่ฤดูสารทได้ไม่นาน ต้นไม้ใบหญ้ายังไม่เหี่ยวเฉา เฉียวเยว่เลิกม่านรถม้าชมความร่มรื่นเขียวขจีริมทาง ดอกไม้ป่าโอนเอนพลิ้วไสว บนกลีบดอกประพรมไปด้วยหยาดน้ำค้าง ชูช่อเบ่งบานเผยให้เห็นเกสรสีเหลืองเรืองอร่าม
เฉียวเยว่สวมอาภรณ์สีฟ้าน้ำทะเลแลดูน่ารักสดใส ทว่ายังค่อนข้างเรียบร้อย แน่นอนว่าเพื่อความสะดวกเมื่อออกมานอกบ้าน พวงแก้มแดงระเรื่อ ริมฝีปากนุ่มชุ่มชื่นเผยอออกเล็กน้อย มองเห็นความสุขฉายชัดบนเรียวคิ้วและดวงตา
"ไม่รู้ต้องเดินทางอีกไกลแค่ไหน" ฉีอันเปรยขึ้น
"ใครจะไปรู้เล่า" เฉียวเยว่ตอบกลับไป
เฉียวเยว่ไม่ได้เดินทางไกลมานานมาก ออกเดินทางครั้งก่อนก็ไปไหว้พระเป็เพื่อนพี่สาว นึกถึงครานั้น นางก็มองผ่านม่านรถออกไป วันนี้หรงจ้านถึงกับขี่ม้าด้วยตนเอง ชวนให้คนคาดไม่ถึงจริงๆ
หากผู้อื่นเป็เช่นนี้ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็เื่ปรกติ แต่หรงจ้านหาใช่ผู้อื่น เฉียวเยว่รู้สึกว่าเขามั่งคั่งและสูงศักดิ์กว่าคนเ่าั้เป็ไหนๆ เขามักให้ความสำคัญกับความรื่นรมย์เป็ที่สุด แต่แทนที่จะนั่งรถม้าสบายๆ กลับยกให้พวกนาง ส่วนตนเองก็ไปขี่ม้าแทน นางไม่เข้าใจเลยสักนิด
เฉียวเยว่มองหรงจ้านอย่างพินิจ วันนี้เขาสวมอาภรณ์สีดำ สวมผ้าโพกศีรษะถือพัดขนนก ท่าทางเหมือนกับหนุ่มน้อย แต่พูดให้ตรงที่สุด คนผู้นี้ให้ความรู้สึกเหมือนดวงตะวันที่อบอุ่นและเจิดจรัสมากกว่า
เฉียวเยว่รู้สึกแปลกใจมากที่มีคนประเภทนี้ สิ่งที่เขาแสดงออกกับความเป็จริงช่างแตกต่างกันลิบลับ
หรงจ้านเป็คนแบบไหนกันแน่ เขาผ่านประสบการณ์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมามาก อุปนิสัยก็ค่อนข้างแปลกประหลาด แต่เมื่อดูจากภายนอกเขากลับชัดเจนและโปร่งใสอย่างยิ่ง
แต่เื่ความชัดเจนโปร่งใสที่ว่าก็อธิบายได้ยาก เฉียวเยว่รู้สึกว่าหรงจ้านใช้มันมาตบตาผู้อื่นมากกว่า
สายตาของเฉียวเยว่วนเวียนอยู่ที่ตัวหรงจ้าน เ้าตัวย่อมรับรู้ได้ มุมปากของเขาโค้งขึ้นน้อยๆ เพิ่มความเจิดจ้าดุจดวงตะวันขึ้นไปอีก
เฉียวเยว่ยกมือกุมคาง ครุ่นคิดพิจารณาว่าแท้จริงแล้วสิ่งใดกันแน่ที่ทำให้คนผู้หนึ่งเปลี่ยนไปได้เพียงนี้
"เอา ให้เ้า" เฉียวเยว่หันไปมอง ฉีอันส่งผ้าเช็ดหน้าให้นางผืนหนึ่งแล้วกล่าวว่า "เช็ดเสีย"
เฉียวเยว่ถามกลับไปด้วยความสงสัย "เช็ดอะไร?"
นางรับผ้าเช็ดหน้ามาอย่างงุนงง
แต่ถึงนางจะงุนงง ฉีอันน้องชายของนางกลับไม่สับสน
ฉีอันยิ้ม ค่อยๆ พูด "เช็ดน้ำลายของเ้า"
เฉียวเยว่ "..."
หน็อยแน่ เ้าลูกแมวเหมียว!
เฉียวเยว่ทำแก้มป่อง "เ้าหมายความว่าอย่างไร หาว่าข้าหลงบุปผา [1] รึ?"
ฉีอันยิ้มพลางชูสองมือ โต้กลับไปทันควัน "ฟ้าดินเป็พยาน ข้ามิได้เอ่ยว่าเ้าหลงบุปผาสักประโยค เ้ารู้สึกไปเองทั้งนั้น ไยข้าต้องพูดอะไรที่น่าชังด้วยเล่า"
เชอะ อย่างนี้ยังไม่เรียกว่าน่าชังอีกหรือ? เฉียวเยว่รู้สึกคันไม้คันมืออยากจะทุบคนสักที
นางมองฉีอัน หลังจากนั้นก็หันไปฟ้องอย่างฉอเลาะ "ท่านตา ท่านดูฉีอันสิ เขารังแกข้า ข้าใช่สตรีหลงบุปผาเยี่ยงนั้นเสียที่ไหน"
"อื้ม เ้าไม่เคยหลงบุปผาเลย แต่ดวงตาแทบจะไปแปะบนตัวผู้อื่นอยู่รอมร่อ ยังบอกว่าไม่ใช่ เ้าคิดว่าข้าเชื่อหรือไม่เล่า?" ฉีอันแดกดันเสียงเรียบ
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึ "ข้ากำลังขบคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็คนประหลาดเช่นนี้ต่างหากเล่า"
ท่าทีของฉีอันบ่งบอกว่า เ้าโจรน้อย ข้ามองเ้าทะลุปรุโปร่งตั้งนานแล้ว ยังมาทำเ้าเล่ห์เถียงข้างๆ คูๆ
เฉียวเยว่เตะเขาไปหนึ่งที "ข้าเป็พี่สาวเ้า เ้าควรเคารพข้า เชื่อคำพูดของข้าสิ"
พูดมาถึงตรงนี้ ทุกคนต่างหัวเราะกันครืน
อาจารย์ฉีนั่งในรถม้ากับเด็กทั้งสอง พูดขึ้นว่า "ไกวเยว่เอ๋ย พวกเราควรโน้มน้าวใจคนด้วยเหตุผล"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง "ใช้เหตุผลมาโน้มน้าวเสียเวลา ข้าคิดว่าต้องใช้กำลังถึงจะถูกต้อง เมื่อกำปั้นของข้าสามารถทำให้เขาเชื่อฟังได้ แล้วจะต้องคุยเหตุผลอันใดอีกเล่า"
ตากับหลานชายสองคนต่างถอนใจอย่างคาดไม่ถึง
เฉียวเยว่พูดต่อ "หากเ้าไม่ยอม ข้าก็จะตีจนกว่าเ้าจนยอม ไม่ต้องมาคุยเหตุผลกับข้า มันน่าเบื่อ"
ตรรกะของเฉียวเยว่ข้อนี้ทำให้อาจารย์ฉีส่ายหน้ายิ้ม แต่ไม่คิดติดใจอันใดมากนัก อย่างไรเสียก็เป็เด็กผู้หญิง ประกอบกับเป็ไปได้แปดส่วนว่าเฉียวเยว่เพียงล้อเล่นเท่านั้น
แต่ในฐานะพี่น้องฝาแฝด ฉีอันเชื่อว่าพี่สาวของเขาหมายความเช่นนั้นจริงๆ เขาคิดว่าสตรีที่นิยมความรุนแรงเป็สิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่พูดอะไร พี่สาวของเขาอาจดูก้าวร้าวไปบ้าง แต่ไม่ใช่คนเลวร้าย
เดินทางอยู่สองวัน ในที่สุดทุกคนก็มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
แม้จะเป็หมู่บ้าน แต่เห็นได้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้มั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากร หรงจ้านได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้พรั่งพร้อม "ทางนี้เตรียมไว้เรียบร้อย พวกท่านลองดูที่พัก" เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนยิ้มกล่าวว่า "แม้จะจัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมมูล แต่อย่างไรเสียการอยู่ร่วมกันย่อมสะดวกและปลอดภัยกว่า"
บุคลิกสุภาพเรียบร้อย ชวนให้คนเกิดความสนิทชิดเชื้อ แม้ว่าจะสวมชุดผ้าไหมหรูหรา แต่กลับไม่ทำให้รู้สึกว่าแตกต่างจากผู้อื่น ราวกับว่าเขานี่แหละคือคนที่เข้ากับทุกคนได้ดีที่สุด
สำหรับจุดนี้ เฉียวเยว่จึงชำเลืองมองเขาไม่หยุด
หรงจ้านทำเป็ไม่เห็น ดวงหน้ายิ้มอบอุ่นอ่อนโยน
เฉียวเยว่รู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างเสแสร้งเก่งเหลือเกิน
ภายในสะอาดสะอ้าน แม้จะเป็บ้านคนธรรมดา แต่เพื่อต้อนรับแขก ทุกที่ล้วนสะอาดเอี่ยมอ่อง
หรงจ้านใช้ปลายนิ้วลูบบนโต๊ะ หลังจากนั้นก็ล้วงผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือ
ทุกคนต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา พอเห็นพวกเขามองตนเป็ตาเดียว หรงจ้านก็คล้ายว่าจะเก้อเขินอยู่บ้าง เขาหน้าแดงยิ้มพลางเอ่ยเสียงเบา "คือว่า... ข้าเป็คนที่ค่อนข้างจะรักความสะอาดมากเป็พิเศษ"
คนที่นำทางเข้ามาเป็สะใภ้รุ่นใหญ่คนหนึ่ง นางหัวเราะเสียงดัง "ไม่เป็ไร ข้าไม่ถือสา"
ในที่สุดเฉียวเยว่ก็พบคนที่พูดเสียงดังกว่าหลันหมัวมัวแล้ว
ทุกคนต่างออกไปดูที่พักของหรงจ้านกับคนอื่นๆ อวิ๋นเอ๋อร์เตรียมผ้าปูกับผ้าห่มไปด้วย ก็เริ่มจัดการปูที่นอนทันที
"พวกเ้าเรียกข้าว่าสะใภ้ใหญ่หวังก็ได้ โอ้... คุณหนูผู้นี้เหมือนเทพธิดาจริงๆ"
หรงจ้านมองสะใภ้ใหญ่หวังปราดหนึ่ง ดูเหมือนว่านางจะไม่สังเกต แต่กลับเปลี่ยนเื่คุย "ไปกันเถอะ ข้าจะพาไปเอง เที่ยงนี้จะต้มโจ๊กข้าวโพดให้พวกท่านกินกัน"
"ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจัดการเองได้" หรงจ้านเอ่ยช้าๆ
สะใภ้ใหญ่หวังทักท้วงทันควัน "ได้อย่างไรกัน เห็นอยู่ว่าท่านเป็ผู้สูงศักดิ์ จะให้มาทำงานหยาบเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ท่าน..."
นางยังไม่ทันพูดจบ หรงจ้านก็เอ่ยว่า "ข้าไม่ชอบ ผู้อื่นสกปรก"
เฉียวเยว่ยังกระอักกระอ่วน นับประสาอะไรกับสะใภ้ใหญ่หวัง นางมองหรงจ้านปราดหนึ่ง คนผู้นี้สามารถฆ่าคนด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวจริงๆ
"อ้อ อ้อ อ้อ ข้ารู้แล้ว นี่เป็โรคคนรวยสินะ ได้ ท่านอยากทำเองก็ตามสบาย เช่นนั้นข้าจะเป็ลูกมือให้เอง แต่พวกท่านไม่ต้องให้เงินข้าหรอกนะ ข้าเพียงให้ที่อยู่อาศัย แม้แต่อาหารก็ไม่ต้องทำ รู้สึกเอาเปรียบพวกท่านอย่างไรก็ไม่รู้"
นางเดินไปก็พูดไปเรื่อยเปื่อย
"ข้ากลัวว่าพี่จ้านจะรำคาญจนบีบคอนางตายไปเสียก่อน" ฉีอันแอบกระซิบกับเฉียวเยว่
เฉียวเยว่หัวเราะพรืด หรงจ้านหันกลับมา เห็นดวงหน้าเล็กจ้อยแดงระเรื่อเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็อ่อนโยนลงมาก แท้จริงแล้วเฉียวเยว่ก็เป็คนเช่นนี้เอง นางไม่ซับซ้อน พึงพอใจอะไรง่ายมาก ถึงจะเป็เด็กฉลาด แต่ปรกติแล้วก็มักมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่แสนจะเรียบง่าย
"สองสามวันนี้ข้าจะเข้าครัวเอง" เขาหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อย กวาดสายตามองทุกคน "หากไม่ดีพอ ก็ต้องขออภัย"
ขณะที่ทุกคนยังไม่พูดอะไร เฉียวเยว่ก็ชิงตอบก่อน "อาหารฝีมือพี่จ้านอร่อยกว่าห้องเครื่องในวัง จะไม่ดีได้อย่างไร
หลังจากนั้นก็หัวเราะเอ่ยว่า "ข้าจะช่วยเป็ลูกมือให้พี่จ้านเอง"
หลังจากนั้นก็หันไปหยิกน้องชายจอมทึ่มที่รู้จักแต่กินอย่างเดียว แล้วเอ่ยว่า "ฉีอันก็จะมาช่วยเหมือนกัน"
ฉีอันคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ตอบอย่างเอ้อระเหย "ได้สิ"
หมู่บ้านแห่งนี้ดูไม่มีอะไรซับซ้อน แต่เพราะการมาของพวกเขา จึงมีชาวบ้านไม่น้อยมามุงดู เฉียวเยว่เคยออกไปอยู่ข้างนอกมาสองปี จึงไม่นำพาเื่เหล่านี้มากนัก
กระทั่งสะใภ้หวังกลับไปแล้ว เฉียวเยว่ถึงเอ่ยขึ้นว่า "นางไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกหรือ?"
หรงจ้าน "เดิมทีนางก็พักอยู่ที่นี่ แต่ปล่อยบ้านให้พวกเราเช่าส่วนตนเองก็ไปอยู่บ้านมารดาของนางชั่วคราว อ้อ จริงสิ นางเป็ม่ายน่ะ"
เฉียวเยว่ตอบอ้อ แล้วมองไปรอบๆ จะว่าไปเรือนหลังนี้ก็กว้างขวางมากอยู่
"พวกเขานับว่าเป็ผู้มีอันจะกินในหมู่บ้าน"
เฉียวเยว่ไม่สนใจเื่ส่วนตัวของผู้อื่น จึงถามอีกว่า "แล้วพวกเราจะไปจับปูในทุ่งนากันเมื่อไรหรือ?"
หรงจ้านมองฉีจือโจวด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "อาจารย์คิดเห็นเช่นไร?"
ฉีจือโจวตอบอย่างเฉยเมย "อย่างไรก็ได้"
ฉีจือโจวแทบจะไม่พูดอะไรเลยตลอดการเดินทาง เฉียวเยว่ยิ้มพลางเอ่ยเสียงเบา "ท่านลุงเป็อันใดหรือไม่?"
"ไม่เป็ไร" ฉีจือโจวเผยรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วลูบศีรษะนางเบาๆ
ไม่เป็ไร... มิได้หมายถึงไม่มีปัญหา แต่เขาไม่อยากพูด เฉียวเยว่ได้ข้อสรุปว่า คนที่มีความคิดล้ำลึกมักชอบพูดอ้อมค้อมเช่นนี้เสมอ
"ไม่เป็ไรก็ดีเ้าค่ะ" นางเอ่ยเสียงเบา
แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่อยากเข้าไปเ้ากี้เ้าการ มีท่านลุงอยู่ ทั้งยังมีพี่จ้านอีกคน นางสามารถเป็ตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่
เฉียวเยว่คิดเช่นนี้ นางจะยุ่งในสิ่งที่สมควรยุ่ง แต่สิ่งที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวนางจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยว
"ข้าจะจับมาเยอะๆ เลย แล้วเอากลับมาแบ่งให้ทุกคน"
เฉียวเยว่ให้คำมั่นอย่างหนักแน่น
ฉีจือโจวรู้สึกว่าหลานสาวของตนเองช่างน่าเอ็นดูยิ่ง เขาอมยิ้ม "เช่นนั้นตามนิสัยของเฉียวเยว่ ดูท่าปูของที่นี่คงจะถูกจับจนหมดเกลี้ยง มิเช่นนั้นไหนเลยจะพอแบ่งกันเล่า"
เฉียวเยว่ถูกหยอกเย้า ก็กระทืบเท้าไม่ยอมรับ
แต่ท่าทางของนางกลับทำให้ทุกคนหัวเราะขบขันกันไม่หยุด
เพราะความอ่อนเปลี้ยจากการเดินทาง พวกเขาจึงนอนพักกลางวันกันครู่หนึ่ง ยกเว้นแต่ฉีจือโจว เขาเดินเล่นไปรอบหมู่บ้าน หลังจากกลับมาก็เห็นหรงจ้านนั่งดื่มชาอยู่เงียบๆ ในลานสวน
เขาเข้ามานั่งข้างหรงจ้าน "หมู่บ้านแห่งนี้...?"
คำพูดที่เหลือกลับมิได้กล่าวออกมา
หรงจ้านเลิกคิ้ว "อาจารย์อยากพูดอะไรหรือ?"
"คนในหมู่บ้านแปลกมากจริงๆ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องพอจะชี้แนะได้หรือไม่"
หรงจ้านยังคงสงบนิ่ง "ข้าคิดว่าอาจารย์กังวลมากไป"
ฉีจือโจวรับตำแหน่งเ้ากรมอาญา ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา มุมปากของเขาโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มเยาะหยัน "หมู่บ้านแห่งนี้ปลอมขึ้นมา ทุกคนล้วนมีปัญหา เ้าบอกว่าข้ากังวลมากไปรึ? หรงจ้าน เ้าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่"
...
[1] หลงบุปผา หมายถึง บ้าผู้ชาย เห็นแล้วเคลิบเคลิ้มลุ่มหลง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้