เล่มที่ 1 บทที่ 1 ดาวหายนะแห่งเมืองหยางเฉิง
ในแคว้นเทียนเฉิน นักรบิญญามักได้รับการเคารพ
ผู้แข็งแกร่งสามารถพังทลายโลกหล้า เหยียบย่ำ์ได้ด้วยความโกรธ หลั่งเืควบรวมเป็แม่น้ำได้ด้วยความเกรี้ยว ส่วนผู้อ่อนแอมักถูกคนอื่นรังแกและกลายเป็แค่มดตัวน้อยในถิ่นฐาน
หาก้าเป็นักรบิญญา ต้องปฏิญาณต่อเทพเซียนก่อน แล้วค่อยปลุกิญญายุทธ์ จากนั้นจะสามารถดูดซับพลังจากใต้หล้าผ่านิญญายุทธ์ และการฝึกฝนได้
ิญญายุทธ์นั้นมีหลายประเภทนับไม่ถ้วน ทั้งอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งโชคชะตา ิญญาลึกลับแห่งธาตุทั้งห้า พืชพรรณแปลกใหม่ และสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ โดยทั้งหมดแบ่งออกเป็เก้าขั้น
ยิ่งระดับของิญญายุทธ์ที่ตื่นขึ้นสูงเท่าไร ศักยภาพของนักรบิญญาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ตามตำนาน หากผู้ใดปลุกิญญายุทธ์ให้ตื่นขึ้นได้ไม่สมบูรณ์ นั่นหมายความได้ว่า ผู้นั้นย่อมถูกเทพเซียนปฏิเสธ ไม่เพียงแต่จะไร้ทางฝึกฝนเท่านั้น แต่ยังนำหายนะมาสู่ใต้หล้าอีกด้วย
ราชวงศ์เซี่ยตะวันออก เมืองไป๋หยาง
เดือนเจ็ดเป็่กลางฤดูร้อน แสงแดดที่แผดจ้าส่องมายังพื้นดิน ก่อให้เกิดคลื่นความร้อนระอุ
บนถนนกว้าง เด็กหนุ่มคนหนึ่งพยายามดิ้นรนเพื่อลากโลงศพหนักๆ โลงหนึ่งและก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ดูเหมือนเขาจะดูแปลกแยกไปเล็กน้อยกับสภาพแวดล้อมที่อึกทึกและมีชีวิตชีวารอบตัวนี้
เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบหกปี มีใบหน้าตอบและรูปร่างผอมแห้ง โซ่เหล็กสองเส้นบนไหล่ของเขาก่อให้เกิดรอยเืบาดลึกบนไหล่ทั้งสองข้างจากการเสียดสีระหว่างการเคลื่อนไหว
สำหรับเขาแล้ว โลงศพนี้หนักสามถึงสี่ร้อยกงจิน[1]ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหนักเกินไปสำหรับเด็กหนุ่มอย่างเขา
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่เดินผ่านไปมารอบๆ ต่างชี้ไปที่เด็กหนุ่ม แสดงท่าทีรังเกียจและถอยห่างออกไปทีละคน
“นี่มันดาวหายนะอีกแล้ว โชคร้ายจริงๆ ที่มาเจอ!”
“สัตว์ปีศาจบุกรุกครั้งนี้ทำเอาตระกูลฉู่ตกตายไปเสียเยอะ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะหาศพทั้งหมดเจอเมื่อไร มีลูกชายอย่างเขาอยู่ในตระกูลย่อย ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริงๆ!”
“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่เขาถือว่ากตัญญูนะ”
“กตัญญูจะมีประโยชน์อันใด? ตระกูลย่อยที่ดีของครอบครัวได้รับอันตรายเช่นนี้ คนประเภทที่ถูกเทพเซียนสาปแช่ง ควรถูกไล่ออกจากเมืองและปล่อยให้สัตว์ป่าล่ากินเสีย!”
“เฮ้อ คงเป็ชะตาฟ้าลิขิต ใครจะคิดว่าเขาจะปลุกิญญายุทธ์เช่นนั้นขึ้นมาเล่า…”
เสียงะโและถอนหายใจด้วยความเสียใจจากทั่วสารทิศผ่านเข้าหูของฉู่อวิ๋น ราวกับเข็มเล็กๆ นับพันทิ่มแทงหัวใจของเขา เขากัดฟัน และกำโซ่เหล็กในมือแน่นขึ้นอีกหน่อย
เมื่อเผชิญกับข้อกล่าวหาจากทุกคน ฉู่อวิ๋นไม่ได้ปฏิเสธ ได้แต่ลากโลงศพไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เหงื่อไหลอาบแก้มที่ซูบตอบ
สองชั่วยามต่อมา ฉู่อวิ๋นก็พ้นออกมาจากฝูงชนและลากโลงศพไปที่ลานขนาดใหญ่
เหนือประตูใหญ่ของบริเวณนั้นมีแผ่นโลหะแขวนอยู่สลักด้วยตัวอักษรสี่ตัว "ลานฉู่บูรพา" ตัวอักษรนั้นสง่างามและทรงพลัง ทั้งยังมีการจัดวางที่ดีมาก ทว่ากลับมีฝุ่นเกาะหนา ดูเหมือนว่าไม่มีใครทำความสะอาดมันมานานแล้ว
"ในที่สุดก็มาถึง...นี่คือโลงศพสุดท้ายแล้ว..."
ฉู่อวิ๋นหายใจเข้าลึกๆ ลากโลงศพสุดกำลัง ก้าวขึ้นไปบนบันไดหิน จากนั้นผลักเปิดประตูหนักๆ แล้วก้าวช้าๆ เข้าไปในลานบ้าน
“แอ๊ด——”
เมื่อผลักประตูเข้าไป ก็มองเห็นลานจัตุรัสขนาดใหญ่ และเมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีโลงศพทั้งเจ็ดโลงวางอยู่บนพื้นอย่างเรียบร้อย กลายเป็ภาพที่น่าตกตะลึง
เมื่อเดินเข้าไปในลานจัตุรัสที่ค่อนข้างเย็น ฉู่อวิ๋นรู้สึกถึงความเสียวซ่านเล็กน้อยในจมูก จากนั้นก็หรี่ตาลงอีกครั้ง ระงับความขมขื่นใจและวางโลงศพไว้ที่มุมหนึ่ง
จากนั้น ฉู่อวิ๋นทรุดตัวนั่งลงบนพื้น มองดูโลงศพที่เย็นเฉียบทั้งแปดโลงแล้วพึมพำกับตัวเอง "เหตุใดจึงใส่ร้ายข้า? เหตุใดจึงทำกับญาติมิตรของข้าเช่นนี้! เพราะเป็ตระกูลย่อยจึงต้องรับผลกรรมให้แตกหักพลัดพรากเช่นนี้หรือ?”
ในตอนนี้ ใบหน้าของฉู่อวิ๋นแปรเปลี่ยนเป็เ็า โทสะในใจของเขาพุ่งสูงขึ้น ความทรงจำที่อัปยศอดสูในอดีตพรั่งพรูออกมาราวกับกระแสน้ำ!
ตระกูลฉู่เป็ตระกูลแห่งเ้ายุทธภพในราชวงศ์เซี่ยตะวันออก ทายาทของตระกูลกระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้น เชื้อสายในเมืองไป๋หยางแบ่งออกเป็ตระกูลหลักและตระกูลย่อย ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกและตะวันตกของเมืองไป๋หยาง
แม้ว่าสถานะของตระกูลย่อยจะต่ำกว่าตระกูลหลัก ซ้ำยังมีความขัดแย้งกันบ้างเป็ครั้งคราว แต่โดยรวมแล้วพวกเขาก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
สี่เดือนก่อน ฉู่อวิ๋นซึ่งอยู่ในตระกูลฉู่ย่อยแห่งไป๋หยาง ปลุกิญญายุทธ์ได้สำเร็จในระหว่างพิธีบวงสรวงตระกูล ในเวลานั้น มีแสงสีดำปกคลุมท้องฟ้า ลมกรรโชกแรง หลังจากิญญายุทธ์ปรากฏขึ้น มันกลับกลายเป็กระบี่หักอันมืดมน ทำให้ทุกคนในตระกูลต่างตกตะลึง
เพราะเกิดมาพร้อมิญญายุทธ์อันน่าอนาถ นั่นหมายความว่า ไม่เพียงแต่ฉู่อวิ๋นจะไร้ทางฝึกฝนเท่านั้น แต่เขายังอาจนำหายนะมาสู่ตระกูลอีกด้วย
ดังนั้นผู้นำของตระกูลหลักจึงตัดสินใจสั่งให้ตระกูลย่อยไล่ฉู่อวิ๋นออกจากเมือง
แต่ในฐานะหัวหน้าตระกูลย่อยเวลานั้น ฉู่ซานเหอได้ร่วมมือกับบรรดาญาติของเขาเพื่อคัดค้านคำขอของผู้นำตระกูล และยืนกรานที่จะเก็บฉู่อวิ๋นไว้ในบ้าน
อย่างไรเสีย ฉู่อวิ๋นก็เป็ลูกชายที่ฉู่ซานเหอรักที่สุด จะให้ตัดใจทิ้งเขาไปได้อย่างไร?
ท้ายที่สุด การเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตระกูลถึงจุดแตกหัก
หนึ่งเดือนต่อมา ฉู่ซานเหอหายตัวไปอย่างลึกลับ ตระกูลย่อยจึงไร้ผู้นำจนเกิดความสับสนวุ่นวายไปทั่ว
ในเวลาเดียวกัน ฝูงสัตว์ปีศาจก็รวมตัวขึ้นในป่าพลบค่ำใกล้กับเมืองไป๋หยาง เรียกได้ว่าเป็ภัยพิบัติที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า [Ma6] หลังจากนั้น ตระกูลฉู่ทั้งสองก็ได้ส่งนักรบที่แข็งแกร่งจำนวนมากมาเพื่อต้านทานการรุกรานของสัตว์ปีศาจ
ทว่า ใน่เวลาของการต้านทานฝูงสัตว์ปีศาจ ด้วยความยโสของตระกูลหลัก ทำให้เหล่านักรบทุกคนในตระกูลตกอยู่ในอันตราย ถูกฝูงสัตว์ปีศาจที่แข็งแกร่งปิดล้อมไว้อย่างแ่า
เพื่อให้ผู้นำตระกูลหลักได้หลบหนี คนของตระกูลย่อยต้องเผชิญกับสัตว์ปีศาจจำนวนมากเพียงลำพัง ท้ายที่สุด พวกเขาได้รับาเ็สาหัส แม้แต่ผู้รอดชีวิตมาได้ก็าเ็สาหัส และยังไม่ทันเข้าสู่เมืองไป๋หยางก็สิ้นใจ
ทว่า การเสียสละอย่างกล้าหาญเช่นนี้พวกเขากลับไม่ได้รับผลตอบแทนที่สมควรได้รับ
เดิมทีตามกฎของตระกูลฉู่ คนของตระกูลย่อยที่เสียสละเพื่อตระกูล ควรถูกฝังไว้ในสุสานปราณัของตระกูล และได้รับการเซ่นไหว้จากคนรุ่นต่อๆ ไป
แต่คนในตระกูลหลักกลับนำศพที่หาเจอจำนวนมากไปทิ้งไว้ในป่าทิ้งศพแทน เพื่อชื่อเสียงแล้ว พวกเขาจงใจปกปิดข้อเท็จจริงและอ้างว่าการตายของคนในตระกูลย่อยนั้น เกิดจากิญญายุทธ์ไม่สมบูรณ์ของฉู่อวิ๋นที่ถูกปลุกขึ้นมา ไม่ใช่ความผิดของตระกูลหลัก
ผลคือ ฉู่อวิ๋นต้องทนทุกข์กับความอยุติธรรมที่ได้รับ ถูกคนทั้งเมืองสาปแช่งและตำหนิ
คนของตระกูลย่อยที่เหลือก็พากันย้ายออกไปเข้าร่วมกับกับตระกูลหลัก ดูเหมือนพวกเขาจะเชื่อว่าฉู่อวิ๋นต้องรับผิดชอบต่อภัยพิบัติครั้งนี้
เพื่อจัดการฝังศพอย่างเหมาะสมและเซ่นไหว้ต่อญาติผู้ล่วงลับ ฉู่อวิ๋นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปเก็บศพตามลำพัง
“ตระกูลหลักข่มเหงกันเกินไปแล้ว! ลุงใหญ่...ท่านอาเจ็ด...สักวันหนึ่ง ข้าจะทวงคืนความเป็ธรรมให้กับพวกท่านเอง!”
ความเกลียดชังที่ท่วมท้นปรากฏในดวงตา จู่ๆ ฉู่อวิ๋นก็คุกเข่าลงบนพื้นและคำนับสามครั้งต่อโลงศพทั้งแปดในลานจัตุรัส
“แอ๊ด——”
ขณะนั้น ประตูไม้ของห้องโถงที่อยู่ไม่ไกลก็เปิดออก หญิงสาวอายุประมาณสิบเจ็ดปีย่างเท้าออกมาอย่างช้าๆ
ริมฝีปากของนางซีดเล็กน้อย รูปลักษณ์ดูบริสุทธิ์และสวยงาม ราวกับเทพธิดาที่ร่วงหล่นลงมายังโลกมนุษย์ นางสวมชุดสีขาวล้วน เผยให้เห็นเรือนร่างที่สมบูรณ์บอบบาง ด้วยสัดส่วนเส้นโค้งที่ชวนมอง ผมดำสนิทสลวยยาวลงมาถึงเอวเรียวบาง เห็นถึงความบริสุทธิ์และสวยงาม
การปรากฏตัวของนางคล้ายแต่งเติมสีสันให้กับลานจัตุรัสอันจืดชืดนี้ ทำให้บรรยากาศที่หนาวเย็นพลันอุ่นขึ้น
หญิงสาวผู้นี้คือ ฉู่ซินเหยา พี่สาวของฉู่อวิ๋น
ฉู่ซินเหยาร่างกายอ่อนแอโรคภัยรุมเร้ามาั้แ่เด็ก จึงต้องใช้ชีวิตอย่างสันโดษ แม้ว่าจะไม่สามารถฝึกศิลปะการต่อสู้ได้เพราะร่างกายที่อ่อนแอ แต่นางก็มีความเชี่ยวชาญในทักษะการดีดฉิน[2] ถึงตอนนี้ เหลือเพียงนางและฉู่อวิ๋นที่ต่างก็ต้องพึ่งพากัน
เมื่อเห็นฉู่อวิ๋นหมอบอยู่บนพื้นโดยมีรอยแผลเป็ที่น่าสะพรึงกลัวบนไหล่ ใบหน้างามของฉู่ซินเหยาก็ซีดลง นางรีบก้าวไปดึงฉู่อวิ๋นขึ้น
“อวิ๋นเอ๋อร์ พี่บอกเ้าไปกี่ครั้งแล้ว ถ้าเ้าลากมาคนเดียวไม่ไหว ก็มาเรียกให้พี่ช่วย เหตุใดจึงต้องทนทำอยู่คนเดียวด้วยเล่า?” เมื่อเห็นาแที่ลึกถึงกระดูกของฉู่อวิ๋น ดวงตาสดสวยของฉู่ซินเหยาก็นองไปด้วยน้ำตา
"พี่หญิง...ข้า..."
เมื่อเงยหน้ามองฉู่ซินเหยา ดวงตาของฉู่อวิ๋นก็อ่อนลง เขาเม้มริมฝีปาก พูดอะไรไม่ออก
ฉู่ซินเหยาคือจุดอ่อนเดียวของฉู่อวิ๋น แม้นางจะเป็เพียงลูกสาวบุญธรรมของฉู่ซานเหอผู้เป็บิดา แต่ทั้งสองก็อาศัยอยู่ด้วยกันมานับสิบปี สายสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินจะตัดขาด หลังจากไม่อาจรักษาตระกูลย่อยไว้ได้ นางเป็คนเดียวในตระกูลที่ยังอยู่เคียงข้างฉู่อวิ๋น
เช่นนั้นแล้ว ฉู่อวิ๋นจะเต็มใจทิ้งนางไว้และต่อสู้จนตัวตายร่วมกับตระกูลหลักได้อย่างไร?
"ปัง--"
ขณะที่ฉู่อวิ๋นครุ่นคิดอย่างสับสน ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังของเขา เมื่อเขาหันกลับไป ก็พบว่าประตูถูกเปิดออก
ร่างหลายร่างเดินเข้ามาในจัตุรัสอย่างเกรี้ยวกราด ผู้เป็หัวหน้าแต่งกายด้วยชุดอย่างดี ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในมือข้างหนึ่งถือกระบี่ทองคำ อีกข้างถือบ้องยาสูบพ่นควันสีเทาหม่น ตามมาด้วยสมุนรับใช้สองคน ทั้งสองร่างกายสูงล่ำ เป็ชายฉกรรจ์ที่มีรูปร่างแข็งแรง
“เหอะ! บ้านเน่าๆ โลงศพเน่าๆ พื้นเน่าๆ... ไอ้หยา ยังมีคนเน่าๆ อยู่ด้วย!” ชายคนนั้นมองฉู่อวิ๋นอย่างดูถูก จากนั้นจ้องมองไปที่ร่างกายของฉู่ซินเหยาด้วยแววตาราคะที่ลุกโชน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย "แต่โชคดีที่ยังมีสุดยอดคนงามอยู่!"
ดวงตาของฉู่อวิ๋นหรี่ลง ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนต่อหน้าฉู่ซินเหยาและพูดอย่างเ็า "ฉู่เฮ่า! นี่คือเรือนตระกูลย่อย เ้าบุกเข้ามาอย่างไร้มารยาทเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร?"
บุคคลนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ฉู่เฮ่า นักรบิญญารุ่นเยาว์จากตระกูลหลักฉู่ เมืองไป๋หยาง
ฉู่เฮ่า ซึ่งในขณะนั้นมีอายุสิบหกปี ได้ปลุกิญญายุทธ์งูดินเหลืองขั้นสามออกมา การฝึกฝนของเขามาถึงระดับสามของขั้นควบแน่นพลังปราณแล้ว หมัดเดียวมีพลังถึงสี่ร้อยจิน[3] คนทั่วไปไม่อาจเทียบชั้นได้
“ฮ่าๆ สุนัขจรจัดยังกัดคนได้อีกหรือ? วันนี้ข้ารับคำสั่งจากผู้าุโให้มาที่นี่เพื่อบอกเ้าว่า เรือนตระกูลย่อยของพวกเ้ากลายเป็สมบัติของตระกูลหลักแล้ว มีเวลาสองวันให้พวกเ้าย้ายออก อย่ารอจนกว่าจะถึงเวลาเล่า” ฉู่เฮ่าเงยหน้าขึ้น สายตาแสดงความรังเกียจ
“ไร้สาระ! กฎตระกูลระบุว่าตระกูลของเ้าไม่มีสิทธิ์มาจัดการเรือนตระกูลย่อย หรือคนในตระกูลเ้าต่างกลายเป็คนไร้ยางอายกันไปหมดแล้ว?” ฉู่อวิ๋นถามอย่างเหลืออด
ฉู่เฮ่ามองไปที่ฉู่อวิ๋นแล้วตอบอย่างเหน็บแนมว่า "ตอนนี้เรือนตระกูลย่อยแตกซ่านไร้ผู้ดูแล มันเป็เื่ธรรมดาที่ตระกูลหลักจะรับ่ต่อ บุคคลที่สืบทอดมรดกจากตระกูลย่อยได้ จะต้องเป็นักรบิญญาที่สามารถฝึกฝนได้ เ้าที่เป็ดาวหายนะไร้ทางฝึกฝน ซ้ำยังพาให้คนในตระกูลตกตายหลายคันเกวียน รึเ้าอยากเป็ผู้นำตระกูลย่อยเองหรืออย่างไร?”
“เชอะ! เ้าที่อยู่ในตระกูลหลัก ไม่รู้หรือไงว่าเหตุใดตระกูลย่อยของพวกเราถึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้! และนี่ไม่ใช่เื่ที่พวกเ้าจะมากำหนดมรดกของตระกูลย่อย!”
ฉู่อวิ๋นรู้ดีว่าตระกูลย่อยของเขาพังทลายลงเพราะความประมาทเลินเล่อของตระกูลหลัก
หากส่งมอบเรือนตระกูลย่อย พี่หญิงและเขาก็จะไร้ซึ่งที่อยู่ ความงามของฉู่ซินเหยาย่อมดึงดูดตัณหาของโจรเป็แน่ สถานการณ์นั้นน่าอันตรายเป็อย่างยิ่ง
ในเวลานี้ฉู่ซินเหยาโกรธมาก ใบหน้าที่สวยงามของนางเปลี่ยนเป็เ็า นางขยับก้าวเล็กน้อย เดินไปหาฉู่อวิ๋น และพูดกับฉู่เฮ่าอย่างเยือกเย็นว่า "ิญญาบรรพบุรุษตระกูลฉู่ยังรับรู้อยู่บน์ พวกเ้าตระกูลหลักอย่าให้มันมากเกินไปนัก!"
เมื่อได้ยินเสียงที่ค่อนข้างแ่เบาของฉู่ซินเหยา ฉู่เฮ่าก็ยิ้มแล้วพูดว่า "คนงาม เ้าหาใช่คนจากตระกูลฉู่เราไม่ เหตุใดต้องอยู่กับเ้าขยะนี้ด้วย? มิสู้ตามข้ากลับตระกูลหลัก รับรองว่าเ้าจะมีชีวิตที่ดีกว่าทุกวันนี้แน่นอน ฮ่าๆ!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ฉู่เฮ่าก็เห็นฉู่ซินเหยาที่ดูเหมือนดอกไม้ปรากฏอยู่ตรงหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือขวาออกไป พยายามเชยคางที่บอบบางของนางขึ้น
“เ้ากำลังทำอะไร!” ฉู่อวิ๋นจ้องมองด้วยความโกรธและรีบปกป้องฉู่ซินเหยาที่อยู่ข้างหลัง
"ว้าว--"
ทันใดนั้น แสงสีทองแวววาวก็ส่องประกายผ่านความว่างเปล่า เห็นเพียงฉู่เฮ่ากำลังสูบบ้องยา ไม่ทันมองเขาที่ดึงกระบี่ยาวออกมาแล้วชี้ไปที่คอของฉู่อวิ๋น
ฉู่อวิ๋นกอดเอวเรียวของฉู่ซินเหยา ก้าวถอยกลับอย่างรวดเร็ว เขาโซเซจนเกือบจะล้ม
เมื่อเห็นท่าทางของฉู่อวิ๋นที่ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม ฉู่เฮ่าก็เก็บกระบี่ยาวของตนกลับมาอย่างภูมิใจและหัวเราะเสียงดัง : "ฮ่าๆ ดูสิ! เ้าไร้ประโยชน์เสียจนไม่อาจป้องกันตัวเองได้ จะเป็ผู้นำตระกูลย่อยหรือ เ้ามีสิทธิ์อันใด?”
“นอกจากนี้ ตระกูลย่อยของเ้าก็เป็เพียงเรือนๆ หนึ่งของตระกูลฉู่ เป็เพียงกลุ่มก้อนไร้ประโยชน์กลุ่มหนึ่ง มีอันใดให้คำนึงถึงกัน?”
"เ้า!"
เมื่อได้ยินฉู่เฮ่าดูถูกคนของตนเอง จู่ๆ ฉู่อวิ๋นที่โกรธและกำลังเริ่มทะเลาะวิวาทก็รับรู้ถึงความอบอุ่นที่แขนซ้าย
เป็ฉู่ซินเหยาที่เกาะแขนซ้ายของเขาไว้แน่น นางส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อบอกไม่ให้เขาเคลื่อนไหวอย่างหุนหันพลันแล่น
จากการฝึกฝนของฉู่อวิ๋น หากเผชิญหน้ากับฉู่เฮ่าซึ่งอยู่ในระดับสามของขั้นขอบเขตควบแน่นพลังปราณ ก็เหมือนกับการเอาไข่ไปกระทบหิน
“หึ ไอ้ขี้แพ้ อีกสามวันข้าจะมาใหม่ ถ้าถึงวันนั้นแล้วข้ายังเห็นโลงศพรกตาพวกนี้และเ้าอยู่ล่ะก็ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ!”
“และแน่นอน ซินเหยา หากเ้ายินยอม ข้าจะปฏิบัติต่อเ้าอย่างสุภาพและเชิญให้เ้ามาอยู่ในความปกครองของข้าด้วยความเคารพ ฮ่าๆ !”
หลังพูดจบ ฉู่เฮ่าก็หันไปพูดคุยและหัวเราะกับสมุนรับใช้สองคนด้านหลัง แล้วหันหลังจากไป
ฉู่อวิ๋นจ้องมองที่แผ่นหลังของฉู่เฮ่า ความโกรธ ความไม่พอใจในดวงตาของเขาคล้ายจะะเิออกมา หมัดที่กำแน่นของเขาแข็งเกร็ง ทำให้เล็บที่แหลมคมเจาะลึกเข้าไปในฝ่ามือหนา บาดผิวเนื้อจนเืหลั่งออกมา
ในเวลานี้ ิญญายุทธ์กระบี่หักที่ซ่อนอยู่ในทวารรับแสงศักดิ์สิทธิ์ระหว่างคิ้วของฉู่อวิ๋นฉายแสงสีดำจางๆ แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
------------------------
[1] 公斤 (gōngjīn กงจิน) มีน้ำหนักเท่ากับ 1 กิโลกรัม
[2] กู่ฉิน หรือพิณ 7 สาย มีอายุมากกว่า 3,000 ปี ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “าาแห่งเครื่องดนตรีจีน”
[3] 斤 (jīn, จิน) มีน้ำหนักเท่ากับ 500 กรัม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้