องค์หญิงได้ยินว่าหนานิเหอไปหาเยี่ยนเจาเจา่เที่ยง ใจพลันชื้นขึ้นเล็กน้อย จนวันถัดมาก็ได้ยินว่าคุณหนูอาการไม่ดีแล้ว
สองวันนี้เยี่ยนเหิงกินไม่ได้นอนไม่หลับเช่นกัน จึงปฏิเสธงานของราชครูทั้งหมดและอยู่แต่ในสวนมวลบุปผาหอม หากไม่ใช่เพราะท่านหมอหลวงสวีเป็ตายอย่างไรก็ไม่ยอมอนุโลมเขา เขาคงพุ่งเข้าไปด้านในนานแล้ว
ดังคำกล่าวว่าคนเราร้อนรนย่อมดิ้นรนทุกวิถีทาง เยี่ยนเหิงที่ปกติเป็คนไม่เชื่อเื่งมงายเหนือธรรมชาติ ถึงกับไปที่วัดม้าขาวแล้วนำเงินห้าพันตำลึงทองไปจุดตะเกียงฉางิ[1] ให้เยี่ยนเจาเจา
และไม่เพียงองค์หญิงที่ห่วงอาการฝีขึ้นของเยี่ยนเจาเจา ฮองเฮาเหลียงฮุ่ยก็วิตกเช่นกัน จนคนนอกหลายคนต่างทราบว่าคุณหนูห้าของสกุลเยี่ยน ผู้เป็แก้วตาดวงใจขององค์หญิงฉงหยางเกรงว่าจะไม่ไหวแล้ว
โชคดีที่หมอหลวงสวีจัดการเหมาะสม แม้ไข้ทรพิษระบาดในสวนมวลบุปผาหอม แต่ไม่แพร่กระจายออกไปข้างนอก ศพสาวใช้สองสามคนที่ป่วยตายด้วยฝีดาษก็ถูกเผาเรียบ เหลือเพียงเยี่ยนเจาเจาที่นอนร่อแร่อยู่เพียงคนเดียว
เมื่อมีข่าวเยี่ยนเจาเจาใกล้สิ้นลมออกมาก็แทบไม่มีผู้ใดเคลือบแคลงสงสัย…ใครบ้างจะไม่ทราบว่าอานุภาพของโรคไข้ทรพิษหนักหนาเพียงใด
องค์หญิงได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนรนอย่างยิ่ง ดวงเนตรพระองค์แดงก่ำคล้ายอยากฆ่าคนขวางหูขวางตาฝังไปพร้อมกับเยี่ยนเจาเจาให้หมด
เวลาเช่นนี้ทุกคนจึงหลีกเลี่ยงจวนเยี่ยนกันจ้าละหวั่น ใครจะอยากไปขัดพระทัยองค์หญิงกัน?
แต่กลับมีคนจากจวนเฉินซึ่งห่างหายกันไปนานหลายปีมาที่นี่
ั้แ่เฉินซื่อที่เป็มารดาผู้ให้กำเนิดเยี่ยนเหิงตกเืตายจากไป คนของจวนเฉินก็ไม่มาเยือนจวนเยี่ยนอีก
คนมาคือเฉินเซียงอี๋ นางแอบวิ่งออกมาคนเดียวเพราะห่วงใยเยี่ยนเจาเจา และเข้าอกเข้าใจความร้อนรุ่มของผู้เป็มารดาเช่นองค์หญิง
เฉินเซียงอี๋พาญาติผู้พี่ของนางอย่างกู้เจี้ยนมาด้วย
เมื่อองค์หญิงได้ยินว่าทั้งคู่ขอเข้าเฝ้ากะทันหัน เดิมรู้สึกเหลือทนเล็กน้อย ่หัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ใครจะอยากไปทำตามพวกธรรมเนียมปฏิบัติกัน
เพียงแต่องค์หญิงแตกต่างจากผู้อื่น พระองค์ตระหนักดีถึงชาติกำเนิดของกู้เจี้ยน หลังคิดวนเวียนรอบหนึ่งก็เกิดการคาดเดาบ้าบิ่นขึ้นมา
เฉินเซียงอี๋กังวลมาก ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของนางยับยู่ยี่ไปหมด แต่ยังกล่าวกับองค์หญิงด้วยใบหน้าซีดเซียวว่าเจาเจาเป็คนดี ์ย่อมคุ้มครอง ไม่เกิดเหตุร้ายขึ้นแน่
ตอนนี้ทุกคนต่างก็หลีกเลี่ยงสวนมวลบุปผาหอม ทว่าเฉินเซียงอี๋กลับเป็คนเดียวที่ไม่กลัว…บุญคุณเพียงเท่านี้องค์หญิงก็จำไว้แล้ว
ตรงกันข้าม กู้เจี้ยนที่เกิดแก่สกุลกู้ต่างหากที่ทำให้องค์หญิงคิดหนัก
กู้เจี้ยนไม่ได้กล่าวสิ่งใดเลย เพียงแค่เอ่ยอวยพรรอบหนึ่งเท่านั้น
ชายหนุ่มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มคนนี้ให้ความรู้สึกห่างเหินเ็าเหมือนหนานิเหอ อากัปกิริยาล้วนสุภาพ แต่กลับไม่ระวังทำถ้วยล้มคว่ำต่อหน้าพระพักตร์องค์หญิง
ถ้วยชาตกกระจายแตกเป็เสี่ยงๆ ตรงปลายเท้ากู้เจี้ยน บนใบหน้าของเขาแสดงความตื่นตระหนก แต่กลับถูกองค์หญิงมองออกว่านั่นคือความเสแสร้ง
สายตาของกู้เจี้ยนจับจ้ององค์หญิงตลอด เมื่อองค์หญิงเข้าใจเจตนาของเขา หางตาเขาก็ปรากฏรอยยิ้มบางเบา ไฝสีแดงสดนั้นงดงามหาใดเปรียบขึ้นมาชั่วอึดใจ
องค์หญิงตกตะลึง เมื่อมองกู้เจี้ยนอีกครั้งก็เห็นเพียงหยกพกที่สลักว่า “หยางหลางล้อพยัคฆ์” ห้อยอยู่ที่เอวของเขา
เดิมทีนิทานเื่นี้น่าสนใจ แม้องค์หญิงจะคุ้นเคยกับตำราามากกว่าแต่ก็เคยอ่านผ่านตามาบ้าง
หยางหลางล้อพยัคฆ์เล่าประมาณว่าแม่ทัพใหญ่หยางหลาง ผู้สถาปนาราชวงศ์นี้แสร้งยอมจำนนต่อทัพศัตรู หลังจากนั้นก็ตีขนาบทั้งด้านในและด้านนอก จนทำลายชนเผ่าทูเจวี๋ย[2] ลงได้
ความเหนื่อยล้าในดวงเนตรขององค์หญิงพลันเลือนหายไป
แม่นางเฉินเอ้อร์ผู้เงอะงะย่อมไม่รู้ภาษาตาพวกนี้ เดิมทีนางก็อึดอัดเพราะอาการป่วยของเยี่ยนเจาเจาอยู่แล้ว พอกู้เจี้ยนทำถ้วยชาแตก นางเลยใจนร้องไห้ออกมา
กู้เจี้ยนมือไม้ลุกลี้ลุกลนทันที และรีบพาญาติผู้น้องออกไป
องค์หญิงส่งกู้เจี้ยนกับเฉินเอ้อร์ออกจากเรือนด้วยตนเอง ระหว่างทางกลับสวนมวลบุปผาหอมก็อดเหลือบมองเรือนหิมะมรกตที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่ได้
คนหนุ่มสาวช่างน่ากลัว
องค์หญิงย่อมรู้ดีว่าคุณชายน้อยที่ตนเก็บกลับมาไม่ใช่สุนัขล่าเนื้อเชื่องๆ แต่เขาเป็หมาป่าที่ทะเยอทะยานและไม่ยอมก้มหัวให้ใครมาตลอด…กู้เจี้ยนเองก็เหมือนกัน
เช่นเดียวกับที่จุดอ่อนของกู้เจี้ยนคือญาติผู้น้อยที่ซื่อบื้อแต่กล้าหาญและน่ารักคนนั้น ส่วนเยี่ยนเจาเจาก็เป็เกล็ดย้อนยากจะแตะต้องของหนานิเหอ
นับั้แ่ที่เขาขอร้องอ้อนวอนองค์หญิงคราวก่อน และตอนนี้ที่เขาตัดสินใจรับเื่ราวที่เคยไม่ยอมรับ องค์หญิงก็รู้แล้ว
เยี่ยนเจาเจาคือเหตุผลเดียวที่เขายอมเปลี่ยนใจ
หมากตานี้ทำได้สวยทีเดียว กู้เจี้ยนจงใจพลาดทำถ้วยชาแตกก็เพียงแค่้าบอกองค์หญิงว่าเยี่ยนเจาเจาจะ “สงบสุขปลอดภัย” และนางน่าจะไม่เป็ไร
แต่หยกพก “หยางหลางล้อพยัคฆ์” ชิ้นนั้น ผลักดันให้ความเข้าใจที่องค์หญิงมีต่อหนานิเหอขึ้นสูงสุดอีกครั้ง
ไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้ายที่เขายอมเผชิญหน้ากับตนเองแล้วก่อศึกแรกนี้ จะจบสวยเหมือนหยางหลางหรือเปล่า?
คนเื้ัคิดว่าตนทำสำเร็จแต่กลับคาดไม่ถึงว่านี่เป็เพียงกลยุทธ์เมืองร้าง[3]...กลอุบายเป็ดาบสองคมมาแต่ไหนแต่ไร
ใช้ถูกย่อมร้ายกาจ ใช้ผิดย่อมเจ็บแทน
ไม่รู้ว่าใครจะเป็ผู้กุมชัยในหมากกระดานแรกนี้
ในฐานะที่พระองค์เป็ผู้หนุนหลังเด็กทั้งสอง เวลานี้ก็ควรช่วยเหลือพวกเขาด้วย
เพียงแต่เมื่อคิดว่าหัวผักกาดขาว[4] ของครอบครัวที่ยังไม่ทันโตจะต้องโดนเก็บไปก่อนวัย องค์หญิงก็อดรู้สึกสั่นคลอนไม่ได้
องค์หญิงแค่นเสียงเ็า ทั้งยังมีสีหน้าไม่น่ามอง จนคนรอบกายต่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ คิดว่าองค์หญิงทรงวิตกเพราะเป็ห่วงร่างกายของเยี่ยนเจาเจา
แต่ใครจะรู้ว่าในพระทัยขององค์หญิงกำลังคิดว่า หากศึกนี้เขาทำได้ไม่ดี พระองค์จะถลกหนังเ้าลูกหมาป่าที่อาจหาญมาเด็ดดวงจันทร์ด้วยมือของพระองค์เอง!
แล้วใน่เที่ยงวันนี้ก็มีข่าวแพร่ออกมาจากเรือนหิมะมรกตว่าคุณหนูห้าอาการย่ำแย่อย่างยิ่งตามคาด
เรือนหิมะมรกตวุ่นวายโกลาหล และยังได้ยินอีกว่าองค์หญิงถือกระบี่ตรงไปยังบ้านใหญ่พร้อมตรัสว่าจะตัดหัวเยี่ยนฟางเยว่กับเยี่ยนฟางชิงทิ้งเสีย
ทุกหนทุกแห่งในจวนเยี่ยนอลหม่านไปหมด เยี่ยนเหว่ยรีบซ่อนตัวจากองค์หญิง จึงกลายเป็เยี่ยนหลิวซื่อที่โกรธจัดจนทะเลาะกับองค์หญิงอยู่กลางทางเดินแทน…ทว่าเยี่ยนหลิวซื่อก็เป็เพียงเสือกระดาษ[5] ต่อหน้าองค์หญิงมาตลอด องค์หญิงไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายพระเนตรอยู่แล้ว
แตกต่างจากเรือนหลังน้อยสง่างามแห่งหนึ่งที่ยังคงเงียบสงบ
สตรีหน้าตางดงามทว่าค่อนข้างมีอายุกำลังเอ่ยตำหนิด้วยน้ำเสียงแ่เบา “เื่นี้เ้ามุทะลุเกินไปแล้ว คราวก่อนข้าเห็นเ้าทำงานใช้ได้เลยไม่ว่าเ้ามากนัก ครานี้เป็อะไรไปถึงได้รีบมอบความตายแก่นาง?”
กระทั่งตอนตำหนิยังพูดจาแ่เบานุ่มนวล ฟังแล้วจึงไม่รู้สึกอึดอัดเสียใจ
คนที่โดนสตรีผู้นั้นตำหนิกำลังคุกเข่าอยู่ด้านข้าง แต่สุดท้ายผู้นั้นก็ไม่ปล่อยให้ต้องทุกข์ทรมานมากนัก เพราะยังมีเบาะรองหนาสองใบวางอยู่ใต้เข่า หมอนขนนกนั้นนุ่มนิ่มเพียงพอที่จะทำให้เข่าเปราะบางของคนโดนตำหนิไม่ได้รับาเ็ใดๆ
“ลูกคิดว่านางมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม...เื่คราวก่อนแม้ค่อยเป็ค่อยไปไม่เผยพิรุธ ทว่ามันช้าเกินไป ฆ่านางครั้งนี้ ลำบากแค่ทีเดียวเ้าค่ะ”
เสียงพูดยังคงอ่อนวัย แต่วาจาที่เอ่ยออกมากลับไม่นุ่มนวลไร้เดียงสาตาม
“ข้าถามว่าเหตุใดเ้าถึงฆ่านาง? เดิมทีนางเป็เพียงเครื่องมือ ฆ่านางไปก็ไม่มีประโยชน์มากนัก”
“เพราะเห็นนางแล้วขัดตาเ้าค่ะ”
เด็กสาวหัวเราะเ็า
“ถ้าอย่างนั้นเ้าก็ต้องรู้ว่าการแตะต้องนางอาจมีโอกาสโดนแว้งกัดได้ หากถูกตรวจพบ เ้าจะพังทลายเอง”
น้ำเสียงของสตรีกลางคนราบเรียบยิ่งกว่าเดิม เหมือนกำลังถกกับบุตรสาวตนว่าวันนี้ดอกไม้ไหนสวยกว่ากัน ไม่ใช่เื่ใหญ่โตเกี่ยวพันถึงชีวิตผู้อื่น
“ลูกว่าไม่ขนาดนั้นหรอกเ้าค่ะ เื่ยาเม็ดก็อำพรางไปแล้ว หมอหลวงยามนั้นก็โดนฆ่าปิดปาก ตรวจสอบอย่างไรคงไม่พบ ส่วนคราวนี้ยิ่งง่ายดายเข้าไปใหญ่
ลูกคำนวณทุกการเคลื่อนไหวของทุกคนมาอย่างดี สิ่งของชักนำหายนะถูกยัดเข้าไปผ่านมือคนอื่น แล้วคนเ่าั้ล้วนตายเพราะฝีขึ้นทั้งหมด ของก็โดนเผาทิ้ง
เื่ราวนี้ฟ้าดินรู้ ข้ากับท่านรู้ ไม่มีใครอื่นอีก”
อายุของเด็กสาวยังไม่มากนัก ต่อให้นางสามารถเลียนแบบความนุ่มนวลในน้ำเสียงเช่นสตรีวัยกลางคน แต่คำพูดของนางยังซ่อนความภาคภูมิใจที่รั่วไหลออกมาได้ไม่มิด
นางนึกถึง่ที่อยู่ในหอถงเชวี่ย เยี่ยนเจาเจาท่าทางเยิบยาบแต่กลับน่ากริ่งเกรงประดุจสายฟ้าฟาด แทบจะไม่ต้องลงแรงก็บดขยี้เยี่ยนฟางหวาเสียมิด ทำศึกพลิกกลับมาชนะได้อย่างงดงาม…หากปล่อยเยี่ยนเจาเจาเติบโตขึ้นไปก็จะเป็ภัยคุกคามต่อพวกนางไม่น้อยกว่าองค์หญิง
แม้ตอนตัดสินใจแรกเริ่มจะใช้อารมณ์ไปหน่อย แต่ผลลัพธ์ยามนี้ก็ดีไม่ใช่หรือ
“ท่านแม่ คนคุยกันให้ทั่วว่านางทนไม่ไหวแล้ว เมื่อใดที่นางตาย ใครจะรู้เล่าว่าข้าคือคนลงมือ?”
เด็กสาวยิ้มอ่อนหวาน
สตรีวัยกลางคนขมวดคิ้วถาม “เ้าแน่ใจหรือว่านางตายแล้ว?”
อาจเพราะชัยชนะอยู่แค่เอื้อม เด็กสาวที่สุขุมวางตัวเหมาะสมเสมอจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยประโยคต่อมาอย่างเผอเรอ
“เรือนหิมะมรกตวุ่นวายมาั้แ่เช้าแล้ว กระทั่งหนานิเหอยังตกอยู่ในสภาพนั้น องค์หญิงเองก็ไปะโจะฆ่าจะแกงที่บ้านใหญ่ เหตุใดท่านแม่ยังไม่เชื่อเ้าคะ? อีกอย่างลูกก็ให้คนออกไปดูแล้ว นางหมดลมแล้วจริงๆ เ้าค่ะ”
คาดไม่ถึงว่าสีหน้าของสตรีวัยกลางคนจะเปลี่ยนฉับพลัน นางลุกพรวดจากเก้าอี้โยกแล้วถามว่า “เ้าสั่งใครไป?”
“คนสุดท้ายที่สมควรตาย เป็โหม่วโหมวเฒ่าที่รับผิดชอบไต่สวนซูเอ๋อร์กับฉีเอ๋อร์อย่างไรเล่าเ้าคะ…นางถูกข้าบีบไว้กลางฝ่ามือแล้ว ยามนี้เรือนหิมะมรกตวุ่นวาย นางไปดูก็เหมาะสมพอดีเ้าค่ะ”
ทว่าหญิงวัยกลางคนกลับไม่ใจเย็นเหมือนบุตรสาว หัวใจของนางบีบรัดและอดถามต่อไม่ได้ “โหม่วโหมวเฒ่านั่นกลับมาหรือยัง?”
“ให้พี่ชายจัดการแล้วเ้าค่ะ”
“อะไรนะ เื่นี้พี่ชายเ้ามีเอี่ยวด้วยหรือ?”
ใจของสตรีวัยกลางคนรู้สึกท่าไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ
“พี่ชายมักถูกเมินตลอด แม้จะเขียนบทประพันธ์ดีแต่มันมีประโยชน์อะไร? เขาทำสิ่งใดไม่สำเร็จสักอย่าง ลูกแค่ช่วยเหลือเขาเท่านั้น ท่านก็รู้ว่า...”
เอ่ยยังไม่ทันจบ ความรู้สึกไม่ดีในใจของสตรีวัยกลางคนก็พุ่งถึงขีดสุด นางปิดปากลูกสาว ปลายจมูกพลันได้กลิ่นคาวเื
“คาดไม่ถึงเลยว่าท่านป้าสะใภ้รองกับพี่หญิงสี่จะ้าชีวิตของข้า”
ทันใดนั้นเสียงเด็กสาวนุ่มนิ่มแต่กลับแจ่มชัดก็ดังขึ้นตรงประตู แล้วประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิทก็โดนคนถีบให้เปิดจากข้างนอก
เด็กสาวที่กำลังลำพองก็ใจนกรีดร้องออกมา ส่วนสตรีวัยกลางคนกลับหน้าซีดเผือด…คนมาเยือนคือเยี่ยนเจาเจาที่ลือกันว่าเป็ไข้ทรพิษ อาการย่ำแย่นั่นเอง
เยี่ยนเจาเจาดูไม่เจ็บไม่ป่วยอันใดเลยสักนิด ถึงขั้นสบายดีด้วยซ้ำ ตอนนี้ยืนแข็งแรงอยู่หน้าประตูเรือนของนาง กระทั่งเรียกนามพวกนางยังชัดถ้อยชัดคำทั้งที่ยังไม่ทันเปิดประตู
เยี่ยนเจาเจายืนอยู่เช่นนั้น แม้ร่างกายเล็กจ้อย ทว่ากลิ่นอายที่ไม่อาจมองข้ามได้แผ่เข้ามาหาพวกนางเพียงชั่วพริบตาที่เปิดประตู จนเสี่ยวจ้าวซื่อสั่นเทาไปทั้งตัว
เชิงอรรถ
[1] ตะเกียงฉางิ หมายถึง ตะเกียงที่สามารถจุดได้ยาวนานตลอดคืนจนถึงเช้า โดยมากใช้จุดในเทศกาลสำคัญ เช่น คืนวันปีใหม่ ขอพรพระ หรือตั้งไหว้บรรพชนผู้ล่วงลับ
[2] ชนเผ่าทูเจวี๋ย หมายถึง ชนเผ่าเติร์ก
[3] กลยุทธ์เมืองร้าง หมายถึง กลยุทธ์ของขงเบ้งจากเื่สามก๊ก เป็การวางแผนอำพรางกำลังของตนเพื่อตบตาหรือลวงฝ่ายตรงข้าม
[4] ผักกาดขาว หมายถึง เด็กที่ถูกชุบเลี้ยงมาอย่างดี
[5] เสือกระดาษ หมายถึง สิ่งที่ดูน่าเกรงขามแต่ไร้อำนาจและไม่อาจทนการต่อต้านได้