คำพูดสุดท้ายของติงติงราวกับจะมีคำพูดซ่อนอยู่
สิ่งนี้ทำให้มู่จื่อหลิงรู้สึกได้ลางๆ ว่าคืนนี้...คงมิได้ผ่านไปได้อย่างง่ายดายปานนั้น
หลังจากเด็กน้อยเจ็ดแปดขวบผู้หนึ่งถูกโยนไปไกลเพียงนั้น ไม่เพียงไม่เป็อันใด แต่ยังสามารถหนีไปภายใต้เปลือกตานางอีกด้วย
ตอนนี้ติงติงหนีไปอย่างรวดเร็ว ต้องมีแผนสำรองไว้แน่
เฮยลิ่วไม่รู้ว่าหมดสติไปอย่างไร้สุ้มเสียงั้แ่เมื่อใด นั่งพิงอยู่ข้างต้นไม้โบราณ แน่นิ่งไม่ไหวติง
ยามนี้มู่จื่อหลิงไม่คิดอันใดให้มาก คืนนี้หากต้องผ่านไปให้ได้ คงได้แต่กัดฟันสู้เท่านั้นแล้ว
นางใช้ตะบันไฟ [1] ล้วงเข็มสีทองออกมา เพ่งสมาธิช่วยเฮยลิ่วระบายพิษในร่างกายออกมา ใช้ผ้าพันแผลพันปากแผลเอาไว้
หลังจากที่ช่วยกำจัดพิษงูจนหมด พันาแเรียบร้อยแล้ว มู่จื่อหลิงยังไม่ทันหายใจ จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความผิดปกติของบริเวณโดยรอบ
มีเสียงสวบสาบดังมาจากป่ารอบข้าง
เสียงนี้ฟังดูแล้วมิใช่เสียงของพวกเฮยชีกลับมาอย่างสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นเสียงต่อสู้ทางด้านนั้นก็ยังคงมีอยู่
หากไม่ใช่พวกเฮยชี ในป่าแห่งนี้ก็เหลือเพียงแค่...
มู่จื่อหลิงขมวดหัวคิ้ว เพิ่มระดับความระแวดระวังขึ้นมาโดยพลัน นางถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่ชุ่มโลหิตออกอย่างรวดเร็ว โยนทิ้งไปไกลๆ
นางนำปัสสาวะที่เหม็นโฉ่และสาบเพียงพอแล้วเทใส่ตัวเฮยลิ่ว กลบกลิ่นมนุษย์บนตัวเฮยลิ่วจนมิด และนำใบไม้ด้านข้างบางส่วนมาคลุมเฮยลิ่วหมดทั้งตัว
การกระทำรวดเร็วสำเร็จภายในชั่วลมหายใจเดียว! ไม่อืดอาดแม้แต่น้อย
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้น นางรอภัยอันตรายให้ย่างกรายมาอย่างระมัดระวังทุกฝีก้าว
เวลายังผ่านไปไม่ถึงก้านธูป เสียงสวบสาบก็ใกล้เข้ามาจากไกลๆ
ไออันตรายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เสียงน่าสะพรึงกลัวและพิศวงดังมาจากป่า คนที่ฟังก็ตัวสั่นเป็ลูกนก แผ่นหลังเย็นวาบอย่างไม่รู้ตัว
เรียวคิ้วมู่จื่อหลิงก็ขมวดแน่นขึ้น ในใจก็ปรากฏลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ประสาทการรับรู้ของนางเฉียบคมเสมอมา ทุกครั้งยามที่รู้สึกว่าจะมีภัยอันตราย อันตรายนั้นมักมาเสมอ และไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว
สายตาของมู่จื่อหลิงจับจ้องป่าข้างหน้า ดวงตาไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบ
ในเวลานี้เอง ความมืดมิดในสายหมอก ก็มีรังสีสีเขียวสดหลายสิบเส้นโผล่ขึ้นมาเป็ลำดับ
ดวงตาน่าหวาดกลัวสีเขียวสดที่วาวโรจน์หลายสิบคู่ สาดส่องไปที่มู่จื่อหลิงเป็เวลานาน
มู่จื่อหลิงรู้สึกได้ว่ามีความหนาวเยือกอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อน กำลังไต่ระดับขึ้นมาจากปลายเท้าโดยไม่รู้ตัว โจมตีไปที่หัวใจร้อนรุ่มของนาง เพียงชั่วพริบตาก็แช่แข็งหัวใจนาง
สายตาเย็นเยียบอันเฉียบคมนั้นมาจากหมาป่าตัวใหญ่ มิใช่แค่ตัวสองตัว แต่เป็หมาป่าฝูงใหญ่ดุร้าย
นี่นับว่าเพิ่งหนีมาจากปากเสือ และก็ตกลงไปในรังหมาป่าหรือ?
โอกาสถูกลอตเตอรี่ยังมีไม่มากถึงเพียงนี้เลย! ช่างโชคร้ายนัก ช่างอับโชคนัก
ในเวลาเดียวกัน ระบบซิงเฉินก็แจ้งเตือนเข้ามาอย่างกะทันหัน ในฝูงหมาป่ามีกู่ปรสิตอยู่ และมิใช่เพียงตัวสองตัว แต่เป็อย่างน้อยห้าตัว
แจ้งเตือนอย่างร้อนแรงนี้ทำให้มู่จื่อหลิงตกตะลึงด้วยความคาดไม่ถึงในชั่วพริบตา ขี้โกงนี่นา
นี่เป็โชคดีในโชคร้าย หรือโชคร้ายในโชคดีกันแน่
มู่จื่อหลิงพลันรู้สึกอยากแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วส่งเสียงหอน เดิมทีมาเพื่อค้นหากู่ปรสิต แต่ชีวิตจะไม่มีอยู่แล้ว ยังจะมาหากู่ปรสิตจากสุนัขอันใดอีก
ตอนนี้ต่อให้พวกเฮยชีมาก็รับมือหมาป่าทั้งฝูงไม่ได้แน่ แล้วยังจะแพ้ย่อยยับทั้งกลุ่ม
มู่จื่อหลิงนึกถึงคำพูดติงติงก่อนหน้านี้ไม่นาน ‘หวังว่าเ้าจะผ่านคืนนี้ไปอย่างสวัสดิภาพ ถ้าเ้ามีชีวิตจนผ่านคืนนี้ไปได้’
ที่แท้คำพูดอวดดีนั้นก็แฝงความหมายเอาไว้
เพียงแต่ เสียงคำรามของเสือฝั่งทางนั้นยังคงไม่ขาดสาย ยามนี้มีหมาป่าฝูงใหญ่โผล่มาได้อย่างไรอีก หมาป่าและเสือต่างก็อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
พวกมันล้วนมีอาณาเขตของตนเอง หากไม่ใช่่เวลาพิเศษ พวกมันเป็น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง [2] และพวกมันต่างก็เกรงกลัวซึ่งกันและกัน
หมาป่าตัวใหญ่ฝูงนี้จู่ๆ มาบริเวณที่มีเสืออยู่ได้อย่างไร?
ทันใดนั้น ในใจมู่จื่อหลิงก็มีการคาดเดาที่น่าหวาดกลัวอันเลือนราง หมาป่าฝูงนี้เป็หมาป่าที่เด็กติงติงผู้นั้นล่อมา
ก่อนหน้านี้ติงติงพูดว่า้าแค่ชีวิตนางชีวิตเดียว ไร้เจตนาปลิดชีพคนอื่น
ดังนั้นติงติงจึงตั้งใจล่อให้พวกเฮยชีไปต่อสู้กับเสือ แล้วทำให้เฮยลิ่วถูกพิษ และไม่ได้เอาชีวิตพวกเขา
ล่อพวกเฮยชีไป แล้วทำให้เฮยลิ่วาเ็ ก็เพื่อให้นางรับมือกับฝูงหมาป่าเพียงลำพัง
มิน่าเล่าต่อให้ติงติงถูกจับได้สีหน้าก็ยังยโสโอหัง ไร้ซึ่งความตื่นตระหนก และไม่มีความรู้สึกพ่ายแพ้แม้แต่น้อย ทั้งยังเผ่นหนีรวดเร็วเพียงนั้น เพียงชั่วพริบตาก็ไม่เห็นแล้ว
หากเป็เช่นที่พูดมานี้ ไม่ว่านางจะค้นพบความผิดปกติของติงติงหรือไม่ คืนนี้นางก็ยังคงต้องถูกฝูงหมาป่ารุมโจมตีอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
ดีดลูกคิดไว้เสร็จสรรพหมดแล้ว และเมื่อครู่เป็แค่เพลงโหมโรงของแผนร้ายเท่านั้น ยามนี้ถึงตัดเข้าสู่่เวลาสำคัญ
เด็กที่มีอุบายและแผนการเช่นนี้ย่อมมีคุณสมบัติให้หยิ่งผยอง!
มู่จื่อหลิงลอบยิ้มเจื่อนในใจ คาดไม่ถึง...คาดไม่ถึงว่านางจะถูกเด็กน้อยคนหนึ่งเล่นงานเข้าให้แล้ว
ถ้าหมาป่าโจมตีเข้ามาในเวลานี้ เช่นนั้นก็เป็ไปตามคำพูดของติงติงอย่างมิต้องสงสัย
คืนนี้ ชีวิตน้อยๆ ของนางคงจบเห่เช่นนี้จริงๆ แล้ว ทั้งยังตายอย่างไม่ครบส่วนอีก
ยังคิดกัดฟันสู้? ต่อให้กัดเหล็กสู้ ก็ไม่พอให้หมาป่าฝูงใหญ่นี้ขย้ำ!
ทันใดนั้น หมาป่าที่เป็จ่าฝูงก็แสยะปากเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมสีขาวสะท้อนแสง ส่งเสียงขู่ต่ำๆ
ตามมาด้วยเสียงขู่ต่ำๆ ของอีกตัว
เสียงขู่ต่ำๆ นี้ดังต่อเนื่องกันเป็ระลอก เสียงนิมิตหมายแห่งการเอาชีวิตของพญายม แปลกประหลาดและข่มขวัญ
สีหน้ามู่จื่อหลิงซีดขาว ใจเต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ หมาป่าฝูงนี้หนึ่งตัวหนึ่งคำก็สามารถแยกศพนางเป็ห้าส่วนได้แล้ว
หากกัดฟันสู้ เช่นนั้นก็เท่ากับรังเกียจตนที่อายุยืนแล้ว
โชคดีที่หมาป่าฝูงนี้ไม่ได้ขนาบเข้ามาทุกสารทิศ ยังมีทางให้ถอย
อาศัยที่พวกเฮยชียังไม่กลับมา จากนิสัยห้าวหาญของพวกเขาแล้ว ต้องทุ่มสุดชีวิตปกป้องนางแน่ สู้ฟันกับหมาป่าอย่างเอาเป็เอาตาย
บิดาให้กำเนิดมารดาเลี้ยงดูมาเหมือนกัน นางไม่อาจคิดถึงแต่ชีวิตตนเอง ใช้สองสามชีวิตของผู้อื่นมาแลก
และตอนนี้การใช้พิษที่นางภาคภูมิใจก็ใช้ไม่ได้ สู้ก็สู้ไม่ได้
ดังนั้น
ตอนนี้สิ่งที่นางทำได้ก็มีแค่...วิ่ง!
โอกาสไม่อาจปล่อยให้หลุดมือ เวลาไม่ไหลกลับมาอีก!
อาศัยยามที่หมาป่ายังไม่เป็ฝ่ายโจมตีเข้ามา รีบสับขาวิ่งเถิด
ในใจมู่จื่อหลิงคิดอย่างเศร้าสลด วิ่งไปได้ไกลแค่ไหนก็แค่นั้น สามารถมีชีวิตรอดไปครู่หนึ่งก็คือครู่หนึ่ง บางทีวิ่งไปอาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้
ในเวลาชั่วพริบตา มู่จื่อหลิงก็ถกกระโปรงขึ้น ออกวิ่งอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน ฝูงหมาป่าดุร้ายด้านหลังก็รีบวิ่งไล่ตามนางเช่นกัน...
“บรู้ว---”
เสียงหอนของหมาป่าโหยหวนจนกรีดทะลุท้องฟ้ายามราตรีอันมืดมิด แซมไปด้วยเสียงคำรามอย่างเ็ปของเสือจากอีกฝั่ง ดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งป่าอย่างไม่เคยมีมาก่อน
แม้แต่ฝั่งทางพวกเฮยชีก็ยังใกับเสียงอึกทึกนี้
เช่นนี้ มู่จื่อหลิงจึงหนีไปเพียงลำพัง ด้านหลังมีหมาป่าที่โเี้อำมหิตไล่ติดตามไปด้วย
หลังจากที่มู่จื่อหลิงไปแล้ว บริเวณเดิมก็ปรากฏเงาร่างเตี้ยที่ด้านหลังมีผู้ใหญ่รูปร่างสูงใหญ่สองคนยืนอยู่
“ติงติง แผนของพวกเราสำเร็จแล้ว ไม่รู้ว่าฉีหวางเฟยจะทนไปได้นานเพียงใด” ผู้ที่กอดอกมองไปยังทิศทางที่มู่จื่อหลิงวิ่งไป แย้มยิ้มเสียดสี
“ดูเอาเถิด เป็าาหมาป่าที่นำหมาป่ามา พรุ่งนี้เช้า ต้องตายไม่เหลือซากเป็แน่” ติงติงเค้นพูดทีละคำ ดวงหน้าเล็กซีดขาวปรากฏรอยยิ้มยากคาดเดา
“เหตุใดจึงไม่ตัดรากถอนโคน?” อีกคนชำเลืองไปยังอีกฝั่งอย่างเ็า ถามอย่างไม่เข้าใจ
ริมฝีปากเล็กแดงสดของติงติงโค้งขึ้นเล็กน้อย ยิ้มด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “ภารกิจลุล่วงแล้ว ฆ่าคนเพิ่มไปอีกคงไม่ดี ไปเถิด”
ในชั่วขณะนั้นเอง เงาร่างของคนทั้งสามก็จางหายไปในหมอกทึบอันมืดมิด ราวกับเมื่อครู่ไม่เคยปรากฏกายขึ้น
-
ผ่านไปไม่นาน การต่อสู้ทางฝั่งเฮยชีก็เสร็จสิ้น ร่างกายของทั้งสี่เต็มไปด้วยาแจำนวนไม่น้อย
แต่พวกเขาก็ไม่ได้คลายใจลง ยังคงมีสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด
เพราะพวกเขาก็ได้ยินเสียงหมาป่าหอนสนั่นหวั่นไหวเมื่อครู่นี้ดังมาจากทางเฮยลิ่ว พวกเขาถึงได้รีบมาอย่างรวดเร็วราวกับหายตัว
“หวางเฟย เฮยลิ่ว พวกท่านอยู่ที่ใด?” เฮยชีมองรอบข้างที่ไร้ผู้คน ร้องเรียกออกมาเสียงดัง
เฮยอู่ท่าทางเคร่งขรึม สีหน้าตื่นตระหนก “เสียงหอนของหมาป่าเมื่อครู่ดังมาจากที่นี่ ฟังเสียงแล้วต้องเป็ฝูงหมาป่าแน่ พวกหวางเฟยจะ...”
เฮยซานขัดคำพูดเฮยอู่อย่างไม่ต้องคิด “ไม่มีทาง ไม่มีทางแน่ พวกเขาต้องหนีไปแล้วแน่ พวกเราไปหา...”
“รอเดี๋ยว พวกเ้าไม่ได้กลิ่นอันใดหรือ?” เฮยชียกมือขึ้นให้พวกเขาหยุดฝีเท้า
จมูกเฮยซานสูดดมไปในอากาศ ถามอย่างไม่เข้าใจ “กลิ่นอันใด?”
“คล้ายกับจะมีกลิ่นสาบฉุนของปัสสาวะ” เฮยอู่สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
“ใช่ กลิ่นสาบของปัสสาวะ พวกเ้าไม่คิดว่ากลิ่นนี้ออกจะคุ้นเคยหรือ?” เฮยชีเชิดคางขึ้นอย่างใช้ความคิด
คนทั้งหมดส่ายศีรษะพร้อมกัน
เฮยชีดีดนิ้ว ั์ตาเปล่งประกายอย่างตื่นเต้น “เป็กลิ่นฉี่ของเสี่ยวไตกูอย่างไรเล่า”
ปัสสาวะอุ่นของเสี่ยวไตกูบนหน้าเขาในวันนั้น เขาตราตรึงไม่ลืม ไม่มีทางพลาดแน่
......
เฮยชีเดินตามกลิ่นไปใต้ต้นไม้ คุ้ยกองใบไม้หนาๆ ออก
“พวกเ้ารีบมาดูสิ เป็เฮยลิ่ว” เฮยชีร้องขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
เฮยอู่ยื่นมือไปอังลมหายใจของเฮยลิ่ว “ยังไม่ตาย”
“เฮยลิ่ว ฟื้นสิ ฟื้นสิ” เฮยชีตบแก้มเฮยลิ่ว
เฮยลิ่วลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
“เฮยลิ่ว หวางเฟยเล่า นางมิได้มาหาเ้าหรือ แล้วนางเล่า?” เฮยชีถามอย่างกระสับกระส่าย
“ข้าไม่รู้...” เฮยลิ่วส่ายศีรษะอย่างสับสน จู่ๆ ก็ดีดตัวขึ้นมา มองไปรอบๆ “หวางเฟยเล่า?”
“ไม่เห็นหวางเฟยแล้ว เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น เ้ามานอนตรงนี้ได้อย่างไร” เฮยชีขมวดคิ้วถาม
เฮยลิ่วเล่าเื่ที่เกิดขึ้นหลังจากที่หวางเฟยมาหาพวกเขาออกมาอย่างไม่ตกหล่นให้คนทั้งหมดฟัง
“ล้วนต้องโทษข้า หากไม่ใช่เพราะข้าให้หวางเฟยพาเด็กสาวคนนั้นมาด้วยคงไม่เกิดเื่เช่นนี้” เฮยชีพลันหงุดหงิดจนอยากตายขึ้นมา
“ตอนนี้มิใช่เวลาจะมาโทษตนเอง ใครจะคาดคิดว่าจะเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น ดูจากตอนนี้แล้ว หลังจากที่ฝังกลบเฮยลิ่ว หวางเฟยคงล่อฝูงหมาป่าไปเพียงลำพัง” เฮยอู่วิเคราะห์อย่างเคร่งขรึม
ในพวกเขาไม่กี่คน เฮยอู่เป็ผู้ที่สุขุม มีเหตุผล และสมองฉับไวที่สุด
“เช่นนั้นตอนนี้ควรทำอย่างไร เป็ฝูงหมาป่าเลยนะ หวางเฟยเป็เพียงสตรีอ่อนแอ จะหนีรอดไปได้อย่างไร?” ใบหน้าเฮยชีเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“ถ้าเกิดอันใดขึ้นกับหวางเฟยจริง พวกเราก็คงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ฟ้าจะสว่างแล้ว จากาแของพวกเรา ยามนี้ไปหาก็ไร้ประโยชน์ พวกเราไปหารือกับใต้เท้าเสิ่นก่อนค่อยว่ากัน” เฮยอู่ใบหน้าเคร่งขรึม
แทนที่จะพูดว่าหารือ มิสู้พูดว่าไปขอรับโทษ
แม้คนทั้งหมดจะหวังให้ฉีหวางเฟยรอดพ้นการโจมตีของฝูงหมาป่าไปได้ แต่พวกเขาต่างก็เข้าใจว่าความหวังริบหรี่เพียงใด
ดังนั้น คนทั้งกลุ่มจึงอุ้มใจที่สิ้นหวังกลับไปทางเดิม
-------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ตะบันไฟ คือเครื่องมือจุดไฟโดยการเป่า
[2] น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้