ครั้นเจินกูกูนึกบางอย่างขึ้นได้นางพลันคุกเข่าลงกับพื้น สีหน้าท่าทางนางจริงจังมากขึ้น “บ่าวมิกล้าเพคะ เมื่อครั้นพระนางยังทรงเป็เต๋อหวางเฟย บ่าวผู้นี้คอยปรนนิบัติรับใช้พระนางมาโดยตลอด ความภักดีของบ่าวที่มีต่อพระนาง ฟ้าดินเป็พยานได้ว่าเื่ของพระนางบ่าวเก็บเป็ความลับมาโดยตลอดนะเพคะ”
บรรยากาศเงียบสงบอย่างน่าประหลาดจนใบหน้าเจินกูกูผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อซึมขึ้นเป็ชั้นบางๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮองเฮาอวี่เหวินเอ่ยปากตรัสขึ้นอีกครั้งว่า “เปิ่นกงเชื่อในความภักดีของเ้าอย่างแน่นอน หากมิใช่เ้าเกรงว่าคงเป็หมอหลวงหลิน...”
“หมอหลวงหลินหรือเพคะ?” เจินกูกูตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้ “บางทีข่าวที่รั่วไหลออกไปอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเื่เมื่อคืนก็ได้นะเพคะ”
“ไม่ผิดนักมีใครบางคนใช้ประโยชน์จากเื่นี้...” เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเด็กน้อยคนนั้นดังก้องอยู่ภายในหูของฮองเฮาอวี่เหวิน ในยามนี้ นางได้สติกลับคืนมาแล้ว จึงสงบนิ่งยิ่งขึ้นเป็ทวีคูณ
“ความหมายของฮองเฮาคือ...” เจินกูกูเข้าใจอะไรบางอย่าง ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย “ทว่าหมอหลวงหลินลาออกจากการเป็ขุนนางไปนานแล้วนะเพคะทั้งตระกูลก็ย้ายออกจากเมืองชุ่นเทียนแล้ว...”
“ออกจากเมืองชุ่นเทียนแล้วอย่างไรเล่า? ตราบใดยังมีคนยังมีใจเื่อะไรจะรู้มิได้กันเล่า?” น้ำเสียงของฮองเฮาอวี่เหวินยิ่งเพิ่มพูนความเย็นเยียบ
“เช่นนั้นบ่าวจะให้คนไปสืบดูว่าเป็ผู้ใดเพคะ...”
“ไม่ต้อง”
เจินกูกูยังมิทันได้เอ่ยจบกลับถูกฮองเฮาอวี่เหวินเอ่ยตัดบทขึ้นอย่างเ็า ดวงตาสองข้างที่ปิดอยู่ฉับพลันนั้นเปิดขึ้นทันที “ต่อแต่นี้ห้ามกล่าวถึงเื่นี้อีก ส่วนจะเป็ผู้ใด...”
ฮองเฮาอวี่เหวินมิได้เอ่ยต่อ ทว่ากลับมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งผุดขึ้นในหัวนาง
นอกจากนางจะเป็ผู้ใดได้อีก
ถึงกับ้าชีวิตนางอย่างอดรนทนมิได้เลยหรือ?
“ต่อไปภายภาคหน้าเกรงว่าวังหลวงแห่งนี้คงมิอาจสงบสุขเช่นนี้ได้อีก”
ฮองเฮาอวี่เหวินบ่นพึมพำ เพราะครานี้นางพลาดพลั้งเกรงว่าคงต้องมีครั้งหน้าอีกแน่!
ในวังหลวงแห่งนี้ซ่อนเร้นระลอกคลื่นสาดซัด[1] ทว่านางเองก็รู้ระหว่างตนและนาง ท้ายที่สุดจะต้องเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น!
เหนียนยวี่กับองค์หญิงใหญ่ชิงเหอออกจากวังหลวงเหนียนยวี่มองออกได้ทันทีว่าองค์หญิงใหญ่มีคำถามมากมายเกี่ยวกับเื่สวนร้อยสัตว์ในคืนนั้นทว่านางกลับมิไล่ถามซักไซ้เลยสักประโยค
เปลวเพลิงลูกใหญ่ในวังหลวงครานี้ ทั้งเมืองชุ่นเทียนต่างรู้สึกแปลกใจ ทว่าวังหลวงปิดข่าวไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าเปลวเพลิงลูกใหญ่นั้น แท้จริงแล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน
เหนียนยวี่พักอยู่ในตำหนักองค์หญิงใหญ่ชิงเหอทั้งคืน มิได้กลับจวนเหนียนมาสองคืนไม่รู้ว่าคนในจวนเหนียนจะรู้ถึงการหายตัวไปของนางหรือไม่
และพี่สาวแสนดีที่รักและทะนุถนอมนางผู้นั้น...
ขณะที่เหนียนยวี่นึกย้อนถึงเื่ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงฉีเฉี่ยวมุมปากนางพลันยกยิ้มเย้ยหยันอย่างอดไม่ได้
วันนั้นเหนียนอีหลานมิอาจทำให้ผู้คนประหลาดใจจากความงดงามเช่นที่คาดหวังกระนั้นมือยังมาาเ็เพิ่มอีก เกรงว่า่นี้นางคงรู้สึกไม่สบายใจนัก
นางดูอ่อนโยนวางตัวเหมาะสม ทว่าจิตใจแท้จริงกลับเย่อหยิ่งยโสโอหัง แผนที่คำนวณไว้ล้มเหลว ทั้งยังถูกเล่นงานกลับ นางคงต้องมีใจอยากฆ่าตนแล้วเป็แน่
ณตำหนักองค์หญิงใหญ่
เดิมทีมีงิ้วที่วางแผนไว้ชม ทว่าเนื่องจากอาการาเ็ของเหนียนยวี่ ในที่สุดองค์หญิงใหญ่จึงตัดสินใจเลื่อนออกไปชั่วคราว
แม้เหนียนยวี่จะพักอยู่ที่ตำหนักองค์หญิงใหญ่ทว่าสำหรับคนนอกแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกนาง กลับแปลกประหลาดอย่างเหนือคำบรรยาย
นางพักอยู่ในตำหนักองค์หญิงใหญ่มาสองวัน องค์หญิงใหญ่ชิงเหอกลับไม่เคยมาเยี่ยมนางเลยสักครั้ง คุณหนูรองจวนเหนียนที่พำนักอยู่ในตำหนักองค์หญิงใหญ่ผู้นี้ราวกับคนแปลกหน้าก็มิปาน
ราตรีนี้ พลบค่ำมาเยือน เหนียนยวี่ออกไปนอกตำหนักองค์หญิงใหญ่ ผู้คนพลุกพล่านบนถนนหนทางเหนียนยวี่เดินย่างกรายตามอำเภอใจอย่างไร้จุดหมาย
ทันใดนั้น มีรถม้าคันหนึ่งหยุดอยู่ด้านนอกของร้านยา เมื่อเห็นคนที่กำลังลงจากรถม้า เหนียนยวี่ใเล็กน้อย
เป็เขา!
องครักษ์คนนั้นของอูเสียนอ๋องแห่งหนานเยวี่ย ยามนี้ชายคนนั้นกลับแต่งตัวเป็ชายหนุ่มแคว้นเป่ยฉี
เขา...เมื่อนึกถึงตัวตนที่แท้จริงของชายคนนี้ เหนียนยวี่แทบจะชะงักฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่เหนียนยวี่ตกตะลึง ชายคนนั้นเดินเข้าไปสำนักแพทย์เขา...เขาไปทำอะไรในสำนักแพทย์? ไปรับยาหรือ?
เดิมเหนียนยวี่เองอยากจะเข้าไปด้วยทว่าเพียงครู่เดียว ชายคนนั้นก็เดินออกมาแล้ว ในมือว่างเปล่าไร้สิ่งใดเร่งรีบขึ้นรถม้าจากไปอย่างรวดเร็ว
ความประหลาดของชายผู้นี้ทำให้เหนียนยวี่สังหรณ์ใจไม่ดี เหนียนยวี่มองรถม้าที่เคลื่อนหายไปจากสายตา หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งนางหันหลังก้าวฝีเท้าเข้าไปในสำนักแพทย์นั้น
“ชายเมื่อครู่นี้มารับยาอะไรหรือ?” เหนียนยวี่เดินไปยังหน้าโต๊ะจ่ายยา เอ่ยถามเด็กรับใช้ที่ถือใบเทียบยา
เด็กรับใช้ผงะไปครู่หนึ่งตอบกลับอย่างเสียงดังฟังชัดว่า “ท่านกำลังพูดถึงบุรุษท่าทางแปลกๆ คนเมื่อครู่หรือขอรับ”
บุรุษท่าทางแปลกๆ อย่างนั้นหรือ?
ในสายตาของเด็กรับใช้ก็คิดว่าชายคนนั้นดูพิกลเหมือนกัน
เด็กรับใช้ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นต่อ “เขาไม่ได้เอายาอะไรไปเลยขอรับ เขายืนอยู่ที่ตำแหน่งที่ท่านยืนอยู่ตอนนี้ ทำท่าเหมือนกำลังสูดดม ข้าจึงถามเขาว่า้าอะไร เขาก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ แล้วก็เดินออกไปเลยขอรับ”
เมื่อได้ฟังเด็กรับใช้เล่าเหตุการณ์เมื่อครู่เหนียนยวี่กลับยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
สูดดม?
เขากำลังหาอะไรบางอย่างอยู่?
ดวงตาเหนียนยวี่ลุกวาว กลิ่นยาสมุนไพรจางๆ ลอยมาแตะปลายจมูก ชื่อของยาพวกนั้นแวบเข้ามาในหัวของนางทีละชื่อ
ยาที่ชายผู้นั้นตามหาที่นี่ไม่มีอย่างนั้นหรือ?
สำนักแพทย์แห่งนี้ขาดยาสมุนไพรค่อนข้างเยอะทีเดียว...
เหนียนยวี่ขมวดคิ้วรู้ว่าตนคงมิอาจหาคำตอบจากที่นี่ได้ จึงเดินออกจากสำนักแพทย์...
ครั้นเมื่อเหนียนยวี่เดินมาถึงจวนเหนียน พลางจ้องมองประตูใหญ่ของจวน นางรู้สึกแปลกใจตัวเองเช่นกันว่าเหตุใดถึงพาตัวเองมาที่นี่
เหนียนยวี่ยักไหล่กำลังจะเดินจากไปพอดี กลับเห็นฟางเหอก้าวย่างเดินออกมาจากมุมถนนอย่างลับๆ ล่อๆ
เหนียนยวี่งงงันเล็กน้อย ภายใต้ความมืดมิดยามราตรีแอบซ่อนตัวอยู่หลังหินสลักรูปราชสีห์ มองดูฟางเหอผ่านเข้าประตูจวนเหนียน
ฟางเหอเป็สาวใช้ของเหนียนอีหลานดึกดื่นค่ำคืนเยี่ยงนี้ นางทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ มีเื่อะไรดีๆ อย่างนั้นหรือ
นึกถึงคุณชายฉินอันบุตรชายเ้าเมืองคนนั้น ดวงตาของเหนียนยวี่พลันเข้มขึ้นนางอยากจะชมดูเหลือเกินว่าหนึ่งนายหนึ่งบ่าวสองคนนี้ กำลังเตรียมการทำอะไรกันแน่
เหนียนยวี่ไม่ได้เข้าทางประตูหน้าของจวนทว่าเข้าทางประตูหลังที่ไร้ซึ่งผู้คน
จวนเหนียนยามค่ำคืนนอกจากหออี๋ชุนและเรือนหรูอี้ที่มักได้ยินเสียงร้องะโของเหนียนเฉิงดังลั่นออกมาแล้วตรงอื่นล้วนเงียบสงบ
ณลานเซียนหลาน
แสงไฟในห้องของเหนียนอีหลานดับลงแล้วฟางเหอเข้าไปในลานเซียนหลาน เพียงชั่วครู่หนึ่งกลับเร่งรีบออกมาอย่างรีบร้อนเหนียนยวี่เห็นนางกำลังถืออะไรบางอย่างในมือ สีหน้าท่าทีลนลานตื่นตระหนกย่ำฝีเท้าอย่างรีบเร่ง
เหนียนยวี่เดินตามหลังนางนึกไม่ถึงว่าฟางเหอจะลงไปยังห้องสาวใช้
ไม่เพียงแค่นั้นเหนียนยวี่มองประตูบานนั้นที่นางผลักเปิดเข้าไป ก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ นั่นมิใช่ห้องเก่าที่นางเคยอยู่เมื่อก่อนหรือ?
เหนียนยวี่ตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางเดินไปที่ประตู มองผ่านช่องว่างของหน้าต่าง เห็นฟางเหอคุกเข่าอยู่บนพื้น มีถังทองแดงใบหนึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าของนาง ในถังทองแดงใบนั้นเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้บนกระดาษเงินกระดาษทอง
เหนียนยวี่เลิกคิ้ว เพราะเหตุใดฟางเหอผู้นี้ถึงมาเผากระดาษเงินกระดาษทองในห้องที่นางเคยอาศัย?
ทันทีที่คำถามนี้ผุดขึ้นในหัว เพียงชั่วครู่เดียว คำตอบพลันแวบเข้ามา...
“เหนียนยวี่...ไม่สิคุณหนูรอง...” เสียงของฟางเหอแฝงอารมณ์สั่นไหวเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ตั้งใจท่านตายไปแล้วอย่ามาหาข้าเลย......ข้าจะเผากระดาษเงินกระดาษทองมากมายเหล่านี้ไปให้ท่านหากท่านอยู่ในปรโลก อย่างไรเสียขอให้ท่านอยู่ดีกินดี ยังมี...เสื้อผ้าของท่านด้วย ข้าไปที่ห้องของท่านเพื่อเอามาเผาส่งไปให้ท่านขอร้องเถิดเ้าค่ะ...อย่ามาเข้าฝันข้าเลย อย่ามาหาข้าเลยนะเ้าคะ...”
[1]ระลอกคลื่นสาดซัดหมายถึงวุ่นวาย ปั่นป่วน