วันรุ่งขึ้นลู่เสวียอีตื่นแต่เช้า วันนี้เธอตั้งใจย้ายของเข้าบ้าน
หลังทำธุระส่วนตัวเสร็จเธอก็เริ่มเก็บของในตู้ใส่ถุง
เมื่อลู่เสวียอีเริ่มยุ่งคนอื่นๆ ก็ตื่นแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียง ่นี้พวกเขาไม่ต้องไปทำงานแถมอากาศยังเริ่มหนาว หลายคนอยากจะซุกตัวอยู่บนเตียงอุ่นให้นานขึ้นอีกหน่อย
เมื่อเห็นว่าลู่เสวียอีเก็บข้าวของั้แ่เช้าดังนั้นพวกเขาถึงนอนอยู่ตรงนั้นและมองลู่เสวียอี
มู่เสวียถามลู่เสวียอีว่า “เธอยุ่งอะไรแต่เช้าเนี่ย”
“บ้านของฉันเรียบร้อยแล้ว ฉันจะเก็บของแล้วย้ายให้เสร็จวันนี้”
“ไวจัง เสร็จเรียบร้อยดีแล้วเหรอ?”
“อืม”
สวี่หลิงห่มผ้าแล้วถามอย่างใจกว้าง “มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?” เธอเพียงแค่ถามแต่ไม่ได้ตั้งใจจะลุกขึ้นเลย
“ไม่เป็ไร ฉันทำเองได้”
ของที่เธอต้องเก็บมีไม่มาก เธอเพียงมาอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน
หลังจากเก็บม่านใส่กระเป๋าและเก็บของเรียบร้อยแล้ว เธอก็หยิบกระเป๋าขึ้นแล้วออกไป
เมื่อเธอออกมาหน้าประตูก็เห็นร่างของเหรินเฟิงกับน้องชาย
“ทำไมถึงมาที่นี่กันล่ะ?”
เหรินเฟิงอธิบาย “มาช่วยคุณขนของไง ดูสิ เราเอารถลากมาด้วย ถ้ามีของอย่างอื่นจะได้ขนรอบเดียวเลย”
ลู่เสวียอีคิดว่าไหนๆ พวกเขาก็มาแล้ว ก็รีบจัดการขนของให้เสร็จไปเลยเถอะ
เธอวางกระเป๋าแล้วขอให้ทั้งสองคนขนตู้ไม้ออกมาให้ จากนั้นจึงเริ่มย้ายของอย่างอื่นขึ้นรถลาก
เมื่อมองสิ่งของมากมาย น้องชายของเหรินเฟิงก็รู้สึกพูดไม่ออก เขาเห็นว่ายุวชนหญิงคนนี้ซื้อของเข้าบ้านใหม่มากมายแต่ที่นี่ก็ไม่น้อยเช่นกัน รวมกับธัญพืชและของที่เธอเอาติดตัวมาด้วยมันเหมือนกับว่าเธอย้ายบ้านมาต่างจังหวัดจริงๆ
บ้านของสหายลู่คนนี้คงมีฐานะมาก ถ้าเหรินเฟิงได้แต่งงานกับเธอจริงๆ ก็คงจะดี อย่างน้อยเธอคงไม่โลภของบ้านสามีเหมือนพี่สะใภ้คนโต
พวกเขาเก็บของทุกอย่างเรียบร้อย เหรินเฟิงกับน้องชายก็ดึงรถเลื่อนหิมะไปยังบ้านทิศเหนือ
ลู่เสวียอีเปิดประตูลานบ้านแล้วเริ่มเผาฟืนอบอุ่นห้อง จากนั้นก็เริ่มจัดวางของและเตรียมที่อยู่
หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยเธอก็เริ่มทำอาหาร เมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มหลายคนกำลังทำงานอยู่ในลาน เธอก็มีความคิดขึ้น หลายวันมานี้เหรินเฟิงกับพี่น้องของเขาช่วยเหลือเธอมาก ลู่เสวียอีตั้งใจจะเลี้ยงอาหารพวกเขาเพื่อตอบแทน
เธอหยิบแป้งขาว เบคอนและไข่ในพื้นที่ออกมาเป็พิเศษ เมื่อเห็นว่าข้างนอกอากาศเย็นเธอเริ่มทำข้าวต้มก่อน จากนั้นตามด้วยพะโล้กับเกี๊ยว
เมื่อเธอเริ่มทำอาหาร คนข้างนอกก็ได้กลิ่นเช่นกัน
น้องชายของเหรินเฟิง เหรินซุน สูดกลิ่นหอม “เหมือนจะได้กลิ่นเนื้อเลย”
พี่ชายคนที่สอง เหรินหยวน พูด “ฉันก็เหมือนกัน”
“พี่เฟิง พี่หยวน พี่ซุนพักก่อนค่ะ ฉันทำอาหารเสร็จแล้วไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”
“ไม่เป็ไรหรอก ที่บ้านทำกับข้าวไว้ให้แล้ว พวกเรากลับไปกินข้าวที่บ้านดีกว่า”
“กินที่นี่ก็ได้ค่ะ ฉันทำเผื่อเอาไว้แล้ว ถ้าไม่มีคนกินก็คงเสียเปล่า”
เหรินเฟิงยังคิดจะปฏิเสธ พวกเขาเป็ผู้ชายตัวโตจะแย่งอาหารผู้หญิงตัวเล็กๆ กินได้ยังไง ถ้าพี่น้องกินมากไป เธอจะกินอิ่มหรือเปล่า?
“เพราะพี่ๆช่วยฉันขนฟืนมาตั้งเยอะ ถ้าพวกพี่ไม่กินฉันคงอายจนไม่กล้ารับฟืนพวกนี้ไว้” เธอพูดอย่างจริงจัง อย่าเห็นว่าพวกเขาทำได้ง่าย ถ้าเธอไม่มีความสามารถที่จะทำได้ง่ายดายเหมือนพวกเขาก็ไม่สมควรที่จะปฏิบัติแบบปล่อยปละละเลยความดีนี้
เหรินเฟิงพยักหน้าให้พี่น้องที่เหลือ “งั้นก็ไปกินข้าวกันเถอะ”
พวกเขาทั้งสามล้างมือแล้วเข้าไปในห้องจากนั้นเห็นข้าวต้ม เกี๊ยว พะโล้ แถมยังมีเบคอนทอดกับไข่ลวก เหมือนกับงานเลี้ยงปีใหม่
“ลู่จื่อชิง[1] คุณทำมากเกินไป แม้แต่่ปีใหม่พวกเราก็ไม่ได้กินดีขนาดนี้!”
“ฉันไม่กล้ากินมันเลย” เหรินหยวนพูดอีก
ลู่เสวียอียิ้ม “เพราะพี่ๆช่วยฉันทำงานมาหลายวันแล้ว ฉันก็แค่อยากทำอาหารอร่อยตอบแทนบ้าง วันนี้พี่ใหญ่เหรินไม่มา แล้วฉันจะฝากบางอย่างไปให้ด้วย”
พี่ใหญ่เหริน ชื่อเหรินจวิน หลายวันมานี้เขาเองก็มาช่วย เพียงแต่วันนี้ต้องไปส่งภรรยากลับบ้านจึงไม่ได้มา
“เอาละกินข้าวกันเถอะ หลังจากกินเสร็จจะได้ไปทำงานกันต่อ” เหรินเฟิงพูดแล้วก็เริ่มกิน
ลู่เสวียอีเห็นพวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อยก็ภูมิใจในฐานะแม่ครัว “ในหม้อยังมีอีก ถ้ายังไม่อิ่มก็ตักได้เลยนะ”
พี่รองเหรินรีบบอก “พอแล้ว พอแล้วลู่จื่อชิง พวกเราอิ่มแล้วจริงๆ”
หลังจากหลายคนกินเสร็จลู่เสวียอีก็หยิบชามไปล้าง เมื่อเธอกลับมาพวกเขาก็ออกไปหาฟืนอีกครั้ง
พี่น้องตระกูลเหรินหาฟืนให้เธอแล้ว แต่หลายวันที่ผ่านมา ลู่เสวียอีอาศัยอยู่ในลานของยุวชนผู้มีการศึกษาและใช้ฟืนของพวกเขาด้วย ตอนนี้เธอจึงต้องคืนสิ่งที่ยืมมา
ลู่เสวียอีขึ้นเขาใกล้ๆตัดกิ่งไม้อย่างไม่เร่งรีบ ค่อยๆ ทำจนรวบรวมได้เต็มตะกร้า จากนั้นค่อยมัดกิ่งก้านพวกนี้เข้าด้วยกัน
หลังจากมัดฟืนแล้วเธอก็คนมันไปยังลานของยุวชนผู้มีการศึกษา เมื่อไปถึงเธอก็วางฟืนไว้ที่ลานแล้วตามหาหม่าตง
ทันทีที่เขาออกมาและเห็นเธออยู่ที่สนามก็ถาม “มีอะไรหรือเปล่าสหายลู่?”
“ไม่มีอะไร ฉันแค่มาคืนฟืนที่ใช้ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา” เธอชี้ให้เห็นกองฟืนใหม่
หม่าตงรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อเห็นแบบนั้น “สหายลู่ไม่จำเป็ต้องจริงจัง คุณไม่ต้องจ่ายคืนหรอก”
หลายวันที่ผ่านมาเธอต้องไปทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านใหม่ ไม่ได้มีเวลาไปเก็บฟืนหรือช่วยคนในลานยุวชนทำอาหาร มีบางครั้งที่คนอื่นพูดจากระทบกระทั่งให้เธอลำบากใจ ตอนนี้เธอเสร็จธุระแล้วจึงได้เวลาคืนของให้พวกเขา
“ไม่เป็ไร หัวหน้า ฟืนพวกนี้พอหรือยัง”
“.. พอแล้วๆ”
ใบหน้าของหม่าตงร้อนเล็กน้อยเพราะความอับอาย พวกเขาไม่ได้คาดหวังมากนักว่าเธอจะเอาฟืนมาคืนให้มากมายจริงๆ เตียงคั่งในห้องพอจุดไฟก็นอนรวมกันหลายคน ลู่เสวียอีไปเช้ากลับเย็นทุกวันและแทบไม่ได้ใช้เตาผิงอบอุ่นตัวเองเหมือนคนอื่น จำนวนฟืนที่เธอใช้ไม่ได้มากมายนัก อย่างน้อยก็ไม่ได้มากเท่ากองฟืนที่เธอเก็บมา เมื่อคิดถึงว่าตัวเขาเองก็นิ่งเฉยเวลาที่คนอื่นพูดกระทบกระเทียบหญิงสาวเขาก็อดจะอายไม่ได้
“งั้นก็ดีแล้ว” ลู่เสวียอีใส่ฟืนเก็บเข้าในโรงฟืนของลานยุวชน
คนอื่นได้ยินความเคลื่อนไหวตรงนี้และแอบฟังอยู่ในห้องแต่ไม่ได้ออกมา ยุวชนหญิงบางคนเคยพูดบ่นกับเธอต่อหน้า ตอนนี้เมื่อเห็นเธอหาฟืนมาคืนจริงๆ ก็ปิดปากเงียบ
ลู่เสวียอีไม่ได้เสียเวลาที่นี่นานและกลับไปที่บ้านต่อ เมื่อมาถึงเธอก็เห็นว่าพี่น้องตระกูลเหรินเพิ่งแบกฟืนชุดใหม่กลับมา มองเข้าไปที่โรงฟืนที่อัดแน่น หัวใจของเธอก็อบอุ่น
การทำงานหนักหลายวันเริ่มเสร็จสมบูรณ์แล้ว
“ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ เดี๋ยวฉันจะไปทำอาหารเย็นก่อน พวกพี่อยู่กินกันก่อนกลับเถอะ”
“ไม่ล่ะๆ เมื่อกลางวันกินเยอะมากไป ตอนนี้พวกเรายังไม่หิวเลย ไม่รบกวนลู่จื่อชิงแล้ว”
“ได้ยังไงกัน ฉัน…”
เหรินเฟิงพูดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วพวกเราจะกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้าน มื้อกลางวันที่ทำเผื่อไว้คงจะเหลือถ้าไม่กลับไปกิน …ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็เรียกหาได้ตลอดเลย”
พูดจบเขาก็เดินกลับไป พี่น้องของเขาเห็นอย่างนั้นก็เดินตามกลับไปด้วย
ลู่เสวียอีได้แต่มองเงาหลังที่จากไปอย่างทำอะไรไม่ถูก เธอคิดว่าอาจจะลองทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ แล้วค่อยไปเยี่ยมที่บ้านพวกเขาแทน
[1] ลู่จื่อชิง : คำเรียกยุวชนผู้มีการศึกษานามสกุล ลู่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้