วันต่อมา หลังจากโม่เสวี่ยถงตื่นแล้วก็พาโม่หลันและโม่เยี่ยไปยังที่พักของฮูหยินผู้เฒ่าฉิน นางสวมเสื้อคลุมคอตั้งเพื่อปิดบังาแที่คอเอาไว้ ที่แขนก็พันแผลเรียบร้อย แค่หกล้มไม่นับว่าเป็เื่ใหญ่อันใด หากไม่ไปคารวะผู้ใหญ่จะดูผิดสังเกต
ตอนเช้านางไปฟังธรรมเทศนากับฮูหยินผู้เฒ่าฉิน และอยู่รับประทานอาหารกลางวันเป็เพื่อน จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ไล่นางกลับทั้งยังกำชับว่าให้พักผ่อนมากๆ ฉินอวี้เซวียนจึงพานางไปเดินเล่นที่สวนหลังวัดชิงเหลียง แต่อวี้ซื่อให้คนมาตามเขาไป นางจึงยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แหงนศีรษะขึ้นมองเบื้องบน
อากาศบนูเาเย็นเร็วกว่าที่อื่น เพิ่งจะต้นฤดูก็รู้สึกเหมือนเข้าสู่กลางเหมันต์แล้ว ใบไม้ใบใหญ่ร่วงหล่นลงมาทับถมซ้อนกันเป็ชั้นๆ รู้สึกนุ่มเท้าเมื่อย่างก้าวลงไป ยามฟังเสียงจังหวะฝีเท้าของตนเองก็รู้สึกจิตใจสงบสุขอย่างน่าประหลาด
มองขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านทับซ้อน มีใบไม้เหลืออยู่เพียงหรอมแหรม เหมือนหมดพลังชีวิตใกล้จะตาย แต่ก็ยังคงยืนต้นตระหง่าน ต้นไม้ยังเป็เช่นนี้ แล้วมนุษย์เล่า? รอยยิ้มขื่นสายหนึ่งพลันปรากฏบนริมฝีปาก แสงสว่างลอดผ่านเงาไม้ลงมาทาบร่าง ทว่ามิได้อบอุ่นไปถึงหัวใจ
ภายใต้แสงตะวัน แม่นางน้อยผู้งดงามปานบุปผาเดินย่างเหยียบไปบนใบไม้ร่วงหล่น แหงนหน้าขึ้นมองกิ่งก้านของต้นไม้ที่แผ่ขยายอยู่เหนือศีรษะ เรือนร่างบอบบางคล้ายจะปลิวไปกับสายลม ใบไม้ร่วงหล่นลงมาบนศีรษะ งามจนแทบ่ชิงลมหายใจ
เฟิงเจวี่ยหร่านผ่านทางมา หางตาทอประกายยิ้มอ่อนโยน ยืนนิ่งมองภาพความเงียบสงบด้านล่างจากบนูเาจำลอง ซึ่งมีกำแพงกั้นอยู่
“น้องหญิงถงไฉนจึงมาอยู่ที่นี่ได้ สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่ อย่าออกมาเที่ยวเล่นสะเปะสะปะ ทำให้ทุกคนเป็ห่วง” น้ำเสียงอ่อนหวานคล้ายเอาใจใส่มากจนฟังดูเสแสร้งพลันลอยมา ดึงสติคนสองคนที่อยู่คนละฝั่งกำแพงให้คืนกลับมา
โม่เสวี่ยถงหันกลับไปมอง เห็นอวี้ซือหรงปรากฏตัวขึ้นก็ผลิยิ้มอ่อนบางแล้วผงกศีรษะให้ นับั้แ่ถูกขับออกจากจวนโม่ครั้งก่อน นี่เป็ครั้งแรกที่อวี้ซือหรงเข้ามาทักทายโดยไม่ใช่การมาหาเื่ เมื่ออีกฝ่ายอยากเล่นละคร นางก็พร้อมผสมโรงไปด้วย
เมื่อเห็นนางมีท่าทีตอบกลับ ริมฝีปากของอวี้ซือหรงก็ยิ่งผลิยิ้มอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ ก้าวเข้ามากุมมือนางไว้ แล้วกล่าวอย่างสนิทสนม “น้องหญิงถงดีขึ้นแล้วจริงๆ หรือ เมื่อวานทำพี่สาวใแทบตาย ไฉนจึงสะเพร่าไม่ระวังตัวขนาดนี้ เลยทำให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ พี่สาวอยากแวะมาเยี่ยม แต่ก็กลัวว่าเ้าจะโกรธไม่อยากคุยด้วย”
ขณะที่พวกนางกำลังคุยกัน สาวใช้ของอวี้ซือหรงก็เข้ามาลากโม่หลันกับโม่เยี่ยออกไปพูดคุยกันอีกด้านหนึ่ง
“ขอบคุณพี่หญิงอวี้เ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสุกใสััได้ถึงความริษยาชิงชังที่ทอวาบอยู่ในก้นบึ้งดวงตาของอวี้ซือหรง พลันนึกยิ้มเยาะอยู่ในใจ อวี้ซือหรงอดกลั้นไม่อยู่อย่างที่คิดไว้จริงๆ แค่เห็นตนเองออกมาเดินเล่นชมสวนกับพี่ชายเซวียนก็ทนไม่ได้แล้ว
“เมื่อน้องถงสบายดีแล้ว พี่สาวจะเดินเล่นเป็เพื่อนเ้าเอง ได้ยินมาว่าป่าไผ่ทางโน้นงดงามและเงียบสงบ ทั้งยังมีไผ่ม่วงที่หาพบได้ยากอีกด้วย เดี๋ยวพี่สาวจะพาเ้าไปชมดีหรือไม่”
ป่าไผ่ ูเาจำลอง ทางเดินหินกรวด เหมือนกับชาติก่อนไม่มีผิด นั่นคงเป็สถานที่ดีงามที่ถูกกำหนดไว้สำหรับทำให้นางเสียโฉมสินะ
ดวงตาที่หลุบลงฉายแววเกรี้ยวกราด แค้นนี้ถ้าไม่รีบเอาคืนก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว
อวี้ซือหรงเห็นนางไม่ปฏิเสธก็นึกว่าอีกฝ่ายตกหลุมพรางแล้ว หางตาพลันฉายแววลำพองใจ ริมฝีปากกระตุกยิ้มเย็นเยียบ
หัวใจต่างหอบความคิดไปคนละทาง แต่กลับจับมือกันอย่างสนิทสนมเหมือนเป็พี่น้อง สาวใช้สองคนที่อยู่ด้านหลังก็พูดคุยหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน ดูกลมเกลียวยิ่ง...
ป่าไม้อันเงียบสงบ มีลมพัดโชยมาเป็ระลอก ดูกลมกลืนไปกับถนนลาดหินกรวด และูเาหินจำลองที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางดงไผ่สูงลิ่ว ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากสวนไผ่ในจวนฉิน ทั้งยังมีต้นไผ่ม่วงกอเล็กขึ้นเรียงเป็แถวอยู่ด้านข้าง เห็นแล้วก็ชวนให้ตื่นตะลึงจนอดอุทานชื่นชมออกมาไม่ได้
ภาพป่าไผ่แห่งนี้ค่อยๆ ทับซ้อนกันกับป่าไผ่เมื่อกาลก่อนอย่างช้าๆ นางเหมือนเห็นภาพหญิงสาวผู้บอบบางคนนั้นล้มฟาดลงบนูเาหินจำลอง โลหิตไหลอาบจากหน้าผากลงมาถึงคาง ทำให้ใบหน้างดงามพริ้มเพราดูน่าเกลียดน่ากลัวดั่งภูตผี ใบหน้าของอวี้ซือหรงซึ่งอยู่ด้านหลังเผยรอยยิ้มอำมหิต แต่นางที่ล้มอยู่ตอนนั้นมองไม่เห็น
“น้องหญิงถง... น้องหญิงถง ทำไมยังไม่มาอีกเล่า มาดูนี่สิ ไผ่ม่วงต้นนี้ดูแปลกตาไม่เหมือนที่อื่นเลย เ้าต้องชอบแน่ๆ รีบมาดูเร็วเข้า ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร...” เสียงร้องเรียกของอวี้ซือหรงดึงนางออกจากภวังค์ความทรงจำ ก็เห็นอีกฝ่ายไปยืนอยู่ข้างูเาหินจำลองเหมือนชาติก่อนไม่มีผิดเพี้ยน!
ไผ่ม่วงที่อยู่ตรงนั้นลำต้นเรียวเล็กและเป็กอเตี้ยๆ ไม่สูงชะลูดเหมือนไผ่ม่วงต้นอื่นๆ อวี้ซือหรงจงใจทำเสียงให้ดูน่าตื่นเต้นพลางชี้ให้นางดู
โม่หลันและโม่เยี่ยถูกสาวใช้อีกสองคนตามพัวพันอยู่ ยามนี้สาวใช้คนหนึ่งนำของเล่นชิ้นใหม่ออกมาจากอกเสื้อ สายตาของโม่หลันเหลือบมองไปสบสายตาของโม่เสวี่ยถงพอดี ภายในดวงตาฉายแววยิ้มบางๆ โม่เยี่ยมองสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ แต่เท้าตั้งอยู่ในท่ายืนเตรียมพร้อม หากพบว่าโม่เสวี่ยถงอยู่ในอันตรายนางจะพุ่งเข้าไปถึงตัวเป็คนแรก
โม่เสวี่ยถงหมุนตัวแสร้งทำเป็ไม่สนใจเดินเข้าไปหาอวี้ซือหรง โม่หลันซึ่งอยู่อีกด้านยืนสลับตำแหน่งกับสาวใช้อีกคนโดยไม่เป็ที่สังเกต บดบังทัศนะการมองเห็นของสาวใช้ทั้งสอง
“โอ้... ไผ่ม่วงต้นนี้แปลกมากจริงๆ ด้วย” โม่เสวี่ยถงยืนอยู่ด้านหน้าไผ่ม่วงกอนั้น มองอย่างพินิจพิเคราะห์ราวกับอยากค้นหาสาเหตุ
อวี้ซือหรงกลอกตาไปมา ลอบดูท่าทีของโม่เสวี่ยถง เห็นนางมิได้ระวังตัว ดวงตาก็ฉายแววยิ้มย่องลำพองใจ หมุนตัวย้ายตำแหน่งมายืนอยู่ด้านหลังโม่เสวี่ยถง ขณะนั้นสาวใช้ทั้งสี่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส ไม่มีใครสนใจทางนี้
พออวี้ซือหรงเริ่มขยับ โม่เสวี่ยถงก็จับสังเกตได้ นางแกล้งทำเป็จดจ่ออยู่ที่ต้นไผ่ตรงหน้าอย่างเต็มที่ ทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นว่าอวี้ซือหรงเดินมาอยู่ด้านหลังของตนเองแล้ว ทั้งยังก้มศีรษะให้ต่ำลงแล้วกล่าวอย่างน่ารักไร้เดียงสา “พี่หญิงอวี้ ที่นี่ดีจังเลย คราวหน้าต้องพาข้ามาดูอีกนะ ข้าก็ดูไม่ออกเหมือนกันว่าไฉนจึงเป็เช่นนี้ได้ รอข้ากลับไปพลิกตำราหาสาเหตุดูก่อน”
ครั้งหน้า... อวี้ซือหรง... ข้าไม่เชื่อว่าครั้งหน้าเ้าจะยอมมาที่นี่อีก เพราะที่นี่จะกลายเป็สถานที่แห่งความสิ้นหวังของเ้า!
ริมฝีปากของอวี้ซือหรงทอยิ้มเหี้ยมเกรียม แววตาดั่งอสรพิษจ้องโม่เสวี่ยถงเขม็ง ที่นี่ดีอย่างนั้นหรือ? เหอะ! ก็ย่อมดีแน่นอน โม่เสวี่ยถง ที่นี่เป็สถานที่ที่ดีที่สุด ดังนั้นเ้าก็ไปตายเสียเถอะ ดูซิว่าครานี้ชะตาของเ้าจะเป็อย่างไร แม้ว่าไม่ตายก็ต้องเสียโฉม ตราบใดที่มีเ้าอยู่ดวงตาเขาไม่มีวันมีข้า ขอเพียงเ้าตายหรือว่าเสียโฉมไปแล้ว เขาก็จะมองเห็นข้าเอง
นางกลั้นหายใจสงบนิ่ง เท้าเหยียบลงไปบนหินก้อนหนึ่ง เตรียมแกล้งล้มไปด้านหน้า หลังจากนั้นก็จะผลักโม่เสวี่ยถงให้พุ่งชนกับูเาหินจำลอง ชะง่อนหินแหลมคมเ่าั้ไม่เพียงแต่จะทำลายใบหน้างดงามของโม่เสวี่ยถงจนยับเยิน หากชนถูกศีรษะก็อาจถึงตายได้ แต่แม้ว่าดวงแข็งไม่ถึงที่ตายก็ต้องเสียโฉมแน่นอน
ใบหน้างดงามแบบนั้น นางอยากฉีกกระชากทำลายให้ย่อยยับมานานแล้ว
อวี้ซือหรงค่อยๆ เอียงตัวลงเล็กน้อย ปลายเท้าแตะก้อนหินแล้วพุ่งตัวถลาไปด้านหน้าอย่างแรง
โม่เสวี่ยถงลดศีรษะลงต่ำ หางตาคอยจ้องที่เท้าของอวี้ซือหรงซึ่งอยู่ด้านหลัง ลูกไม้เดิม กระทำแบบเดิมๆ เหมือนชาติก่อนไม่มีผิด แม้จะต่างสถานที่ แต่รายละเอียดเหมือนกันทุกอย่าง ริมฝีปากพลันยิ้มเยาะเมื่อเห็นเท้าของอีกฝ่ายลื่นไถลนางก็หลบวูบเซล้มไปด้านข้าง
ทางด้านอวี้ซือหรงหยุดเท้าไม่อยู่ ตัวพุ่งเข้ามาอย่างแรง แต่เมื่อพบว่าโม่เสวี่ยถงที่อยู่เบื้องหน้าสายตาหายไปแล้ว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มสาแก่ใจพลันแข็งค้าง “ว้าย...” เสียงร้องโหยหวนดังลั่นพร้อมกับเสียงชน “โครม” ดังสนั่น ส่วนโม่เสวี่ยถงที่พลิ้วกายล้มไปด้านข้างแสร้งทำเป็ลมสลบไป
เมื่อได้ยินเสียงร้องครวญคราง สาวใช้สองคนของอวี้ซือหรงก็เหลือบตาขึ้นมองอย่างไม่นำพา มีครั้งไหนบ้างที่คุณหนูไร้ประโยชน์ของสกุลโม่ผู้นั้นมาเจอกับคุณหนูของตนแล้วไม่เคราะห์ร้ายหรือได้รับาเ็ แต่เมื่อเห็นอวี้ซือหรงใบหน้าอาบย้อมไปด้วยโลหิต แล้วหันไปมองโม่เสวี่ยถงที่นอนอยู่ที่พื้น ของที่ถือเล่นอยู่ก็หล่นจากมือ ตะลึงงัน พูดไม่ออก
“คุณหนู... คุณหนู... เป็อะไรไปเ้าคะ ไม่ใช่ว่าหกล้มอีกแล้วนะ” โม่หลันและโม่เยี่ยพุ่งตัวเข้าไปประคองร่างโม่เสวี่ยถงขึ้นมา ร้องไห้พลางส่งเสียงเรียกคุณหนูของตนเองดังลั่น สาวใช้อีกสองคนที่ยืนทื่อไม่ขยับจึงได้สติวิ่งเข้าไปหาอวี้ซือหรง เมื่อเห็นใบหน้าของนางอาบไปด้วยเืก็กรีดร้องเสียงแหลม
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินอวี้เซวียนเดินนำบ่าวชายเข้ามาจากอีกด้านของป่าไผ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็ยืนตะลึงไปชั่วครู่ พอเห็นโม่เสวี่ยถงหน้าซีดเผือดนอนสลบอยู่ในอ้อมแขนของโม่หลัน ใบหน้าของเขาพลันถอดสีและเร่งสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามาอย่างรวดเร็ว
แต่ยังไม่ทันเดินมาถึงหน้าโม่เสวี่ยถง ก็มีคนที่ใบหน้าอาบไปด้วยเืวิ่งเข้าหา ร้องเรียก “พี่ชาย... พี่ชาย...” ฉินอวี้เซวียนยังไม่ทันตั้งตัว อวี้ซือหรงก็โถมเข้ากอดเขาแน่น ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง “พี่ชาย... พี่ชาย... รีบช่วยข้าเร็วเข้า หน้าของข้า... หน้าของข้า...”
ความเ็ปบนใบหน้ามาพร้อมกับความหวาดกลัวที่รัดรึงในหัวใจ ยามนี้แม้แต่คำพูดสักประโยคนางก็พูดไม่ออกแล้ว
ฉินอวี้เซวียนถูกพุ่งชนจนเซไปด้านหลัง ยื่นมือมาจับตัวนางไว้ เมื่อเห็นใบหน้าของอวี้ซือหรงอาบย้อมไปด้วยเื ผมปรกลงมาจนเห็นไม่ชัดว่าาเ็ร้ายแรงแค่ไหนก็ใจนผงะ เอ่ยถามอย่างร้อนใจ “คุณหนูอวี้ เกิดอันใดขึ้น เ้าเป็อะไรไป”
ด้วยท่าทางแบบนี้ เป็ผู้ใดพบเข้าก็ล้วนตื่นใทั้งสิ้น
“พี่ชายช่วยข้าด้วย ช่วยข้าเร็ว หน้าของข้า... หน้าของข้า...” สมองของอวี้ซือหรงมีแต่ความว่างเปล่าสีขาวโพลน รู้สึกแต่ว่าใบหน้าของตนเองคงรักษาไม่ได้แล้ว ทั้งใและหวาดกลัวอย่างที่สุด ดวงตาพลันพลิกกลับเป็ลมหมดสติไป
อวี้ซือหรงาเ็เพียงนั้นฉินอวี้เซวียนจึงไม่อาจรอช้า เมื่อเห็นว่าโม่เสวี่ยถงแม้จะสลบอยู่ด้านข้าง แต่มิได้มีรอยเืหรือาแปรากฏให้เห็น ดูท่าอาการของนางคงไม่ร้ายแรงนัก เขาจึงตัดสินใจรีบอุ้มอวี้ซือหรงนำไปหาหมอก่อน สาวใช้ทั้งสองของอวี้ซือหรงซึ่งอยู่ด้านหลังก็หน้าซีดวิ่งตามไป เกิดเื่เช่นนี้ขึ้นพวกนางกลับไปตอนนี้ก็ไม่แคล้วถูกโบยตาย อย่างไรก็ติดตามฉินอวี้เซวียนไว้ก่อน
รอจนกระทั่งคนของฉินอวี้เซวียนกับอวี้ซือหรงไปกันหมดแล้ว โม่เสวี่ยถงจึงค่อยๆ ลืมตา ปัดเสื้อผ้าแล้วลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทางสงบนิ่ง ดวงตาฉายแววเ้าเล่ห์ร้ายกาจ ริมฝีปากหยักขึ้นยิ้มเยาะ มองคราบเืที่ติดอยู่บนูเาหินจำลองเงียบๆ ไม่เอ่ยวาจา
สายลมโบกโชย อาภรณ์สะบัดพลิ้ว ให้ความรู้สึกเงียบเหงาวังเวงอย่างน่าประหลาด
ที่มุมกำแพงอีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มรูปงามล้ำเลิศมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด อึ้งงันไร้วาจา รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหาย นิ้วเรียวยาวที่วางอยู่บนผาหินจำลองเคาะลงสองสามครั้งอย่างไร้กังวล