น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจราวกับภรรยาตัวน้อยของเขา ทำให้ในใจของเมิ่งอู่ปรารถนาจะปกป้องเขาอย่างแรงกล้า นางยื่นมือไปลูบไล้วงหน้าเขาอย่างมีความสุข ยิ้มสดใส กล่าวว่า "อย่ากลัวเลย ข้าชอบเ้า"
อินเหิงมองอาอู่ ใบหน้าซีดเซียวมีเืฝาดเล็กน้อยคล้ายถูกฉีดด้วยพลังชีวิต เขากล่าวว่า "อาอู่ เ้าช่างดีจริงๆ"
เสียงแหบพร่านิดๆ ดังก้องในหูของเมิ่งอู่ นางรู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว นุ่มนวลละมุนละไมอยู่บ้าง ฟังแล้วราวกับหูของนางจะตั้งครรภ์เสียอย่างนั้น!
เดิมทีนางคิดว่าตนเองเก็บบัวลอยขาวลูกใหญ่ทั้งนุ่มทั้งเหนียวกลับมาได้ ต่อมาถึงเพิ่งเข้าใจว่า ไส้บัวลอยนี้เป็ไส้งาบริสุทธิ์ ดำและมันเยิ้ม [1] !
หลังเปลี่ยนยาให้อินเหิงเสร็จแล้ว เมิ่งอู่จึงนำสมุนไพรที่นางเก็บกลับมาตรวจนับ คาดไม่ถึงว่าใต้กองสมุนไพรมีกระต่ายป่าตัวหนึ่ง
นางรีบไปหยิบมีดจากห้องครัวก่อนลงมือถลกหนัง และควักเครื่องในอย่างชำนิชำนาญ นางเซี่ยที่ยืนมองอยู่ด้านข้างหมดคำพูด บางครั้งยังทนมองตรงๆ ไม่ได้ชั่วขณะ
เมิ่งอู่ใส่เนื้อกระต่ายที่ชำแหละเรียบร้อยแล้วลงหม้อ ยังเติมสมุนไพรที่ช่วยบำรุงชี่และเืลงไปด้วย
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ดวงตะวันเพิ่งลับขอบฟ้า แสงสายัณห์สาดส่องลานเรือนเล็กๆ ที่เงียบสงบ กลิ่นหอมของเนื้อในหม้อในครัวก็โชยเตะจมูก
นางเซี่ยรู้สึกประหลาดใจอักโข ถามว่า "อาอู่ เ้าไปเอากระต่ายมาจากที่ใด?"
"ย่อมต้องเป็ข้าล่าเองสิเ้าคะ"
"มันวิ่งเร็วขนาดนั้น เ้าไล่ตามมันทันได้อย่างไร?"
เมิ่งอู่แย้มยิ้มแล้วกล่าว “ท่านแม่เคยเห็นเคียวของข้าแล้ว เร็วหรือไม่เ้าคะ"
นางเซี่ยมองเมิ่งอู่ยิ้ม ก่อนลูบศีรษะของนางอย่างรักใคร่เอ็นดู กล่าวว่า "อาอู่ของพวกเรายังเร็วกว่ากระต่ายเสียอีก"
นางคิดว่าสาเหตุที่เมิ่งอู่รู้เื่การแพทย์ ก็เพราะนางต้องขึ้นเขาไปเก็บรวบรวมสมุนไพรรักษาโรคเป็ประจำ และที่นางใช้เคียวได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ ก็เพราะเคยใช้มันทำงานในไร่ในนา ทุกอย่างล้วนเกิดจากการฝึกฝนจนกลายเป็ความเชี่ยวชาญ ขอเพียงนับจากนี้อย่าโดนกลั่นแกล้งรังแกอีกก็ดีแล้ว
มื้อเย็น เมิ่งอู่หยิบชามออกมาสามใบ แม้นางเซี่ยไม่ค่อยยินดีปรีดา แต่ก็ยังตักน้ำแกงเนื้อกระต่ายสามชาม
เมื่อเห็นเมิ่งอู่ยังไม่ได้กินเอง กลับจะยกชามน้ำแกงไปให้คนในห้อง นางเซี่ยก็รั้งนางไว้ เอ่ยว่า "นั่งลง เ้ากินข้าวก่อนแล้วค่อยไป"
เมิ่งอู่เกาหัวอีกครา กล่าวว่า "ท่านแม่ หลายวันมานี้เขามิได้กินอันใดเลยเ้าค่ะ"
นางเซี่ยกล่าว "เขาเป็บุรุษ บุรุษอดอาหารอีกสักพักจะเป็ไรไป เ้าเป็สตรี วันนี้ยุ่งวุ่นวายทั้งวัน สมควรดูแลตนเองให้ดีก่อนถึงจะมีเรี่ยวแรงไปดูแลเขา"
เมิ่งอู่จึงได้แต่นั่งลงกินข้าว
นางเซี่ยเริ่มพร่ำบ่นไม่หยุดราวกับพระถังเซิง [2] เทศนา "หญิงใดที่คิดจะหาสามี สมควรหาบุรุษที่ช่วยแบกรับได้ มีพละกำลังทำงานหนัก หน้าตาดีแล้วมีประโยชน์ใด หากไม่ทำอันใดเลย สุดท้ายผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานในภายภาคหน้าก็คือตัวเ้าเอง"
เมิ่งอู่พยักหน้า "เ้าค่ะ ท่านแม่กล่าวถูกต้อง"
นางเซี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “เ้าดูท่านพ่อของเ้าสิ เขาเป็บัณฑิต ไม่ต้องพูดถึงว่าไม่มีข่าวคราวหลังจากไปแล้ว ยามอยู่ในเรือนยังทำตัวสูงส่ง ไม่เคยลงมือหยิบจับงานบ้าน” นางมองเมิ่งอู่พลางถอนหายใจ “หากไม่มีอาอู่ แม่คงทนมาถึงวันนี้ไม่ได้”
นางเซี่ยหมดใจกับเมิ่งอวิ๋นเซียวนานแล้ว ครานี้ที่เอ่ยถึงเพียงเพราะ้าหยิบยกบทเรียนของตนขึ้นมาตักเตือนเมิ่งอู่ว่าอย่าได้เจริญรอยตามนาง
นางเซี่ยกล่าวกับเมิ่งอู่ “แม่เพียงไม่อยากให้เ้าทนรับความยากลำบาก”
ชีวิตของนางเซี่ยช่างอาภัพ ตลอดชีวิตนี้ต้องประสบพบเจอกับคนตระกูลเมิ่ง และคนตระกูลเมิ่งทุกคนล้วนสุดยอด
หากไม่เอ่ยถึงก็แล้วไป แต่ทันทีที่เอ่ยถึง ความทรงจำที่ถูกปิดผนึกไว้ในสมองของเมิ่งอู่ก็ผุดขึ้นเอง
นั่นเป็อดีตที่ทั้งมืดมนและน่าขยะแขยงจริงๆ
แม้เวลานั้นเ้าของร่างเดิมยังเยาว์วัย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่เข้าใจอะไรเลย
เพียงแค่นึกถึงนางเหอ ความเกลียดชังก็ก่อตัวขึ้นในใจของเมิ่งอู่ นั่นเป็ความเกลียดชังเข้ากระดูกของเ้าของร่างเดิม
นี่ต้องย้อนไปเริ่มต้นจากตอนนางเซี่ยแต่งงาน
ปีนั้นนางเซี่ยเป็บุตรีคนเดียวของอาจารย์เซี่ย แม้ไม่ใช่คุณหนูจากตระกูลใหญ่โต แต่อย่างน้อยก็อ่านออกเขียนได้ รูปโฉมสง่า งดงาม เป็ที่หมายปองของเหล่าหนุ่มน้อยในหมู่บ้าน
ยามนั้นเมิ่งอวิ๋นเซียวเรียนหนังสืออยู่กับอาจารย์เซี่ย เขาสนใจนางเซี่ย อาจารย์เซี่ยจึงบอกให้เขาประสบความสำเร็จในการสอบเสียก่อน แล้วค่อยมาเจรจาเื่งานวิวาห์ภายหลัง
นางเหอทราบแล้วก็ไม่พอใจเหลือคณา ในเมื่อไม่ว่าจะแต่งงานเร็วหรือแต่งงานช้าก็ต้องแต่ง ไยจึงไม่รีบแต่งกลับบ้านมาทำงานบ้านเร็วๆ เล่า?
แท้จริงแล้วการรอจนสอบผ่านเป็ขุนนางแล้วค่อยวิวาห์ ไม่มีอันใดมากไปกว่าอยากจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ พอถึงเวลานั้นนางก็จะได้รับเงินสินสอดก้อนโต!
……….
[1] เปรียบเปรยว่า คนที่ลักษณะภายนอกดูเหมือนอ่อนแอ ใสซื่อ ไร้พิษภัย แต่แท้จริงแล้วอันตราย เ้าเล่ห์มาก
[2] หรือพระถังซัมจั๋ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้