สุดท้ายองครักษ์ขี่ม้ากลุ่มนั้น ก็ติดตามอยู่ด้านหลังขบวนรถของพวกนางไปตามความเห็นเดิมของเจิ้นกั๋วกง
เจินจูนั่งอยู่ในรถม้ากลอกตาไปทางเซียวฉิงที่นำทางอยู่ด้านหน้าอย่างอับจนหนทาง
ไอ้คนไม่ฟังความเห็นของผู้อื่น เหอะ นิสัยเช่นนี้เถาซื่อกับเซียวจวิ้นทนเขาได้อย่างไร
หลัวจิ่งราวกับรู้ว่าพี่น้องสกุลหูซื้อสิ่งของมาไม่น้อย จึงได้จัดหารถม้ามาเพิ่ม ทำให้สภาพสัมภาระที่มากเกินไปกระจายโล่งได้มากขึ้นพอดี
ผิงอันขี่อยู่บนม้าพันธุ์ดีของเขา ติดตามอยู่ด้านข้างหลัวจิ่งอย่างตื่นเต้นดีใจ กล่าวหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับม้าไม่หยุด
ผ่านไปไม่นานขบวนรถได้มาถึงประตูเจิ้งหยางที่สูงตระหง่านมีสง่า
อากาศเหน็บหนาว รถม้าที่ออกจากเมืองหลวงจึงมีไม่มาก
เซียวฉิงนำทางขบวนรถมาปรากฏอยู่หน้าประตู ดึงดูดให้เกิดความแตกตื่นขึ้นไม่น้อย
ไม่นานผู้ตรวจการศาลาว่าการเมืองหลวงฟางติ่งก็วิ่งเหยาะๆ เลียบกำแพงเมืองเข้ามา
“โอ้ ฟ้าเพิ่งสว่างเพียงนี้ นายท่านกั๋วกงจะไปที่ไหนหรือขอรับ?” ฟางติ่งหอบเอารูปร่างท้วมเตี้ยมาโค้งกายทำความเคารพ
“ส่งหลานสาวออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิด” เซียวฉิงกล่าวกระชับตรงประเด็น
หลานสาวของเจิ้นกั๋วกง? ฟางติ่งมองรถม้าด้านหลังเขาปราดหนึ่ง
เจิ้นกั๋วกงมีบุตรชายคนเดียวมาตลอดสามรุ่น หลานสาวมาจากไหนกัน? แต่อาจเป็หลานสาวของสหายหรือทางฝั่งฮูหยินกั๋วกงก็เป็ได้
ในหัวของฟางติ่งโลดแล่นอย่างว่องไว
่นี้สถานการณ์เอนเอียงไปทางเซียวฉิงอย่างมาก หลังองค์ไท่จื่อถูกลอบสังหาร ฮองเฮาก็ไปมาหาสู่อย่างระมัดระวังกับครอบครัวนาง กระทำการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ฮ่องเต้จึงเรียกตัวเขาเข้าวังไปหารืออยู่หลายครั้ง
กองทัพใหญ่ในมือของเจิ้นกั๋วกง ได้โยกย้ายกองกำลังสองหมื่นนายไปตั้งมั่นอยู่บริเวณชานเมืองของเมืองหลวง อ้างต่อภายนอกว่าเพื่อทำการฝึกซ้อม ส่วนความเป็จริงน่ะหรือทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจดี
หากไม่มีความประสงค์ของฮ่องเต้ คนอย่างเซียวฉิงหรือจะกล้าทำโดยพลการ
เมื่อการตรวจสอบเวียนมาถึงขบวนรถของเจินจู
นายทหารที่เข้ามาทำการตรวจสอบท่าทางระมัดระวังอยู่บ้าง ไม่นานก็ตรวจสอบเกวียนด้านหลังหนึ่งรอบเสร็จด้วยความรวดเร็ว กระทั่งตอนมาถึงรถม้าของสตรี นายทหารจึงมองฟางติ่งหนหนึ่ง
หางคิ้วของฟางติ่งกระตุก ปั้นหน้ายิ้มประจบพร้อมกล่าวขึ้น “นายท่านกั๋วกง นี่ล้วนเป็หน้าที่ที่ต้องทำการตรวจสอบตามปกติ ขอล่วงเกินแล้วขอรับ”
เซียวฉิงใบหน้าไร้การแสดงออกทางอารมณ์ “ไม่เป็ไร อย่าทำให้เสียเวลาก็พอ”
ก่อนออกเดินทางเขาพบว่าแมวและหนูล้วนไม่อยู่บนเกวียน คิดไปแล้วพวกเขาคงหาหนทางอื่นให้พวกมันออกจากเมืองไปได้
“ฮ่าๆ ย่อมเป็เช่นนั้นแน่นอน ไม่นานก็เสร็จแล้วขอรับ” ฟางติ่งใช้สายตาส่งสัญญาณให้นายทหารกระทำการให้เร็วหน่อย
นายทหารรีบเคาะประตูเกวียนทันที กล่าวขออนุญาตนิดหน่อยและเปิดประตูเกวียนออก
กลิ่นอายหอมอ่อนๆ ที่กระจายอยู่ในเกวียนได้ลอยตามลมที่เปิดประตูออกมา ภายในเกวียนรถมีหญิงสาวงามสง่า ั์ตางดงาม แผ่นหลังตั้งตรง สีหน้าสุขุม หน้าตาเยือกเย็นสงบนิ่ง ดูสุภาพเรียบร้อยและสูงศักดิ์
นายทหารมองเหม่อไปชั่วขณะ ฟางติ่งจึงตรงเข้ามาสองก้าว เมื่อชะโงกหน้าเข้ามามอง ไอ๊หยา นี่เป็สตรีสูงศักดิ์ของจวนใดกัน รูปโฉมงดงามสุดในแผ่นดินก็ไม่ปาน สุขุมเยือกเย็นและสูงส่งยิ่งนัก
“แค่ก!” เซียวฉิงกระแอมไอหนักๆ หนึ่งเสียงราวกับกำลังเตือน เรียกสายตาที่จ้องตะลึงนิ่งงันของสองคนขึ้น
“เอ่อ ฮ่าๆ… นายท่านกั๋วกง หลานสาวของท่านเป็แม่หญิงสูงส่งสกุลใดกัน งดงามสุดในแผ่นดินปานนี้ พ่อสื่อแม่สื่อล้วนย่ำธรณีประตูพังแล้วกระมังขอรับ” ฟางติ่งกล่าวอย่างติดตลก
เซียวฉิงใบหน้าเคร่งขรึม ชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง “ใต้เท้าฟาง ท่านตรวจสอบเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”
“ขอรับ เรียบร้อยแล้ว เรียบร้อยขอรับ เชิญนายท่านกั๋วกง”
ฟางติ่งแอบด่าทออยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับทำท่าทางเคารพนบนอบ
เซียวฉิงนำไปด้านหน้า ขบวนรถจึงเริ่มเดินทางออกจากประตูเมืองไปอย่างช้าๆ
“ใต้เท้า สตรีที่นั่งอยู่ในเกวียนเป็คุณหนูของสกุลใดกัน? หน้าตาสวยงดงามจริงๆ” ขุนนางที่อยู่ข้างกายฟางติ่งก็ชำเลืองเห็นเงากายที่นั่งอยู่ด้านในรถม้า และตกตะลึงเข้าเช่นกัน
“เหอะ เ้าไม่เห็นหน้าตาอึมครึมของเจิ้นกั๋วกงหรือ ผู้ใดจะกล้ากระตุกหนวดเสือกัน” ฟางติ่งถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง
ทุกวันที่ต้องตรวจสอบมือสังหารที่ลอบสังหารองค์ไท่จื่อทีละคน ก็เพียงพอให้หงุดหงิดใจอยู่แล้ว คนโง่ปานนี้ยังไม่มีสายตาแยกแยะเพียงนี้อีก
ขุนนางผู้นั้นรีบแย้มยิ้มขึ้นทันที และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาขึ้น “เมื่อครู่ได้ยินทหารลาดตระเวนเมืองพูดคุยกัน บอกว่าก่อนฟ้าสางจวนจะยามเหม่า มีคนเห็นแมวดำหนึ่งตัวปีนข้ามกำแพงเมืองไป ใต้เท้า ท่านว่าจะเป็แมวตัวนั้นที่ปรากฏอยู่ในที่เกิดเหตุลอบสังหารหรือไม่?”
ปีนข้ามกำแพงเมือง? ฟางติ่งเงยหน้ามองไปยังจุดสูงสุด กำแพงเมืองสูงสิบเจ็ดหลา แมวปีนข้ามไปได้งั้นหรือ? แมวจะเหาะเหินขึ้นหลังคาไต่กำแพงได้หรือ?
“แมวที่ไหนจะปีนขึ้นไปได้สูงเพียงนั้น? เ้าเคยเห็นงั้นหรือ?” ฟางติ่งจ้องขุนนางผู้นั้นแวบหนึ่ง
ขุนนางผู้นั้นยิ้มจนใบหน้าเหยเก “ล้วนเป็ทหารลาดตระเวนกล่าวกันน่ะขอรับ”
ฟางติ่งหัวเราะเยาะเขาทีหนึ่ง ยามเหม่าฟ้ายังมืดอยู่มาก สายตาของผู้ใดจะดีจนสามารถเห็นแมวดำหนึ่งตัว กำลังปีนกำแพงเมืองในความมืดมิดได้เพียงนั้น
เขาสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที สาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไป ขุนนางด้านหลังรีบตามหลังไปติดๆ
...ศาลาสิบลี้นอกชานเมือง ตั้งสูงตระหง่านอยู่ข้างถนนทางการ
รุ่งเช้าอันหนาวเย็นในหน้าหนาว แสงอาทิตย์ท่ามกลางท้องฟ้าทะลุหมอกขมุกขมัว ส่องแสงอันอบอุ่นกระทบลงมายังผืนแผ่นดินขนาดใหญ่
นอกศาลาสิบลี้ รถม้าสี่เกวียนหยุดชิดอยู่รอบด้าน
เจินจูลงจากรถม้า ความเย็นะเืในอากาศปะทะเข้าใบหน้า ขณะที่หายใจก็เกิดไอควันเป็พักๆ
นางมองไปบริเวณโดยรอบอยู่สองสามที มีป่าขนาดย่อมที่อยู่ไม่ไกลออกไปผืนนั้น เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุยหลบอยู่ทางนั้นใช่ไหมนะ
เซียวฉิงมาส่งพวกนางถึงตรงนี้ หลังกำชับหัวหน้ากลุ่มองครักษ์เบาๆ ไปสองสามประโยคแล้วก็กล่าวลาและย้อนกลับไปทางกำแพงเมือง
ผิงอันมองภาพด้านหลังอันผ่าเผยของเซียวฉิงที่นำองครักษ์ควบม้าทะยานออกไป ในใจเกิดความรู้สึกชื่นชมขึ้น เวลาที่เจิ้นกั๋วกงอยู่บนหลังม้าช่างยอดเยี่ยมนัก ม้าที่เขาใช้ขี่เป็ม้าที่มีชื่ออยู่ต้ายวน [1] ชื่อเสียงโด่งดัง ลักษณะตัวสูงใหญ่ คอยาวหน้าเงยสูง ขาทั้งสี่คล่องแคล่วมีพลัง สีขนมันวาว รูปลักษณ์สง่างาม
ขณะที่กำลังชื่นชม แขนของเขาก็ถูกเจินจูดึงขึ้น เขาหันมามองด้วยดวงตาเกิดคำถามสงสัย
เจินจูเข้าใกล้ข้างใบหูของเขาพลางกระซิบสองสามประโยค
ผิงอันพยักหน้าทันที พร้อมกับเดินออกไปนอกศาลาและจูง ‘เฟยหยุน’ ของเขาไปด้วย
“เขาจะทำอะไรหรือ?” หลัวจิ่งเข้าใกล้นางสองก้าวและกล่าวถาม
“ไม่ต้องสนใจเขา เขาแค่จูงม้าไปเดินเล่น อีกเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” เจินจูยิ้ม
หลัวจิ่งขมวดคิ้วดำยาวเฉียง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับท่าทางอย่างขอไปทีของนางเล็กน้อย
เสียงฝีเท้าม้าไกลออกไปดังขึ้นมาจากทิศทางเมืองหลวง
เจินจูชำเลืองตามองแวบหนึ่ง จึงเห็นกู้ฉีที่ขี่อยู่บนหลังม้าและยังมีรถม้าของจวนท่านโหวเหวินชางตามอยู่ด้านหลังของเขาได้อย่างชัดเจน
หลัวจิ่งย่อมต้องเห็นด้วยเช่นกัน เขาแอบแค่นเสียงไม่สบอารมณ์ขึ้นหนึ่งที เ้าหมอนี่เป็ภูติผีที่ไปไหนก็เจอจริงๆ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเตรียมจะหมั้นหมายกับคุณหนูสี่สกุลโหยวอยู่แล้ว ยังเอาใจใส่เจินจูเพียงนี้อยู่อีก
่บ่ายของเมื่อวานก็เชิญสองพี่น้องไปหอกระสาเยี่ยมเยือนเลี้ยงอาหาร วันนี้เช้าตรู่มากเพียงนี้ก็ยังตั้งใจมาส่งเป็พิเศษอีกด้วย
หัวใจของเขาราวกับมีขวดเครื่องปรุงห้ารสหกใส่ [2] สลับซับซ้อนยากเกินกว่าจะเข้าใจ
กู้ฉีพลิกกายลงจากหลังม้า การเคลื่อนไหวสง่างามว่องไว ไม่เห็นท่าทางเจ็บป่วยไร้เรี่ยวแรงในปีนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาในยามนี้ร่างกายกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว มากไปจนกระทั่งแข็งแรงกว่าคนทั่วไปเล็กน้อยอีกด้วย
โหยวอวี่เวยลงจากรถม้าด้วยการประคองของจื่อยู่
เจินจูเดินเข้าไปต้อนรับ รอยยิ้มเต็มไปทั่วทั้งใบหน้า “พี่สาวสกุลโหยว พี่ชายกู้อู่”
โหยวอวี่เวยเดินมาข้างหน้าแล้วกุมมือของนางขึ้น ทันใดนั้นเบ้าตาก็แดงรื้น “ทำไมวันนี้เ้าก็จะไปแล้วล่ะ ข้ายังไม่อยากให้เ้าไปเลย”
ไอ๊หยา แม่นางผู้นี้ เหตุใดจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปจนเป็เช่นนี้ได้ เจินจูแสบร้อนที่จมูก
“ไม่ใช่ว่าท่านบอกไว้แล้วหรือ ว่าปีหน้าจะไปบ้านข้า เพื่อเที่ยวชมคฤหาสน์ที่สร้างเสร็จใหม่แห่งนั้น? ถึงยามนั้นพวกเราก็จะได้พบหน้ากันแล้ว”
นางกล่าวปลอบใจ
สีหน้าโหยวอวี่เวยชะงักไปพักหนึ่ง นางแอบชำเลืองมองกู้ฉีและกล่าวด้วยเสียงแ่เบาอย่างเอียงอายเล็กน้อย “ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะไปได้หรือไม่”
เจินจูเห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของนางอยู่ในสายตา อดหัวเราะอย่างเข้าใจขึ้นมาไม่ได้ ปีหน้าพวกเขาน่าจะแต่งงานกันแล้ว คนที่แต่งงานไปแล้วก็ไม่ได้เป็อิสระเพียงนั้นจริงๆ
นางยักคิ้วหลิ่วตาไปทางหญิงสาวที่เขินอายตรงหน้าอย่างซุกซน
โหยวอวี่เวยหน้าแดงขึ้นโดยฉับพลัน จับมือของนางไว้และหยอกล้อสนุกสนานกันขึ้น
ทางนี้กระเซ้าเย้าแหย่กัน ส่วนอีกด้านหนึ่งกลับเคลื่อนไหวอยู่เงียบๆ
กู้ฉีนับว่าเคยพบกับหลัวจิ่งมาก่อน แค่ในตอนนั้นเขาไม่รู้สถานะของหลัวจิ่ง
หากในเวลานั้นเขาจับตาดูสักหน่อย ที่จริงก็คงค้นพบสถานะของเขาได้ไม่ยาก ตอนแรกเพียงรู้สึกว่าเด็กชายหน้าตาสง่างามมาปรากฏอยู่ในสถานที่ชนบท ช่างหาได้ยากยิ่งนัก ไม่ได้เชื่อมโยงเื่ในเมืองหลวงกับเขาเข้าด้วยกันเลย
ขณะนี้เมื่อได้พบกันอีกครั้ง ในใจสองคนต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
เจินจูกับโหยวอวี่เวยเดินเข้ามา
เมื่อโหยวอวี่เวยได้เห็นหลัวจิ่ง ก็พลั้งปากหลุดเสียงออกมา “อ๊ะ”
“…หลัวจิ่ง? เ้าคือหลัวจิ่ง! เ้าไม่ได้เป็อะไรหรือนี่! ว้าว... ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
นางเดินวนรอบหลัวจิ่งพิจารณาขึ้นหนึ่งรอบ สีหน้าทั้งดีใจระคนประหลาดใจขึ้นพร้อมกัน
ไม่ผิด... โหยวอวี่เวยย่อมรู้จักกับหลัวจิ่งเป็ธรรมดา เขาหน้าตารูปงามบุคลิกองอาจผึ่งผายมาั้แ่เด็ก เป็เด็กชายที่เด่นสะดุดตาเป็พิเศษเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน กอปรกับเขาขึ้นชื่อเื่สร้างความวุ่นวายและซุกซนยิ่งนัก เด็กชายและเด็กหญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มีใครบ้างที่จะไม่รู้จักเขา
สายตาของกู้ฉีครึ้มลงอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านก็รู้จักยู่เซิงด้วยอย่างนั้นหรือ?” เจินจูถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“อื้มๆ เมื่อก่อนหลัวจิ่งเป็หัวโจกในกลุ่มเด็กชายเลยนะ ที่ไหนสนุกครึกครื้นขึ้นที่นั่นต้องมีเขาเลยล่ะ” รอยยิ้มบนใบหน้าโหยวอวี่เวยปกปิดไว้ไม่อยู่ นางดีใจจากใจจริง แม้นางกับหลัวจิ่งจะไม่ได้สนิทกันลึกซึ้ง แต่ตามงานเลี้ยงแต่ละงานล้วนพบปะอยู่ด้วยกัน ถึงอย่างไรต่างก็เป็ผู้ที่เล่นสนุกด้วยกันมาั้แ่วัยเยาว์ ผนวกกับเขารูปร่างหน้าตาสง่างาม มีชีวิตชีวาคึกคักร่าเริง ในยามนั้นจึงได้รับความชื่นชอบจากเด็กผู้หญิงเป็จำนวนมาก
“แค่ก... คุณหนูสี่สกุลโหยว ไม่ได้เจอกันนานเลย” หลัวจิ่งกระแอมไอแห้งหนึ่งเสียง ทำการทักทายขึ้น
“อื้ม หลัวยู่เซิง ไม่ได้เจอกันนานเลย เจอเ้าอีกครั้งได้ช่างวิเศษยิ่งนัก” โหยวอวี่เวยกล่าว ่ที่จวนสกุลหลัวถูกค้นบ้านยึดทรัพย์สินและตัดศีรษะนางยังเด็ก หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปเป็เวลานาน นางถึงได้ยินข่าวคราวจากปากของผู้อื่น เมื่อทราบข่าวในยามนั้น นางยังหดหู่ซึมเซาลงไปอยู่หลายวัน
นางกล่าวได้อย่างจริงใจ หลัวจิ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สหายวัยเยาว์ยังมีคนที่คิดถึงเขาอยู่ ในใจเกิดความอบอุ่นขึ้นหนึ่งสาย
สองคนอยู่ในสถานะสหายเก่าที่ได้พบกัน
อีกสองคนที่เหลือด้านข้าง ในใจเกิดความรู้สึกหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ขึ้น
...เจินจูนั่งอยู่บนรถม้า มองไปทางชายหนุ่มที่ควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทางองอาจหน้าตาหล่อเหลา ผ่านหน้าต่างเกวียนที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่ง
ไม่คิดเลยว่าโหยวอวี่เวยจะเรียกเขาว่าหลัวยู่เซิง สองคนรู้จักกันเป็อย่างดีเลยงั้นหรือ?
นางจ้องหลัวจิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกหายใจติดขัด ตอนเป็เด็กเขาสร้างความวุ่นวายเพียงนั้น แต่กลับได้รับความชื่นชอบจากเด็กผู้หญิงอย่างนั้นหรือ
ก็คงจะเป็เช่นนั้น คนที่หน้าตาดีย่อมมีความชำนาญในการเกี้ยวสตรีติดตัว
อื้ม... นางปล่อยหลัวจิ่งให้ทำตามใจไหลลื่นเกินไปหรือไม่นี่? เจินจูพิจารณาขึ้น
สายตาที่มองไปทางหลัวจิ่งแวววาวมากยิ่งนัก เป็ไปไม่ได้เลยที่หลัวจิ่งจะรู้สึกถึงมันไม่ได้ เขาหมุนศีรษะมาส่งยิ้มให้ทางหน้าต่างเกวียน
แสงอาทิตย์ในฤดูหนาวตกกระทบลงบนใบหน้าของเขา สะท้อนแสงสีเหลืองอ่อนหนึ่งชั้นออกมา เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย ริมฝีปากเป็กระจับชัดเจนยกยิ้มขึ้นบางๆ แพขนตายาวละเอียด ดวงตาสีดำสนิทลึกซึ้งก่อรูปเป็เส้นโค้งน่ามอง รูปร่างทรงพลัง ลักษณะท่าทางสุภาพอ่อนโยน หนึ่งยิ้มเบาบางของเขาช่างงดงามอย่างน่าตกตะลึง
สายตาทั้งสองจ้องสบกัน ราวกับมีกระแสไฟเชื่อมประสาน ด้วยสายตาที่อบอุ่นและร้อนแรงของเขา เจินจูเริ่มปล่อยวางจิตใจลงช้าๆ พร้อมกับมุมปากของนางโค้งยิ้มขึ้น ทำให้ดวงตาคู่ใสเกิดรอยยิ้มแย้ม
หลัวจิ่งประหลาดใจอยู่ข้างใน ขณะที่เขาเพิ่งหันไปมองทางนาง เห็นได้ชัดเจนว่านางยังดูโกรธเคืองอยู่เลย แต่เวลาพริบตาเดียวนางกลับเปลี่ยนไปจนสดใสงดงามดั่งฤดูใบไม้ผลิเสียได้ อารมณ์เปลี่ยนเร็วเกินไปแล้วกระมัง
แน่นอนว่ารอยยิ้มสว่างไสวสวยงามของหญิงสาว ทำให้จิตใจของเขาเปลี่ยนไปจนสบายใจขึ้นมากเช่นกัน
สองคนที่กั้นกันไว้ด้วยหน้าต่างเกวียน สบสายตากันอย่างเงียบๆ
เชิงอรรถ
[1] ม้าที่มีชื่ออยู่ต้ายวน คือ ม้าเหงื่อโลหิต ซึ่งเป็ม้าสายพันธุ์หนึ่ง ตามตำนานกล่าวกันว่าม้าพันธุ์ดังกล่าวยามที่ออกวิ่ง บริเวณแผงคอจะมีเหงื่อไหลออกมา เป็สีแดงสดคล้ายเื ม้าสายพันธุ์นี้จะมีฝีเท้าเร็ว ความอดทนสูง ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมาจากต้ายวน (大宛 Dayuan) โดยต้ายวน คือชื่อแคว้นในเอเชียกลางในสมัยโบราณ ตั้งอยู่ตีนเขาฝั่งตะวันตกพาเมียร์ (Pamir หรือ 帕米尔) บนต้นแม่น้ำซีร์ดาร์ยาไล่มาถึง่ตอนกลางของแม่น้ำ ซึ่งปัจจุบันคือที่ราบลุ่มเฟอร์กานาในอุซเบกิสถาน
[2] ราวกับมีขวดเครื่องปรุงห้ารสหกใส่ หมายความว่า รสชาติเปรี้ยว หวาน ขม เผ็ด เค็ม ปะปนกันจนแยกรสไม่ออก เป็การอุปมาถึงเื่แต่ละอย่างในชีวิต ที่ประสบมากมายล้วนมีความรู้สึกแตกต่างกันไป