ฉือหางวางชามและตะเกียบ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปเปิดประตู
หลังจากนั้นไม่นาน ซ่งซื่อก็เดินตามฉือหางเข้ามาจากด้านนอก
เมื่อเห็นว่าพวกเขายังคงทานอาหารอยู่ ร่องรอยของความรู้สึกผิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง "ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าพวกเ้ายังทานอาหารอยู่"
หลินกู๋หยู่ลุกขึ้น เงยหน้าขึ้นมองซ่งซื่อด้วยรอยยิ้ม "พี่สะใภ้ใหญ่ เชิญนั่งลงก่อน"
ซ่งซื่อโบกมือ ชี้ไปที่ด้านนอกประตู "เอาล่ะ พวกเ้าทานข้าวก่อนเถอะ อีกสักพักข้าค่อยมาใหม่"
หลังจากที่ซ่งซื่อพูดจบ นางทำท่าจะเดินออกไปด้วยท่าทีรู้สึกผิด
"พี่สะใภ้ใหญ่” หลินกู๋หยู่มองเห็นท่าทีของซ่งซื่อ แล้วรีบลุกขึ้นไล่ตาม "มีอะไรหรือ?"
เมื่อมองไปที่แววตาของซ่งซื่อที่มองโต๊ะอาหาร หลินกู๋หยู่ก็ยิ้มๆ "ข้าทานอาหารเสร็จแล้ว"
ตามซ่งซื่อไปที่เตา ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน
ภายในเตาร้อนมาก มีลมร้อนแผ่ซ่านออกมาด้านนอกอย่างสม่ำเสมอ
แค่ยืนอยู่ครู่เดียว ซ่งซื่อก็รู้สึกว่าร่างกายมีเหงื่อซึมออกแล้ว
"พี่สะใภ้ เกิดอะไรขึ้น?" เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของซ่งซื่อ หลินกู๋หยู่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถามขึ้น
"ข้าตรองดูแล้ว รู้สึกว่าครอบครัวของเ้ารองแปลกพิกลหลายส่วน" ซ่งซื่อคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดอย่างระแคะระคาย "ถ้าพวกเราจะบอกว่าบ้านของเ้ารองไม่มีเงิน และพวกเขาสองคนก็ไม่ใช่คนขยันทำงาน"
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ซ่งซื่อพูด หลินกู๋หยู่ก็ฉายสีหน้าไม่สบายใจแวบหนึ่ง
“ข้าสงสัยนัก สองคนนี้เขามีกินได้อย่างไร?” ซ่งซื่อทอดถอนหายใจ ขมวดคิ้ว “ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในบ้านของสองคนนั้นต้องไม่เหลืออะไรแล้วอย่างแน่นอน แต่คนเราไม่ทานข้าวตลอดทั้งหนึ่งวัน เช่นนี้จะเป็ไปได้อย่างไรหรือ?"
“ไม่แน่ว่าอาจเป็เพราะอาหารที่พวกเขามียังทานไม่หมดกระมัง” หลินกู๋หยู่กล่าวอย่างไม่มั่นใจ
ซ่งซื่อส่ายศีรษะ ครุ่นคิดอยู่นานกว่าจะเอื้อนเอ่ย "ในตอนแรกข้าก็ไม่ได้คิดถึงเื่นี้มากนัก ทว่าวันก่อนลูกๆ ของข้าบอกว่าเห็นพวกเขากินเนื้อ ข้าก็เลยคิดว่าคงเป็เพราะขโมยเนื้อของพวกเ้า จึงมาบอกพวกเ้าให้ทราบ”
สีหน้าของหลินกู๋หยู่ค่อนข้างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย คาดว่าสองคนนั้นไม่ได้ขโมยเนื้อ แต่ซื้อเนื้อมาโดยตรง
"เนื้อที่บ้านข้าไม่ได้หายไปไหน" เดิมทีหลินกู๋หยู่้าที่จะบอกความจริง แต่นางไม่้าสร้างปัญหาให้ยุ่งยาก ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไรมาก
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน อากาศก็ค่อยๆ อุ่นขึ้น และดวงอาทิตย์ก็สาดแสงพอดี หลินกู๋หยู่นำผ้าห่มทั้งหมดออกมาตากแดด
เมื่อสองวันก่อน ฉือเย่ไปสถานศึกษาในเมืองเพื่อเล่าเรียน
พูดไว้แล้วว่าจะส่งโต้ซาไปเรียน หลินกู๋หยู่ได้เตรียมเงินค่าเทอมไว้จำนวนหนึ่งั้แ่เนิ่นๆ แล้ว และยังถือไข่ครึ่งตะกร้าเดินไปสถานศึกษากับโต้ซา
โต้ซาเชื่อฟังมาก เขาจะเชื่อฟังและทำทุกสิ่งที่นางบอกให้ทำ
ในสถานศึกษามีจำนวนนักเรียนเพียงสามสิบคน เมื่อหลินกู๋หยู่ส่งโต้ซา ท่านอาจารย์ขมวดคิ้วทันทีที่เห็นโต้ซา
“เด็กคนนี้ยังเด็กเกินไป” ท่านอาจารย์ที่สอนหนังสืออายุประมาณสี่สิบเศษ ได้ยินว่าหลานชายของเขาวิ่งได้แล้ว และได้เป็ซิ่วไฉ[1]คนเดียวในหมู่บ้าน
ด้วยดวงตาสีเข้มของโต้ซามองท่านอาจารย์หวังไม่กะพริบ
“ท่านอาจารย์ ข้ารู้ว่าลูกยังเด็ก” หลินกู๋หยู่ยิ้มพลางหันศีรษะไปมองโต้ซาที่อยู่ข้างๆ “ข้าก็ไม่คิดที่จะให้ลูกเรียนรู้อะไรมากมาย เพียงแต่อยากให้ลูกได้รับการปลูกฝังที่นี่"
หลังจากที่หลินกู๋หยู่พูดจบ นางก็หยิบถุงเงินออกมา ยัดใส่มือของอาจารย์หวังและยื่นไข่ให้ครึ่งตะกร้า "โต้ซาของข้าเชื่อฟังมาก ท่านแค่สอนเขาเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว"
หลังจากััถุงเงิน หนักใช้ได้ จำนวนเงินเพียงพอ
เมื่อมองไปที่ไข่ครึ่งตะกร้าอีกครั้ง ท่านอาจารย์หวังพยักหน้าและตอบว่า "ข้าบอกไม่ได้ว่าเขาเรียนรู้ได้แค่ไหน"
ท่านอาจารย์หวังก็รู้สึกลำบากใจเกินกว่าจะพูด เขาจึงบอกว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสอนโต้ซา
ตอนนี้โต้ซาอายุสองปีกว่าแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะวันปกติอยู่บ้านโต้ซาก็เรียนหนังสือ หลินกู๋หยู่คงไม่ส่งโต้ซามาที่นี่
เด็กอายุน้อยที่สุดที่นี่ดูเหมือนจะอายุสี่ขวบ
ในวัดบนูเาที่ทรุดโทรมซอมซ่อ...
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ฟางซื่อสวมเสื้อผ้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มคนนั้น พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เ้าออกไปเฝ้าดูรอบๆ ว่ามีใครอยู่ไหม?"
"ได้สิ” "เมื่อไรที่หย่าร้างกับผีตายซากนั่น เราก็จะได้อยู่ด้วยกัน"
ฟางซื่อผูกเสื้อผ้าบนร่างกายเรียบร้อยแล้วหันไปมองชายหนุ่มคนนั้น "ค่อยตัดสินใจเถอะ ตอนนี้เขามีเงินมากมายอยู่ในมือ พวกเรายัง้าเงินอยู่"
ชายหนุ่มคนนั้นสวมเสื้อผ้าอย่างไม่เต็มใจ เดินไปที่ประตู เปิดประตูออกมองดูซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีคน เขาจึงพูดกับฟางซื่ออย่างไม่เต็มใจ "ด้านนอกไม่มีคนแล้ว"
ฟางซื่อเดินไปหาชายหนุ่มคนนั้นด้วยรอยยิ้ม "เอาละ อย่าโกรธเลย เ้าเองก็ต้องใช้เงินไม่ใช่หรือ หลังจากที่ข้าได้รับเงินมาแล้ว เราจะไปด้วยกัน ตกลงไหม?"
“เ้าพูดแล้ว ทำให้ได้ด้วย”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ฟางซื่อยิ้มขณะพยักหน้าตอบ
หลังจากกอดคลอเคลียกับชายหนุ่มคนนั้นสักพักหนึ่ง ฟางซื่อก็เปิดประตูเตรียมตัวจะออกไป
ทันทีที่เปิดประตู นางก็เห็นหลินกู๋หยู่เดินผ่านไป
หลินกู๋หยู่แอบดูโต้ซาข้างหน้าต่างสถานศึกษาอยู่พักหนึ่ง โต้ซานั่งบนเก้าอี้อย่างเชื่อฟัง สายตามองไปรอบๆ
เมื่อเด็กน้อยเห็นหลินกู๋หยู่ เขาก็โบกมือให้อย่างแรง
โต้ซาเป็เด็กดีจนทำให้คนรักและเอ็นดูจริงๆ ได้ยินมาว่าเด็กๆ หลายคนเอาแต่ร้องไห้เมื่อเข้าโรงเรียนครั้งแรก
เมื่อเดินไปผ่านด้านข้างของวัดเก่า ดูเหมือนว่าหลินกู๋หยู่จะได้ยินอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ที่นั่น
ชะลอฝีเท้าหยุดลงอย่างช้าๆ มองเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าสงสัย
นางเคยเป็คนที่ไม่เชื่อในเทพเ้า แต่ั้แ่มาที่นี่ หลินกู๋หยู่เริ่มสงสัยเกี่ยวกับสิ่งเ่าั้แล้ว
ยกเท้าเดินไปยังวิหารที่ผุพังอย่างช้าๆ ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางรู้สึกแปลกพิกลในใจ
ฟางซื่อมองไปที่หลินกู๋หยู่ที่เดินมาทางนางผ่านรอยแตกของประตู จับแขนของชายหนุ่มคนนั้นด้วยมือทั้งสองข้างด้วยความตื่นตระหนก "จะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี ถ้านางเข้ามาพบพวกเราเล่า?"
เมื่อได้ยินคำพูดของฟางซื่อ ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วมุ่น เขาจับมือของฟางซื่อแสร้งทำเป็สงบ "เ้ากังวลเื่อะไร อย่างมากที่สุดพวกเราสองคนทำให้นางสลบก็ได้แล้ว"
"ฮูว!"
ฟางซื่อหายใจแรง เหงื่อเย็นไหลซึมออกมาจากฝ่ามือ
"หรือว่า" ฟางซื่อลดเสียงลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน "เ้าออกไปก่อน เช่นนี้นางจะได้ไม่เข้ามา"
เมื่อได้ฟังดังนั้น ชายคนนั้นกำลังจะเปิดประตู แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าฟางซื่อคว้าตัวเขา
“เกิดอะไรขึ้น?” ชายคนนั้นมองไปที่ฟางซื่ออย่างงุนงง “เ้าบอกให้ข้าออกไปไม่ใช่หรือ”
“โดยปกติแล้วไม่มีใครมาที่วัดที่เก่าผุพังเช่นนี้ นี่เป็สาเหตุที่เราสองคนมาที่นี่ได้อย่างสบายใจ แต่ถ้าคนอื่นรู้ว่าเ้ามาที่นี่บ่อยๆ แล้วเกิดถูกคนพบเห็นเข้าจะทำอย่างไร?” ฟางซื่อเม้มริมฝีปากแน่น เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มคนนั้น ภายนอกแสร้งทำเป็สงบ "เ้าอย่าออกไปเลย เราสองคนต้องไม่ให้คนเห็น"
วัดเก่าที่ผุพัง อิฐและกระเบื้อง้าที่วางไม่เสมอกันโคลงเคลงไปตามแรงลม
หลินกู๋หยู่เดินไปข้างหน้าทีละก้าว
เมื่อเหยียบกิ่งไม้ก็มีเสียง "เอี๊ยด" ดังขึ้น
หลินกู๋หยู่เดินไปได้ครึ่งทางพลางคิดว่าทำไมตนเองถึงได้รู้สึกสงสัยเช่นนี้ แม้ว่าจะมีสิ่งเหล่านี้ แต่กระนั้นก็ไม่ปรากฏในตอนกลางวันเช่นนี้
“แม่ของโต้ซา เ้ากำลังทำอะไรหรือ?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงดังมาจากไม่ไกล
หลินกู๋หยู่เห็นว่านั่นคือพี่สะใภ้ซุนเพื่อนบ้านของนาง จึงหันไปหาบุคคลนั้นด้วยรอยยิ้ม "ไม่มีอะไร ข้าแค่สงสัยจึงเดินมาดู"
พี่สะใภ้ซุนถืออ่างไม้ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้า นางน่าจะเพิ่งกลับบ้านจากการซักผ้าที่ริมแม่น้ำ
พี่สะใภ้ซุนมองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยรอยยิ้ม เงยหน้าขึ้นมองวัดและพูดเสียงเบาว่า "เ้าไม่ควรไปที่นั่น ไม่ค่อยมีคนไปวัดนั้น ข้าได้ยินมาว่าวัดแห่งนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อย"
หลินกู๋หยู่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
“ถ้าเ้าอยากไป คราวหน้าข้าจะพาเ้าไปที่วัดในหมู่บ้านใกล้เคียง ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นศักดิ์สิทธิ์มาก แค่ขอพรให้มีลูก ก็จะได้อย่าง้า” พี่สะใภ้ซุนหรี่ตาพูดด้วยรอยยิ้ม "แม่โต้ซา ข้าจะกลับก่อนแล้ว"
“แล้วพบกันใหม่” หลินกู๋หยู่พูดกับพี่สะใภ้ซุนด้วยรอยยิ้ม
พี่สะใภ้ซุนจะรีบกลับไปตากผ้า นางจึงกลับไป
หลินกู๋หยู่มองกลับไปที่ประตูทรุดโทรมซึ่งเต็มไปด้วยรู
ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนี้วัดแห่งนี้ถึงได้อยู่ในสภาพทรุดโทรมซอมซ่อ เป็เพราะไม่ศักดิ์สิทธิ์นี่เอง
เมื่อครู่หลินกู๋หยู่แค่สงสัยเท่านั้น ดังนั้นนางจึงหันกลับและจากไป
เมื่อก้าวเท้าออกไปเพียงสองก้าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกิ่งไม้หัก ฝีเท้าของนางหยุดชะงัก
ทว่าใต้เท้าของนางไม่มีกิ่งไม้ หรือว่าด้านในจะมีคนอยู่?
เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ หลินกู๋หยู่ก็หันไปมองที่ประตูบานนั้น
สายลมพัดปอยผมบดบังการมองเห็นของนาง
บางทีอาจมีเทพเ้าอยู่ด้านในจริงๆ
เมื่อเห็นท่าทีของหลินกู๋หยู่ ฟางซื่อรู้สึกประหม่าจนลืมหายใจ มือของนางจับแขนของชายหนุ่มคนนั้นไว้แน่น สีหน้าของนางไม่น่าดูอย่างมาก
ชายหนุ่มมองใบหน้าซีดเซียวของฟางซื่อพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาพูดเสียงเบา "เ้าจะกลัวอะไร ตราบใดที่เ้าไม่ปรากฏตัว จะเกิดอะไรขึ้นได้?"
เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มคนนั้นก็หยิบไม้กระบองที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมากำแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นจ้องเขม็งไปที่หญิงสาวที่อยู่ด้านนอก
………………………………………………………
[1] ซิ่วไฉ การสอบเข้ารับราชการของจีน ซึ่งประกาศสอบทั้งหมดสามรอบ รอบที่หนึ่ง เป็การสอบระดับท้องถิ่น (หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด) ผู้ที่สอบผ่านรอบนี้จะได้คุณวุฒิระดับเรียกว่า “ซิ่วไฉ” โดยจัดสอบทุกปี ปีละครั้ง