เล่มที่ 2 บทที่ 43
ซูมู่หานคุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย ยวี้เอ๋อร์ได้ฟังก็พูดพึมพำในใจอย่างตรงไปตรงมาว่า รู้แต่จะพึ่งพานายท่านซูเท่านั้น ด้วยสถานะลูกอนุเช่นเ้า คิดว่าตัวเองสำคัญมากเชียวหรือ
แม้จะแอบเยาะเย้ยทว่าใบหน้าของนางกลับแสดงออกถึงการประจบประแจง “คุณชายหานเปี่ยวต้องรีบหน่อยแล้ว บ่าวจะออกไปเฝ้าข้างนอกนะ”
“อืม เื่ดีๆ เช่นนี้ จะให้เร็วได้อย่างไรล่ะ จะต้องค่อยๆ เป็ค่อยๆ ไป” สายตาของซูมู่หานเป็ประกายยามที่จ้องมองรูปร่างอันน่าทึ่งขณะนอนตะแคงของมู่หรงฉิง “เ้ารีบออกไปเถอะ อย่ามาขวางหูขวางตาที่นี่เลย” พูดจบเขาก็โบกมือเร่งยวี้เอ๋อร์ให้ออกไปโดยเร็ว
ยวี้เอ๋อร์เอ่ยตอบว่า ‘ดี’ สองสามหนอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเดินไปเฝ้าด้านนอกประตู ชั่วครู่หนึ่งก็ปรากฏความเยาะเย้ยในดวงตาทั้งสองข้าง ซูมู่หานเ้ารีบจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นเ้าจะถูกคนตีตาย ก่อนที่จะได้ชิมรสชาติ
ทันทีที่ยวี้เอ๋อร์จากไป ซูมู่หานก็ยื่นมือออกมาอย่างกระหายโดยหมายจะรั้งร่างของมู่หรงฉิงผู้ซึ่งนอนตะแคงอยู่บนเก้าอี้ยาวให้นอนราบ มู่หรงฉิงรู้สึกเยียบเย็นในใจ ในระหว่างซูมู่หานโน้มตัวไปข้างหน้า นางใช้วิชาฟาดฝ่ามือมีดสับอย่างฉับพลัน ซูมู่หานยังไม่ทันได้ใด้วยซ้ำ เขาก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ยาวอย่างแ่เบา
โชคดีที่มู่หรงฉิงเตรียมการมาั้แ่เนิ่นๆ หลังจากฟาดฝ่ามือด้วยกระบวนท่ามีดสับ นางก็กลิ้งเข้าด้านใน เพื่อหลีกเลี่ยงร่างสูงใหญ่ของซูมู่หาน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ซูมู่หานหลงใหลในความงามจนเสียสติไปแล้ว กอปรกับคิดว่ามู่หรงฉิงอยู่ในอาการหมดสติย่อมไร้ทางต่อต้าน อีกอย่างกระบวนท่าฝ่ามือมีดสับของมู่หรงฉิงยังซุกซ่อนพลังไว้ถึงสิบส่วน จึงสามารถจัดการซูมู่หานซึ่งไม่ทันได้ตั้งตัว
ทันทีที่มู่หรงฉิงหลบหลีกซูมู่หานได้สำเร็จ นางก็ลืมตาขึ้น จังหวะนั้นกลับเห็นมนุษย์ร่างสูงยื่นตัวออกมาจากหน้าต่าง นางตกตะลึงพรึงเพริด หรือว่ายวี้เอ๋อร์จัดแจงคนอื่นนอกจากซูมู่หานด้วย?
ในระหว่างวิตกกังวล นางก็ได้ยินเสียงฮึๆ ที่คุ้นเคยซึ่งกำลังพยายามเปิดบานหน้าต่างออก และตั้งใจจะะโเข้ามา หวังทำให้น้องหญิงใ
เสียงนั้นทำให้มู่หรงฉิงก็รู้สึกโล่งใจ รีบเตะซูมู่หานลงไปอยู่ด้านล่างเก้าอี้ยาว จากนั้นวางผ้าปูที่นอนลง
ระหว่างจัดการสิ่งต่างๆ กระทั่งเสร็จเรียบร้อย นางยังได้ยินเสียงเฉินเทียนหยูบ่นพึมพำด้านนอกหน้าต่าง โดยบอกว่าแปลกมาก ทำไมไม่สามารถเปิดหน้าต่างนี้ได้?
เดิมมู่หรงฉิงอยากจะเพิกเฉย แต่จากหางตาเห็นว่าหน้าต่างด้านหน้าถูกปิดโดยไม่ลงกลอน มิหนำซ้ำยังมีเงาซึ่งถูกดึงให้ยืดยาวจากแสงสว่างของดวงอาทิตย์ เงานั่นคือยวี้เอ๋อร์ เห็นได้ชัดว่ายวี้เอ๋อร์กลัวว่าสิ่งต่างๆ จะล้มเหลว ดังนั้นนางจึงตรวจสอบอยู่ด้านนอกหน้าต่าง
คิดได้ดังนั้น มู่หรงฉิงก็เปิดหน้าต่าง ทันทีที่เฉินเทียนหยูเห็นมู่หรงฉิง เขาอยากจะร้องทักแต่มู่หรงฉิงกลับยกนิ้วชี้ขึ้นไปวางไว้แนบปากของเขา “ชู่” จากนั้นดึงเฉินเทียนหยูเข้าไปในห้อง
เฉินเทียนหยูคิดเพียงว่า มู่หรงฉิงกำลังคิดจะทำอะไรสนุกๆ อีกแล้ว จึงเปล่งเสียง ‘ชู่’ ไปด้วย ก่อนจะถามข้างใบหูของผู้เป็ภรรยา “น้องหญิงกำลังเล่นซ่อนแอบกับใครหรือ?”
“พวกเรามาเล่นสนุกกัน ใครเคลื่อนไหวก่อน คนนั้นแพ้ดีหรือไม่ ท่านพี่นอนลงก่อน”
เกลี้ยกล่อมเฉินเทียนหยูให้นอนลงบนเก้าอี้ยาว ก่อนมู่หรงฉิงจะนอนลงด้วย
หลังจากทั้งคู่ล้มตัวลงนอน เงาของยวี้เอ๋อร์ก็ปรากฏขึ้นด้านนอกหน้าต่าง เมื่อได้ยินเสียงเบาๆ จากด้านในห้อง ยวี้เอ๋อร์ก็ยิ้มเ็าที่มุมปาก ก่อนจะปิดหน้าต่างแน่นโดยคิดว่านางเห็นซูมู่หานเริ่มลงมือแล้วจริงๆ จึงเฝ้าประตูด้วยความวางใจ
ครั้นเสียงปิดหน้าต่างดังขึ้น มู่หรงฉิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นนั่ง เฉินเทียนหยูคลี่ยิ้มพร้อมพูดว่า “น้องหญิงแพ้แล้ว น้องหญิงต้องทำขนมของว่างให้ข้า”
เมื่อเฉินเทียนหยูเอ่ยปาก มู่หรงฉิงถึงกับใรีบกุมปากของเขา ก่อนเลื่อนสายตาไปเห็นแตงโมบนโต๊ะ นางจึงพูดกับเขาว่า “ท่านพี่เห็นแตงโมนั้นหรือไม่? มันหอมหวานฉ่ำมาก อร่อยมาก”
เฉินเทียนหยูได้ยินว่ามีแตงโมให้กิน เขาจึงกะพริบตาปริบๆ ก่อนะโไปที่โต๊ะ หยิบแตงโมและเริ่มกิน
“ท่านพี่ช้าก่อน อย่าสำลักล่ะ” มู่หรงฉิงเห็นเฉินเทียนหยูแทะอย่างรวดเร็ว จึงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำแตงโมออกจากมุมปากของเขา ในใจวิตกกังวลเป็อย่างมาก
ไม่รู้ว่า ยวี้เอ๋อร์ใส่อะไรลงไปในแตงโม? ถ้าเป็แค่ยาที่ทำให้คนหมดสติ ก็ไม่เป็ไร แต่ถ้าเป็ยาที่เป็อันตรายต่อร่างกาย มันจะไม่กลายเป็นางที่ทำร้ายเฉินเทียนหยูหรือ?
ยวี้เอ๋อร์เฝ้าอยู่ด้านนอกประตูโดยคิดว่าตนจะรอจนกว่าซูมู่หานเสร็จภารกิจก่อนจะเผยแพร่สู่สาธารณะ แม้ว่ายวี้เอ๋อร์จะไม่มาสังเกตการณ์อีก ถึงกระนั้นมู่หรงฉิงก็ไม่กล้าส่งเสียงดังเกินไป เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการนำตัวซูมู่หานออกไปถึงจะถูก
คิดได้ดังนั้นย่อมทำได้เพียงนำตัวซูมู่หานออกไปทางหน้าต่าง ถ้าเฉินเทียนหยูสามารถแบกคนออกไปได้หลังจากกินแตงโม ย่อมเป็เื่ดีที่สุด แต่ถ้าเฉินเทียนหยูล้มลงหลังจากกินแตงโม นางคงทำอะไรไม่ถูกจริงๆ
เฉินเทียนหยูแทะแตงโม ฝั่งมู่หรงฉิงคิดตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเดินไปเปิดหน้าต่าง นางปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง ก่อนที่จะมองไปทางซ้ายและทางขวา จู่ๆ กลับต้องประจันหน้ากับคนผู้หนึ่งในระยะประชิดซึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาทันที นางถึงกับใและเซถอยหลัง ในจังหวะที่กำลังจะหงายหลังก็ถูกคนด้านนอกหน้าต่างดึงข้อมือไว้ ถึงได้รอดพ้นความเ็ปจากการตกกระแทกกำแพง
“จ้าวจื่อซินคิดว่าฮูหยินน้อยกำลังสร้างความอบอุ่นกับคุณชายรองเสียอีก ทำไมถึงเปลี่ยนเป็กินแตงโมล่ะ?” เสียงของจ้าวจื่อซินเ็า แต่กระนั้นกลับมีประโยชน์ อย่างน้อยความเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากเขาได้ทำให้อากาศโดยรอบเย็นสดชื่นขึ้นมาก
มู่หรงฉิงไม่เข้าใจว่าท่าทีประหลาดของจ้าวจื่อซินนั้นหมายถึงอะไร แต่นางไม่มีเวลามาสนใจว่า จ้าวจื่อซินมาปรากฏตัวที่นี่อย่างปุบปับได้อย่างไร นางคร้านเกินกว่าจะไปสนใจว่า จ้าวจื่อซินคิดอะไรในใจ นางแค่ทำท่าส่งสัญญาณบอกจ้าวจื่อซินว่าห้ามพูด ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณให้จ้าวจื่อซินเข้ามาด้านใน
จ้าวจื่อซินไม่รู้สาเหตุ เขาเห็นเฉินเทียนหยูแอบไปที่สวนหลังเรือนด้วยอาการหลบๆ ซ่อนๆ เขาไม่รู้ว่าเฉินเทียนหยู้าจะทำอะไร จึงลอบสังเกตการณ์แต่หลังจากเห็นเฉินเทียนหยูยืนอยู่ด้านนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง มู่หรงฉิงก็เปิดหน้าต่าง จากนั้นถึงได้เห็นมู่หรงฉิงกุมปากของเฉินเทียนหยูและดึงเข้าไปในห้อง
ภาพที่เห็นส่งผลให้จ้าวจื่อซินก็ยิ่งงงงวยเข้าไปใหญ่ มู่หรงฉิงคนนี้อย่ามองว่านางดูบอบบางอ่อนแอและเ็า ความคิดแปลกๆ ของนางนั้นมีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะนาง เฉินเทียนหยูคงไม่มารบกวนเขาตลอดเวลา และให้เขาสอนเฉินเทียนหยูนับเลขถึงหนึ่งหมื่น
เมื่อคิดถึงเื่เ่าั้ จ้าวจื่อซินจึงซ่อนตัวด้านนอกหน้าต่างด้วยความว่องไว เขาเจาะหน้าต่างโดย้าดูว่า มู่หรงฉิงกำลังเล่นกลอะไรอีก? ไม่ทันคาดคิดว่าหลังจากที่มู่หรงฉิงดึงเฉินเทียนหยูเข้าไปในห้อง ทั้งคู่กลับเอนตัวลงนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังเล่นกลอะไร แต่เมื่อเขาเห็นมู่หรงฉิงเกลี้ยกล่อมเฉินเทียนหยูให้กินแตงโม เขาพลอยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับแตงโม ในจังหวะที่เขากำลังจะผลักหน้าต่างเข้าไป จู่ๆ มู่หรงฉิงกลับจ้องมองที่เฉินเทียนหยูด้วยสายตาเช่นนั้น จ้าวจื่อซินรู้สึกไม่มีความสุขแปลกๆ ส่วนเขาไม่มีความสุขด้วยสาเหตุอะไร? เขาก็ไม่ทราบตนเองเช่นกัน
จากนั้นจ้าวจื่อซินจึงไม่ได้ซ่อนตัวอีกต่อไป เขาออกมาปรากฏตัวจนกระทั่งมู่หรงฉิงดึงเขาให้เข้าไปในห้อง จ้าวจื่อซินไม่เข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้ว มู่หรงฉิง้าทำสิ่งใด
“เ้า” จ้าวจื่อซินอยากจะพูดว่า ‘เ้ากำลังเล่นกลอะไรอยู่หรือ?’ แต่คำพูดเ่าั้ถูกปิดกั้นด้วยมืออันอ่อนนุ่มของนาง
มู่หรงฉิงปิดปากของจ้าวจื่อซินและสั่งห้ามไม่ให้พูด หลังจากเห็นด้วยมู่หรงฉิงจึงเดินไปหาเฉินเทียนหยู และเฝ้ามองชายหนุ่ม ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อถูกมู่หรงฉิงมอง เขาถึงรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
“น้องหญิง น้องหญิง…” เฉินเทียนหยูอยากจะถามว่า ‘น้องหญิงมองข้าเช่นนั้นทำไมกัน?’ แต่อย่างไรก็ดี ก่อนที่คำถามจะจบ เฉินเทียนหยูกลับรู้สึกว่าดวงตาของเขามืดก่อนล้มลงอย่างนุ่มนวล
ฤทธิ์ของยาทำปฏิกิริยาต่อเฉินเทียนหยูในระยะเวลาอันรวดเร็ว มู่หรงฉิงหรี่ตาเล็กลงและรีบเอื้อมมือออกไปรับร่างสูงของเฉินเทียนหยู ทว่าเฉินเทียนหยูเป็ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ร่างกายเล็กกะทัดรัดของมู่หรงฉิงจะสามารถรับเขาไว้ได้อย่างไร? ครั้นเห็นว่าคนทั้งสองกำลังจะล้มลงกับพื้น มือใหญ่คู่หนึ่งจึงประคองมู่หรงฉิงจากด้านหลัง จากนั้นเปล่งเสียงต่ำอย่างเ็า “เ้า้าจะทำอะไรหรือ?”
ได้รับการประคองจากจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางกระซิบเสียงแ่เบาว่า “อย่าเพิ่งถามก่อน นำตัวเขาไปวางลงบนเก้าอี้ยาวก่อน”
ดวงตาของจ้าวจื่อซินหรี่เล็กลง มู่หรงฉิงล่อให้เฉินเทียนหยูกินแตงโมที่มีปัญหา เป็ไปได้หรือไม่ที่มู่หรงฉิงวางแผนที่จะวางยาพิษเฉินเทียนหยูให้ตายแล้วหนีไป?
คิดได้ดังนั้น มือที่ประคองมู่หรงฉิงก็เพิ่มกำลังขึ้นเล็กน้อย เขาเกือบบีบเอวของนางจนจะหักเป็สองท่อนอยู่แล้ว
มู่หรงฉิงปวดเอวจนต้องหอบหายใจ นางหันศีรษะไปจ้องหน้าจ้าวจื่อซิน ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจ้าวจื่อซินคนนี้เป็บ้าอะไรอีก? “เ้าทำให้ข้าเจ็บ”
รูปลักษณ์อันเ็ปของมู่หรงฉิงไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำให้จ้าวจื่อซินรู้สึกรักหรือเอ็นดู แต่กลับปรากฏความเ็าบนใบหน้า “เ้ากำลังเล่นกลอะไรอยู่?”
“ข้าเจ็บ...” คราวนี้เสียงพูดคำว่า ‘ข้าเจ็บ’ ของมู่หรงฉิงดังขึ้นอยู่หลายส่วน นางกำลังคิดว่า ถ้าจ้าวจื่อซินใช้กำลังมากกว่านี้ เอวของนางจะหักด้วยมือของเขาหรือไม่?
เสียงของมู่หรงฉิงดังขึ้น ยวี้เอ๋อร์ที่อยู่ด้านนอกจึงส่งเสียงเบาผ่านบานประตูมาทันทีว่า “คุณชายหานเปี่ยว เบาได้ก็เบาเถอะ อย่าทำให้เสียงดังเกินไป”
จังหวะที่เสียงของยวี้เอ๋อร์ดังแทรกเข้ามา สายตาของจ้าวจื่อซินก็เ็า คุณชายหานเปี่ยว? นี่เล่นกลอะไรอยู่หรือ?
ราวกับเห็นความสงสัยของจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงทนต่อความเ็ปพลางพูดเบาๆ ว่า “คือผู้ชายที่เ้าและเฉินเทียนหยูเห็นเมื่อเข้ามาในห้องของข้าในวันนั้น”
คำตอบนั้นทำให้แรงมือของจ้าวจื่อซินลดเบาลง จากนั้นจึงเปลี่ยนไปอุ้มเฉินเทียนหยูพาไปวางลงบนเก้าอี้ยาว
จ้าวจื่อซินรับเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงถึงได้มีเวลานวดเอวของตนเอง ในขณะนวดเอว สายตาของนางจ้องที่จ้าวจื่อซินเขม็งด้วยความขุ่นเคือง ผู้ชายคนนี้ช่างประหลาดคนจริงๆ
จ้าวจื่อซินดูเหมือนจะมีตาอยู่ที่ด้านหลังศีรษะอย่างไรอย่างนั้น เขาถึงได้เปล่งเสียงเ็า “อย่ามัวแต่จ้องข้าเลย ผู้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหนหรือ?”
เ้าเวรจริงๆ ขณะพูดพึมพำในใจ ถึงกระนั้นก็ไม่ลืมสิ่งสำคัญ “อยู่ใต้เก้าอี้ยาว เ้านำตัวเขาออกไปก่อน และขังเขาไว้ในที่ซ่อน”
นางจะต้องสอบสวนซูมู่หาน ไม่ว่าซูมู่หานจะแย่แค่ไหน ถึงกระนั้นเขาไม่น่าจะทำผิดต่อนางถึงสองสามหน มากไปกว่านั้นเขาไม่น่าจะตรงมาที่จวนเฉินเพื่อก่อเื่
คิดว่า เ้าซูมู่หานคนนี้คงถูกคนยุยงกอปรกับความสนใจในผลประโยชน์ จึงเป็สาเหตุให้เขาวิ่งแจ้นมาที่จวนเฉินโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา
ขณะที่มู่หรงฉิงยังคงคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างผลประโยชน์ในใจ เวลาเดียวกันจ้าวจื่อซินได้ลากซูมู่หานออกมาจากด้านใต้ของเก้าอี้ยาวแล้ว
เมื่อเห็นซูมู่หาน สีหน้าของจ้าวจื่อซินกลับย่ำแย่มากอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชายคนนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่เห็นในวันนั้น แล้วจะเป็ใครได้?
เขาย้อนนึกถึงยวี้เอ๋อร์ เ้าคนทรยศ นี่เป็ครั้งที่สองที่ซูมู่หานหมายจะทำไม่ดีต่อมู่หรงฉิง จ้าวจื่อซินเกิดความคิดชั่ววูบว่าอยากจ้วงแทงทะลุหัวใจของซูมู่หานด้วยดาบ และปาดคอยวี้เอ๋อร์ให้ตายด้วยดาบในคราวเดียว