หลินลั่วหรานจัดการนำเอาหยกที่จัดการปรับพลังเรียบร้อยแล้วส่วนหนึ่งทิ้งเอาไว้ในบ้านส่วนที่เหลือกองใหญ่ก็เอาไว้ในพื้นที่ลึกลับ เพราะตอนนี้มันไม่ใช่ของไร้ค่าในสายตาของนักฝึกศาสตร์แล้วแต่กลับมีความสามารถราวกับหินวิเศษแทน ระมัดระวังเอาไว้เสียหน่อยน่าจะดีกว่าของมีค่านั้นดึงดูดใจคน การทำให้ดูไม่เด่นขึ้นมานั้นจึงเป็เื่ดี
่สองวันที่ผ่านมานี้ หลินลั่วตงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ เพราะว่าหลินลั่วหรานได้บอกเอาไว้ว่าเธอจะพาเขาไปที่เมืองหลวง!
ความจริงจะไปที่ไหนก็ไม่ได้สำคัญทั้งนั้นแม้ว่าเขาจะรู้สึกประหลาดใจกับเมืองหลวงมากแต่ว่าเพราะหลินลั่วหรานเป็คนแรกที่เข้ามาช่วยเขาเอาไว้เขาจึงมีความรักใคร่มากเป็พิเศษ ก็เหมือนกับลูกนกตัวน้อยที่เพิ่งลืมตาเกิดขึ้นมามันก็มักจะคิดว่าคนที่เห็นเป็คนแรกคือแม่ของมันความรู้สึกที่หลินลั่วตงมีต่อหลินลั่วหรานก็ไม่ต่างกัน
ดังนั้นสิ่งที่ทำให้หลินลั่วตงตั้งตารอก็คือการไปเที่ยวเมืองหลวงในครั้งนี้ เป็แผนการที่หลินลั่วหรานจัดขึ้นมาเพื่อเขา
วันเวลาผ่านไปท่ามกลางความรอคอยของหลินลั่วตงในที่สุดวันออกเดินทางก็มาถึง
ผู้เป็แม่นั้นไม่อยากจะให้หลินลั่วหรานไปเธอมักจะรู้สึกราวกับหลินลั่วหรานเพิ่งจะกลับมาหลังจากที่หายตัวไปสามปีอยู่เสมอเมื่อจะออกจากบ้านไปอีก ก็ทำให้เธอไม่สบายใจนัก ดังนั้นผู้เป็พ่อจึงต้องเข้าไปคุยกับเธอเป็การส่วนตัวหลินลั่วหรานในตอนนี้ ไม่ใช่ว่าจะสามารถพัฒนาได้ หากมัวแต่ติดอยู่กับพ่อและแม่หรือแม้ว่าเธอจะไม่ได้ฝึกศาสตร์ และเป็เพียงพนักงานเงินเดือนทั่วไป ทุกๆวันก็ต้องดิ้นรนเพื่อเลี้ยงชีวิต การที่จะได้อยู่ร่วมกันทั้งครอบครัวแบบนี้อาจจะน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำไป!
เมื่อผู้เป็แม่คิดได้แล้วเธอถึงได้วางใจและออกไปส่งทั้งสองคนที่หน้าประตูบ้าน
เสี่ยวจินดูสง่าขึ้นทุกวัน หลินลั่วหรานทิ้งมันเอาไว้ดูแลบ้านเพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกระดับหนึ่ง ตั๋วเครื่องบินที่เธอและลั่วตงจองเอาไว้คือตั๋วของวันนี้
เป่าเจียขับรถไปส่งทั้งสองที่สนามบิน ตอนนี้ผู้บังคับบัญชาฉินลาออกมาแล้วดังนั้นเขาจึงพักอาศัยอยู่ที่ศูนย์ทหารเสียมากกว่าและไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงอีกต่อไปทำให้เป่าเจียนั้นี้เีจะออกจากบ้านมากขึ้นไปทุกที ปกติแล้วนอกเสียจากรับงานออกแบบเครื่องประดับสองสามงานเวลาส่วนมากเธอก็เอาแต่ฝึกศาสตร์ พี่สาวเป่าที่เคยใช้ชีวิตอย่างไม่สนใจอะไรแต่ตอนนี้กลับดูลำบากมากมาย หลินลั่วหรานเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็เื่ดีหรือร้ายเธอเดาว่าในใจของเป่าเจียน่าจะเกี่ยวข้องกับเธอ และเื่ที่โจวเหย้าเวยมาลงมือกับทั้งสองตระกูลก็ยังไม่ถูกคลายออกเื่นี้ก็คงจะต้องใช้เวลาแล้ว
เมื่อเปิดใจเข้าไปสักนิด ความจริงแล้วการตั้งใจฝึกศาสตร์ก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีใช่ไหม? ความจริงแล้วหลังจากพัฒนาขึ้นอย่างในระดับพื้นฐาน ก็มีระยะเวลาชีวิตยาวนานกว่าสองร้อยปี และระยะเวลาเ่าั้ก็สามารถนำมันมาใช้กับเื่ที่ตัวเองชอบได้แล้วใครบอกว่าความลำบากในตอนนี้ จะไม่ได้รับผลตอบแทนกันล่ะ?
เมื่อเช็กอินเข้ามาได้อย่างราบรื่นสิ่งเดียวที่หลินลั่วหรานประหลาดใจก็คือ ทำไมถึงมีแต่คนมองเธอมาตลอดทาง? ทุกวันนี้การฝึกศาสตร์ก็เธอนั้นมากขึ้นท่าทางที่ดูราวกับดาบที่ถอดออกจากฝักก็หายไป และกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมแม้ว่ารูปร่างลักษณะภายนอกของเธอจะโดดเด่น แต่ว่าหากไม่ได้ตั้งใจมองมาที่เธอเธอก็สามารถที่จะถูกกลืนหายไปกับกลุ่มคนได้
หลินลั่วหรานยังคงไม่รู้ว่า รูปภาพที่เธอขี่อินทรีนั้นถูกแพร่กระจายไปราวกับไวรัสแม้ว่าจะเป็นักท่องอินเทอร์เน็ตที่ไม่ได้สนใจอะไรกับเื่นี้ก็ยังต้องเคยเห็นผ่านๆ กันมาบ้าง แต่เพราะว่าเป็เพียงรูปด้านข้างของเธอดังนั้นทุกคนจึงเพียงแค่รู้สึกคุ้นตา อีกทั้งเธอยังสวมชุดสบายๆ ธรรมดาๆ อยู่ดังนั้นจึงยากที่จะรู้ได้ว่าเป็เธอ
เมื่อใส่แว่นกันแดดแล้ว มันก็ดูสะดวกสบายขึ้นมากทีเดียว
ในความคิดของหลินลั่วหรานนั้น เธอ้าให้หลินลั่วตงได้เปิดใจกับกลุ่มคนจึงไม่ได้จองตั๋วเครื่องบินชั้นหนึ่ง แต่กลับจองเพียงชั้นธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทางวิตกกังวลของหลินลั่วตงแล้ว หลินลั่วหรานก็ถามขึ้นเบาๆ “กลัวเหรอ? ก็เคยนั่งบนหลังเสี่ยวจินบินมาก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ใบหน้าเล็กๆ ของหลินลั่วตงซีดเผือด “มันไม่เหมือนกัน...” เสี่ยวจินปลอดภัยจะตายไป ตอนที่กำลังขึ้นบินก็ไม่มีอาการหูอื้อด้วยเมื่อได้ยินหลินลั่วหรานถามแบบนั้น เขาก็ไม่อาจจะยอมแพ้ได้ เขายืดอกสูดลมหายใจเข้าก่อนที่จะบังคับให้ตัวเองมองออกไปยังนอกหน้าต่าง
ลมหายใจที่เต็มไปด้วยความกังวลค่อยๆ หายไป
บนโลกใบนี้มีความสวยงามอยู่สองแบบ ที่สามารถทำให้คนใจสั่นขึ้นมาได้ไม่ว่าจะมีความชอบแบบไหนต่างก็ไม่สามารถจะขัดขืนมันได้
อย่างแรกคือทะเลสีคราม ความสวยงามที่ทำให้จิตใจผ่อนคลายและเกลียวคลื่นที่พัดขึ้นมานั้น ต่างก็ให้ความรู้สึกที่สวยสง่า
อีกอย่างก็คือท้องฟ้าใสการเคลื่อนที่ขยับเปลี่ยนรูปร่างของก้อนเมฆบนท้องฟ้าคือความสวยงามที่เต็มไปด้วยความเบาสบายการมองไปยังก้อนเมฆแล้วจินตนาการไปถึงรูปร่างต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่เด็กๆอย่างหลินลั่วตง แต่แม้แต่หลินลั่วหรานในทุกวันนี้ระหว่างที่มองเหม่อไปยังกลุ่มเมฆ เธอก็ยังเผลอนึกถึงตำนานที่แสนจะสวยงามขึ้นมาภายในเมฆหนาพวกนั้น จะมีปราสาท์ซ่อนอยู่ไหมนะ?
เมื่อเห็นว่าสายตาของลั่วตงดูเหม่อลอย ดูเหมือนว่าจะเริ่มง่วงขึ้นมาแล้วหลินลั่วหรานก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้และนั่นก็ทำให้ผู้โดยสารที่คอยแอบมองสองพี่น้องอยู่ข้างๆใเสียจนลูกตาแทบจะถลนออกมา
เด็กชายสวมชุดหน้าร้อนสไตล์อังกฤษสบายๆแววตาเขินอายในระหว่างที่ขยับแขนขาไปมา ในสายตาของผู้โดยสารแล้วมันก็ดูเป็เหมือนกับอาการไม่ชินคนของตระกูลสูงศักดิ์ ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆของเขา ดูแล้วน่าจะมีอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ แต่สีหน้ากลับดูอ่อนโยนทำให้คนรู้สึกเป็กันเอง...ไม่ว่าจะเป็รูปร่างภายนอกหรือว่าท่าทางของเธอต่างก็เป็คนที่โดดเด่นทั้งคู่
เป็พี่น้องกันหรือเปล่า?
ถ้าหากว่าถามแบบนี้กับหลินลั่วตง เขาจะต้องพยักหน้าลงด้วยความดีใจมากๆ แน่ถ้าหากว่าไม่มีหลินลั่วหรานที่อยู่ข้างกายของเขาคนนี้ ตอนนี้เขาจะอยู่ที่ไหนกันนะ?
หลินลั่วตงมักจะคิดแบบนี้อยู่บ่อยๆ ความเป็ไปได้มากมายเ่าั้ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตในตอนนี้ของตัวเองนั้นช่างล้ำค่า
เพราะว่าได้รู้จักกับพี่สาวคนนี้ ชีวิตของเขาก็เลยเป็เหมือนกับทะเลสีครามท้องฟ้าสดใสแบบนี้ สวยและงดงาม หลินลั่วตงคิดแบบนั้น
เครื่องบินค่อยๆ แล่นลงที่สนามบินของเมืองหลวง สองพี่น้องต่างก็ดีใจคนบางคนเองก็กำลังรอการมาเยือนของพวกเขา และคนบางคน ก็กลัวเสียจนนอนไม่หลับ...
เมืองหลวงใต้ฟ้าสีครามแห่งนี้ เพราะว่า่ฤดูนี้มักจะมีลมพัดแรงอยู่เสมอทำให้ในตอนที่ฟ้าสดใส สีฟ้าสวยงามไร้จุดบกพร่อง อีกทั้งหาได้ยากทำให้คนต่างก็ลุ่มหลง
คนที่ในใจไร้ความกังวล ทุกอย่างที่ได้พบก็จะประกายสดใส
แต่คนที่มีเื่บางอย่างซ่อนเอาไว้ในใจ แม้จะเป็ที่ฟ้าสดใส และหลบอยู่ภายในคฤหาสน์ใหญ่พวกเขาก็มักจะััได้ถึงเงามืดและแรงลมอยู่เสมอ
อย่างเช่น คุณนายโจว
่นี้คุณนายโจวได้ัักับความเ็ปที่ต้องสูญเสียลูกชายไปและเป็เพราะว่าในระยะเวลาเดือนกว่าที่ผ่านมานี้เธอต้องเผชิญกับความกลัวจนยากที่จะหลับใหล ดังนั้นตัวของเธอจึงดูแห้งเฉาและแก่ลงเรื่อยๆ ด้วยความเร็วที่สามารถรับรู้ได้ด้วยตาเปล่า
ศูนย์ความงาม?
ตอนนี้เธอไม่ออกจากบ้านไปไหนง่ายๆเวลาออกไปไหนก็ต้องพาบอดี้การ์ดติดตามไปด้วยเป็ขบวน แล้วในสถานการณ์แบบนี้เธอจะไปมีอารมณ์ไปดูแลผิวที่ศูนย์ความงามไปพร้อมกับคุยสนทนากับเหล่าคุณนายทั้งหลายได้อย่างไร
ลูกสมุนของโจวเหย้าเวยคนนั้นตัดสินใจกลับมารายงานและมันก็ดูไร้สาระมากทีเดียวครอบครัวที่จะสามารถมีแรงกระตุ้นใจให้ลูกชายของตัวเองไปฆ่าคนอื่นได้นั้นพวกเขาจะมาเชื่อลูกน้องที่ไม่มีที่มาที่ไปแบบเขาเหรอ?
การจะเป็คนชั่วนั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไร้หัวใจเขามีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู เมื่อกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลโจวแล้วหลังจากรายงานเสร็จ เขาก็คงจะต้องตาย แต่ว่าเงินค่าเลี้ยงดูมากมายก็น่าจะพอสำหรับการใช้ชีวิตของคนในครอบครัวของเขาแล้ว
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะกลับมา
ผิดจากที่เขาคาดเอาไว้เมื่อหัวหน้าของบ้านอย่างนายทหารโจวได้ยินเื่ที่เขาบอก ก็โศกเศร้าขึ้นไปถนัดตาและก็ไม่ได้สั่งให้ฆ่าเขาทิ้งแต่อย่างใด
คนที่ปกติรักรูปลักษณ์ภายนอกเสียยิ่งกว่าชีวิตอย่างคุณนายโจวก็ร้องไห้เสียจนน่าสงสารเธอคร่ำครวญไปถึงคุณชายโจวที่ “น่าสงสาร” แต่ก็กรีดร้องออกมาว่าจะจัดการให้เขาก็แหลกสลายไปบ้างคนที่มารายงานถูกลากออกไป เขาไร้หนทางเลือกการตายของตัวเอง แต่กลับรู้สึกขึ้นมาว่าการตายแบบสบายๆ อย่างนี้ก็น่าจะดีกว่า ผลสุดท้ายที่ตระกูลโจวจะต้องได้รับ
“ท่านทหารโจว เวยเอ๋อร์เป็ลูกชายคนเดียวของคุณคุณทนให้เขาตายไปโดยไม่เหลือแม้แต่ร่างแบบนี้ได้ยังไง...” แววตาของคุณนายโจวมืดมนไปหมด เธอดึงแขนเสื้อของนายทหารโจวเอาไว้น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ ก่อนที่นายทหารโจวจะตบลงที่หน้าของเธออย่างแรง “เพียะ” แรงตบทำให้ใบหน้าของคุณนายโจวบวมขึ้นมา
คุณนายโจวจับใบหน้าของตัวเองไว้อย่างไม่อยากจะเชื่อนายทหารโจวยั้งร่างที่ไร้แรงของตัวเองเอาไว้ ก่อนที่จะโซเซออกไป
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขาก็คือคนสำคัญในรัฐบาล ตระกูลโจวนั้นมีศัตรูมากมายเขาไม่เชื่อว่าประเทศนี้จะยอมให้เขาตายไป!
นักฝึกศาสตร์อะไรกัน...คนเพียงเดียวสามารถรับมือกับทั้งประเทศได้อย่างนั้นเหรอ?
นายทหารโจวนั้นไม่ใช่คนโง่ ในระหว่างที่อยากจะรีบแก้แค้นให้ลูกชายเขาก็เลือกที่จะอดทนเอาไว้ เขาจะทอดแหออกไปแล้วจัดการทำให้คนที่เข้ามาสร้างปัญหาให้เขาตายไปโดยไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าโจวเหย้าเวยจะไม่ได้เื่แค่ไหนแต่ว่าก็เป็ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลโจว เขาคือสายเืเดียวของนายทหารโจว...
โจวกั๋วจุนขอให้ประเทศช่วยเขา และแจ้งไปว่าลูกชายของเขาถูกฆ่าตายและเพราะว่าเื่นี้เกี่ยวข้องกับนักฝึกศาสตร์ ดังนั้นมันจึงถูกส่งไปที่เฉินหยุน
เมื่อหัวหน้าหน่วยเฉินพลิกออกดู ใบหน้าของเขาก็แดงเถือกขึ้นมา
ในตอนแรกที่เขาลากโจวเหย้าเวยเข้ามาที่หน่วยพิเศษนั้นก็เพียงแค่เพื่อศาสตร์มืดของเขาเท่านั้นแต่ว่าโจวเหย้าเวยนั้นรนหาที่ตายด้วยตัวเองการที่เขาไปยั่วโมโหคนที่มีความสามารถที่สุดใน่หลายปีที่ผ่านมานี้อย่างหลินลั่วหรานนั่นก็ชี้ให้เห็นถึงตอนจบที่ไม่สวยงามแล้ว
ในตอนนั้นเองเฉินหยุนก็คิดทบทวนความทรงจำขึ้นมา และเกือบจะลืมไปแล้วว่าในค่ำคืนนั้นไม่ใช่เพียงแค่โจวเหย้าเวยที่ลงมือกับบ้านหลินแต่พวกเขาเองก็ไม่ได้มาดีเช่นกัน
และยิ่งเพราะว่าเป็แบบนั้นเขาก็ควรที่จะแสดงความมีน้ำใจเพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์ให้กลับมาดีดังเดิมหรือเปล่า?
ดังนั้นคดีนี้ เฉินหยุนจึงเก็บมันเอาไว้
และสิ่งที่ทำให้ตระกูลโจวต้องโมโหก็คือ อุปสรรคที่เกิดขึ้นจากทุกๆ หนทาง
ในตอนที่เขาค่อยๆ บีบตระกูลฉินนั้นทำให้คนที่หน่วยทหารนั้นไม่พอใจเขาเท่าไรและก็ยังมีคนที่ไม่พอใจในเื่การใช้อำนาจข่มเหงของเขาอีก
แล้วในตอนนี้ จะให้พวกเรากลับมาปกป้องเหรอ?
ฝันอยู่หรือเปล่า นี่มันเห็นแก่ตัวมากเกินไปแล้ว
รูปภาพที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ชาวโลกอินเทอร์เน็ตได้คาดเดาต่างก็เป็ข้อมูลที่ไร้น้ำหนัก แต่สำหรับคนสำคัญๆ แล้วมันกลับเป็โอกาสที่จะได้รู้ถึงความจริงให้ชัดเจน ด้วยการรับรองประตูที่อยู่หน้าพวกเขาก็ค่อยๆ ถูกเปิดออก ที่แท้โลกที่เขาคิดว่าตัวเองเป็ใหญ่นี้ก็ยังซ่อนนักปราชญ์ที่สามารถเหาะเหินได้เอาไว้...คนที่มีอิทธิพลนั้นต่างก็รู้ว่าคนที่ตระกูลโจวไปมีปัญหาเข้าคือนักปราชญ์ที่สามารถคร่าชีวิตคนได้ตามใจชอบและในสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเดือดร้อนแบบนี้ต่างก็คิดจะอาศัยความทุกข์ของเขาทั้งนั้น
คนที่เป็ศัตรูกับทางตระกูลโจว ต่างก็พากันยินดี
คนที่เป็มิตรกับตระกูลโจว ต่างก็ค่อยๆ ทิ้งระยะห่างออกไปเงียบๆ
ความจริงอันโหดร้าย จิตใจของคนไม่อาจรับรู้ในที่สุดมันก็ทำให้นายทหารโจวเองก็ไม่อาจจะนอนหลับได้ลงอีกต่อไป...เมื่อมองไปยังภรรยาที่เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทุกวันเขาก็เริ่มจะรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว
คุณนายโจวในตอนนี้ เป็ภรรยาคนที่สองของนายทหารโจวเพราะว่าภรรยาคนแรกเธอไม่สามารถให้กำเนิดลูกชายได้เขาจึงหย่าขาดกับเธอโดยไม่สนใจอะไรจากนั้นก็แต่งงานกับคนที่ถือได้ว่าเป็คนรักของเขาในตอนนั้นอย่างคุณนายโจวก่อนที่สุดท้ายทุกอย่างจะเป็ดั่งหวัง เธอให้กำเนิดลูกชายออกมา
เพียงแต่เมื่อมองจากวันนี้แล้ว การไม่มีลูกชายนั้นทำให้เศร้าโศกมากแต่เมื่อมีลูกชายแล้ว ก็ต้องเจอกับแม่ที่ไม่ได้เื่แบบนี้นี่มันช่างน่าสิ้นหวังเสียจริง...
เดี๋ยวนะ ยังมีผู้บังคับบัญชาฉินอีกนี่ ด้วยนิสัยของเขาแล้วบางทีอาจจะยังมีโอกาสก็ได้?
ภายใต้ความสิ้นหวังของนายทหารโจว เขาก็เหมือนกับคนจมน้ำที่กำลังจับฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้แน่น