ตอนนี้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง ตำหนักเย็นแห่งนี้แต่ละคนต่าง้าสังหารเขาเพื่อขอความดีความชอบแต่ไม่มีใครกล้าสังหารเขาอย่างโจ่งแจ้ง กอปรกับผู้คนรอบกายเขานั้น บ้างก็เสียชีวิตบ้างก็หนีไป บ้างก็ทรยศ ด้วยเหตุนี้เด็กน้อยอย่างเขาจึงรู้สึกหวาดกลัวผู้คนที่เข้าใกล้
ทว่าตอนนี้เขารู้สึกทรมานมากจริงๆ ราวกับทุกอณูของกระดูกกำลังปริแตกออกจากกันลำคอราวกับมีเปลวไฟแผดเผา เขา... ไม่อยากกลายเป็ใบ้
“มา ปล่อยมือออก!”
น้ำเสียงอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาของเด็กหญิงตัวน้อยกล่าวออกมาอย่างดุดันท่าทางของนางดูไม่ค่อยเต็มใจนัก ทว่าเมื่อได้ยินเสียงของเด็กหญิงเช่นนี้เสี่ยวกงเจวี๋ยพลันหรี่ตามองอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายเขาจึงรู้สึกวางใจอย่างรวดเร็ว
นางต้องเป็ “เสด็จพี่” ที่ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นอีกทั้งไม่มีใครรู้ว่านางเป็ตายร้ายดีอย่างไรผู้นั้นแน่นอนนางเป็ผู้ถูกกระทำเช่นกัน เนื่องจากนางไม่มีปัญหาเื่ผลประโยชน์ ไม่มีอำนาจบารมีใดๆนางจึงไม่มีเหตุจูงใจเข้ามาทำร้ายเขา
เขาอยู่ในตำหนักเย็นมาสองปีแล้วแต่ไม่เคยเจอเสด็จพี่ผู้นี้เลยสักครั้ง มีคนลือกันว่านางมักนอนป่วยอยู่บนเตียงเขาจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายเสียชีวิตไปแล้วคาดไม่ถึงว่าตอนนี้นางยังคงมีชีวิตอยู่จริงๆ
กงอี่โม่เห็นอีกฝ่ายปล่อยมือ นางจึงจับตัวเขาให้นอนอยู่บนหัวเข่าตนจากนั้นจับอีกฝ่ายอ้าปากโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้านางรัดคอเขาไว้พร้อมพยายามกระตุ้นให้เขาอาเจียนออกมา
เนื่องจากอายุยังน้อย ลำคอไม่อาจทนรับการกระตุ้นอย่างรุนแรงได้กงเจวี๋ยจึงอาเจียนออกมาอย่างรวดเร็ว ทว่าขั้นตอนนี้ยังไม่ใช่ขั้นตอนสุดท้ายกงอี่โม่หยิบน้ำที่นางเพิ่งขโมยออกมาก่อนหน้านี้ให้เขาดื่มเมื่อดื่มแล้วจึงกระตุ้นให้เขาอาเจียนต่อไป นางทำเช่นนี้ซ้ำอยู่หลายครั้งจนสีหน้าของเด็กชายตัวน้อยซีดขาวราวกับกระดาษ ริมฝีปากไร้สีเืใดๆ
เมื่อเห็นเขามีสภาพน่าสงสารเช่นนี้ กงอี่โม่พลันรู้สึกสะใจทว่าขณะที่กงเจวี๋ยลืมตาขึ้นมา ดวงตาสีน้ำหมึกคลอไปด้วยน้ำตากำลังจ้องมาที่นางั์ตาของเขาสะท้อนความระแวดระวังและความซึ้งใจราวกับเ้ากวางน้อยกำลังมองนางด้วยสายตาประกายแวววาว เวลานี้นางจึงเริ่มรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายบ้างแล้ว
เมื่อสักครู่ตอนที่กระตุ้นให้อาเจียนนั้นกระดูกของเขากระแทกกับนางจนนางยังรู้สึกเจ็บ ทั้งๆ ที่เขาอยู่ในสภาพย่ำแย่กว่านางทว่าเขากลับจัดการตัวเองได้อย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย แม้สวมชุดไม่พอดีตัวแต่ชุดของเขาถูกซักอย่างสะอาดสะอ้านจนเริ่มซีดจางไม่ว่าใครคงไม่คิดรำคาญเด็กน้อยที่มีลักษณะเช่นนี้
แต่แล้วความรู้สึกเห็นใจกลับเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้นนางตัดสินใจไม่เข้าไปยุ่งกับอีกฝ่ายอีก เพราะสิ่งที่นางควรทำนางได้ทำอย่างครบถ้วนแล้ว หากช่วยถึงขนาดนี้เขายังพูดไม่ได้อีก นั่นก็แสดงว่านี่คือลิขิต์
ทว่าเมื่อคิดว่าต่อไปซูเมี่ยวหลันจะตุ๋นน้ำแกงผีผาเข้ามาหาเขาทุกวันนางจึงฝืนใจหยิบยาแก้อักเสบและลูกอมแก้เจ็บคอออกมาจากช่องว่างมิติเวลาอย่างเสียดายเมื่อพิจารณาดูแล้ว นางจึงกัดฟันวางอาหารและน้ำทิ้งไว้ที่นี่ ทั้งที่นางต้องใช้เวลาอยู่ไม่น้อยกว่าจะหาสิ่งเหล่านี้มาไว้ใน
ปกตินางจะใช้ของในช่องว่างมิติเวลาอย่างประหยัดหากไม่จำเป็นางไม่มีทางนำออกมาใช้อย่างแน่นอนแต่ตอนนี้นางกลับต้องยอมหยิบออกมาเพื่อเ้าตัวร้ายคนนี้
เสี่ยวกงเจวี๋ยถูกเล่นงานอย่างหนัก ถูกจับกรอกยาอีกทั้งยังถูกทรมานอยู่่หนึ่ง กอปรกับเขาาเ็ที่คออย่างรุนแรงจึงเปล่งเสียงไม่ได้เลย ตอนนี้เขาทำได้เพียงนั่งอยู่บนพื้นมองเสด็จพี่ผู้อ่อนแอบอบบางเบื้องหน้าหยิบของออกมาจากชายแขนเสื้อเป็จำนวนไม่น้อยนางวางสิ่งของเรียงเบื้องหน้าของเขาราวกับเสกออกมาจากนั้นจึงบอกให้เขาทานยาเม็ดสีขาวและลูกอมสีดำที่มีลักษณะแปลกประหลาด
เขาไม่เข้าใจตัวเองเลย ทั้งๆที่เขารังเกียจคนอื่นที่เข้าใกล้เขามาตลอดอีกทั้งไม่มีทางทานของที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนทว่าขณะที่นางยื่นยาให้เขาทานด้วยท่าทางฝืนใจนั้น สายตาของนางสะท้อนความรำคาญแกมเสียดายสายตาเช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกวางใจอย่างประหลาด จึงทานยาอย่างไม่ลังเล
สิ่งมหัศจรรย์ก็คือ เมื่อลูกอมหวานๆ เข้าสู่ลำคอแล้วความรู้สึกแผดเผาร้อนระอุในลำคอพลันหายไป เขาจึงทดลองอีกครั้งเวลานี้เขาสามารถเปล่งเสียงแตกพร่าได้เล็กน้อย
“พอได้แล้ว อย่าเพิ่งพูด!”
สีหน้าท่าทางของสาวน้อยดูลังเลสับสนอย่างยิ่ง นางมองซ้ายมองขวาแต่ไม่ยอมมองเขาโดยตรงเขาเห็นเพียงนางวางขวดลูกอมใส่ในมือของเขาพร้อมกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว
“หากรู้สึกเจ็บคอก็ให้อมไว้ ห้ามพูดเื่ของข้าให้ใครฟังทั้งนั้นข้าจะวางของกินไว้ที่นี่ มีอยู่เท่านี้ ขออย่าได้เจอกันอีก!”
นางเน้นคำในประโยคสุดท้ายเป็พิเศษ น้ำเสียงเหมือนคนโกรธจัด
“อื้อ!”
เสี่ยวกงเจวี๋ยพยายามเปล่งเสียงอย่างร้อนใจ กงอี่โม่หันศีรษะกลับมานางขมวดคิ้วอย่างรำคาญ
“ยังมีอะไรอีก?”
ดวงตาสีน้ำหมึกของกงเจวี๋ยเบิกกว้างเขาร้อนใจจนมีเหงื่อผุดออกมาบนใบหน้าซีดขาว เขาชี้ไปที่กงอี่โม่จากนั้นจึงชี้มาที่ตนเอง เขาเปล่งเสียงอย่างยากเย็น
“ชื่อ*”ชื่อของ ชื่อของเ้า
ตอนที่กงอี่โม่ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นนั้นกงเจวี๋ยเพิ่งอายุได้สองขวบ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเสด็จพี่ของเขาชื่ออะไรตอนนี้เขาร้อนใจมาก เขาอยากรู้ว่าผู้ที่ช่วยเหลือเขาชื่ออะไรกันแน่
พรุ่ง*?
ใบหน้าซีดเหลืองของกงอี่โม่พลันบูดสนิท เ้าตัวร้ายกำลังถามนางว่าพรุ่งนี้นางจะมาอีกไหมอย่างนั้นหรือ?
นางขมวดคิ้วทันทีเดิมทีนางคิดจะกล่าวประชดอีกฝ่ายว่าได้คืบจะเอาศอกทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายจับชายเสื้อของนางด้วยท่าทางระมัดระวังร่างที่เต็มไปด้วยรอยาแนั่งอยู่บนพื้น เขาใช้ดวงตาคู่โตมองมาที่นางอย่างน่าสงสารทำท่าเหมือนอยากเข้าใกล้นาง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกหวาดกลัวท่าทางเช่นนี้ทำให้นางใจแข็งไม่ได้จริงๆ
กงอี่โม่คิดจะปัดมือของเขาทิ้ง ทว่ามือที่ยกขึ้นมากลับวางลงที่เดิมสุดท้ายนางแทบจะยกมือตบปากตนเอง
“ข้าจะมาใหม่ในวันพรุ่งนี้!”
เมื่อกล่าวจบนางจึงดึงชายเสื้อออกมาอย่างรวดเร็วแล้วหมุนตัววิ่งจากไปเสี่ยวกงเจวี๋ยขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งร่างเขาอยากเปล่งเสียงเรียกแต่ก็พูดไม่ออกเขาจึงทำได้เพียงมองเสด็จพี่ร่างผอมบางผู้นี้วิ่งจากไปอย่างรวดเร็วท่าทางของนางราวกับมีภูตผีปีศาจวิ่งไล่หลังเลยทีเดียว
นางสับสนไร้ทางออก เมื่อคิดว่าหลังจากกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งสิ่งแรกที่ทำก็คือการช่วยเหลือคนชั่วที่ทรมานนางจนตายในชาติที่แล้วนางก็รู้สึกโมโหจนหายใจไม่ออก อยากบีบคอตัวเองตายเสียจริง!
นางเดินเลี้ยวอยู่หลายครั้ง ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะถึงเรือนของตนนางทิ้งตัวลงกับเตียงอย่างโมโห ช่างเถิด ปัญหาคิดไม่ตกนอนหลับสักตื่นเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว
กลางดึก กงอี่โม่สะดุ้งตื่นใเพราะเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า
นางหรี่ตาพร้อมลูบหัวไหล่เย็นเฉียบของตนเบาๆ ได้สติอย่างช้าๆผ้าห่มผืนนี้บางเกินไป มันถูกใช้งานมานานมากแล้ว จึงไม่ได้ช่วยทำให้อุ่นมากนักช่องว่างมิติเวลาของนางมีของมากมาย ทว่ากลับไร้ผ้านวม
ฝนตกพรั่งพรู ต้นวสันตฤดูอันหนาวเหน็บเรือนแห่งนี้ดูเย็นเฉียบเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ช่างสมกับเป็ตำหนักเย็นเสียจริง
นางรู้สึกสงสารและเห็นใจร่างของตนที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ที่นี่ั้แ่อายุสามขวบตำหนักเย็นเป็สถานที่ที่ฮ่องเต้ไม่สนพระทัย ฝ่ายในก็ไม่เคยเอาใจใส่แล้วเด็กน้อยอายุเพียงเท่านี้จะผ่าน่เวลาเช่นนี้ไปได้อย่างไร? จึงไม่น่าแปลกใจที่เ้าตัวจะป่วยยืดเยื้อยาวนานถึงสี่ปี
ทว่าอันที่จริงสถานะของนางถือว่าไม่เลวแล้วนางเป็องค์หญิงที่ถูกส่งตัวอยู่ในตำหนักเย็น ไม่มีตระกูลฝ่ายมารดาไม่มีโอกาสขัดผลประโยชน์ผู้ใด ภายในวังจึงไม่มีใครสนใจความเป็ความตายของนางทว่าผู้ที่เป็พระโอรสย่อมแตกต่างออกไป
ตระกูลมารดาของกงเจวี๋ยคืออ๋องแดนประจิม (เจิ้นซีอ๋อง)ผู้อยู่ห่างไกลไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออ๋องแดนประจิมแทบไม่ได้ติดต่อกับทางเมืองหลวง บุตรสาวของเขาคือหลี่ชิงหัวนางเป็พระชายาและเป็มารดาของกงเจวี๋ย หน้าตางดงาม อ่อนโยนมีคุณธรรมตอนนั้นแม้มิอาจเทียบเคียงกับพระชายาเสวี่ยเฟยทว่านางก็เป็ที่โปรดปรานอยู่ไม่น้อย ได้ยินมาว่านางเคยสนิทสนมกับเสวี่ยเฟยคาดไม่ถึงว่านางและเสวี่ยเฟยต่างมีอายุสั้นเช่นเดียวกัน นางเสียชีวิตอย่างรวดเร็วทิ้งบุตรชายที่ยังเยาว์วัยไว้คนหนึ่ง ทว่าตระกูลมารดากลับอยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้นจึงกลายเป็ระยะทางอันยาวไกลจนไม่อาจเอื้อมถึง
ด้วยเหตุนี้ สำหรับพระสนมชายาที่มีพระโอรสพระองค์อื่นแม้ว่ากงเจวี๋ยจะถูกส่งตัวเข้าตำหนักเย็นก็ยังไม่วางพระทัย ทำให้พิการก็ยังไม่พอวิธีที่ดีที่สุดก็คือทำให้เสียชีวิตอยู่ในตำหนักเย็นอย่างลึกลับ เมื่อถึงเวลานั้นแม้ว่าอ๋องแดนประจิมจะกลับมา แต่ก็ไม่อาจสืบหาผู้บงการสุดท้ายจะให้เล่นงานฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ?
ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วกงเจวี๋ยใช้ชีวิตในตำหนักเย็นจนอายุสิบสามปีได้อย่างไรการออกไปจากตำหนักเย็นใน่เวลานั้น แม้เขาจะมีปณิธานความมุ่งมั่นอันน่าทึ่ง แต่ก็ไม่ใช่เื่แปลกที่สุดท้ายเขาจะมีจิตใจผิดปกติถึงเพียงนั้น
* คำว่า “ชื่อ” (名 อ่านว่าิ)พ้องเสียงกับคำว่า “พรุ่งนี้” (明天 อ่านว่า ิเทียน)กงเจวี๋ยพูดออกมาเพียงคำเดียวว่า “ิ” ความจริงแล้วเขาตั้งใจถามชื่อแต่กงอี่โม่เข้าใจว่าเขาจะพูดคำว่าวันพรุ่งนี้