“ทำได้ดี!”
มู่ขวงยิ้มเยาะ จากนั้นเขาก็ปล่อยหมัดโต้กลับไปทางเฉินเฉียงเช่นกัน และเพราะหมัดนี้ถูกอัดแน่นไว้ด้วยพลังปราณกับพละกำลังอันแข็งแกร่งของเขา มันจึงกลายเป็หมัดที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
เปรี้ยง...!
กร๊อบ...!
หลังจากเสียงปะทะกันของพลังดังสนั่นขึ้น เสียงกระดูกแตกหักก็ดังตามมาทันที กระดูกของเฉินเฉียงถูกกำปั้นเมื่อครู่ของมู่ขวงทุบทำลายจนแตกหัก นอกจากนี้พลังอันรุนแรงของหมัดนั้นยังพุ่งกระแทกร่างของเฉินเฉียงจนปลิวกระเด็นไปชนกับกำแพง ทำให้เขากระอักเืออกมาทันที กระทั่งกำแพงยังปรากฏรอยแตกร้าว
“อัก…”
“อ๊าก…”
เหล่าบัณฑิตจากเทียนเฟิงกว่าสิบคนนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นพร้อมกับร้องโอดโอยออกมา แต่ละคนต่างก็ถูกมู่ขวงหักกระดูกไปหลายท่อน
ในขณะที่ผู้คนรอบๆ กำลังมองมู่ขวงด้วยความใ เพราะพลังปราณจากหมัดที่เขาปล่อยออกมาเมื่อครู่คือวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ด!
เขายังเป็เพียงบัณฑิตหน้าใหม่เท่านั้น คาดไม่ถึงว่าเขาจะมีวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ดแล้ว!
ในบรรดาพวกเขาสามคน วรยุทธ์ของไป๋จื่อเยว่คือระดับจื่อฝู่ขั้นแปดเท่ากับของมู่เฟิง ส่วนวรยุทธ์ของมู่ขวงนั้นอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ด
มู่ขวงเดินเข้าไปหาเฉินเฉียง ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังมองมาทางเขาด้วยความหวาดกลัว เขาขยับถอยจนแผ่นหลังชิดกับกำแพง
มู่ขวงคว้าคอเสื้อของเฉินเฉียงก่อนยกร่างของอีกฝ่ายจนลอยขึ้นมา จากนั้นเขาก็ลากตัวอีกฝ่ายเดินไปหยุดตรงหน้ามู่เฟิง
“พี่เฟิง จะจัดการกับคนผู้นี้อย่างไรดีขอรับ”
มู่ขวงยกร่างของเฉินเฉียงขึ้นขณะเอ่ยถาม
“พวกเ้ากล้าแตะต้องข้า พี่ชายข้าจะไม่มีวันปล่อยพวกเ้าไปแน่ พี่ชายของข้าเป็ถึงศิษย์สายในของสำนักศึกษาเชียวนะ”
เฉินเฉียงกล่าวอย่างขุ่นเคือง
มู่เฟิงหยัดกายลุกขึ้น เขาจ้องมองเฉินเฉียงก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเ็า “เดิมทีทุกคนมาที่นี่ก็มาเพื่อศึกษาและฝึกฝนวรยุทธ์ ข้าเองก็ไม่ได้คิดจะนำเอาบุญคุณความแค้นที่เกิดขึ้นภายนอกเข้ามาในสำนักศึกษาเช่นกัน แต่ในเมื่อเ้า้า ข้ามู่เฟิงจะสนองให้เ้าเอง มู่ขวง หักแขนข้างหนึ่งของเขา”
มู่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเื
“ขอรับ”
มู่ขวงยิ้มกว้าง ก่อนจะทำการบิดแขนข้างหนึ่งของเฉินเฉียงอย่างรุนแรง
“อ๊าก…!”
ใบหน้าของเฉินเฉียงพลันบิดเบี้ยวด้วยความเ็ป เสียงกรีดร้องของเขาดังก้องไปทั่วชั้นเรียน แขนข้างหนึ่งของเขาถูกมู่ขวงออกแรงบิดจนหัก
มู่ขวงโยนร่างของเฉินเฉียงออกไปด้านข้างราวกับโยนไก่ตัวหนึ่ง
“ช่างโหดร้ายยิ่งนัก”
เหล่าบัณฑิตที่กำลังล้อมวงดูสถานการณ์ต่างก็มองไปยังเด็กหนุ่มผมขาวผู้มีใบหน้าเ็าด้วยความหวาดกลัว
“กลับไปบอกพี่ชายอะไรนั่นของเ้าเถอะว่าข้ามู่เฟิงรอเขาอยู่ที่นี่”
มู่เฟิงนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น
เหล่าบัณฑิตจากเทียนเฟิงกว่าสิบคนช่วยกันประคองร่างของกันและกันขึ้นจากพื้น แต่ละคนต่างก็หันมามองทางพวกมู่เฟิง ก่อนจะรีบจากไปอย่างทุลักทุเล
“ฮ่าๆ ได้ระบายความโกรธแล้ว”
“ถูกต้อง เสียงกรีดร้องของเ้าลูกเต่าพวกนั้นช่วยคลายโทสะได้ไม่น้อย”
บรรดาศิษย์ตระกูลมู่ต่างก็หัวเราะออกมาเสียงดัง พวกเขาหันไปมองทางมู่เฟิงสลับกับมู่ขวงด้วยความชื่นชม
“พี่เฟิง พวกเราต้องไปขอความช่วยเหลือจากพี่หลิงเอ๋อร์หรือไม่? หากพวกเราต้องเผชิญหน้ากับศิษย์สายในจริงๆ เกรงว่าพวกเราคงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
มู่เถี่ย หนึ่งในบรรดาศิษย์ตระกูลมู่เอ่ยถามขึ้น
“ไม่จำเป็ ในเมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดด้วยตัวเอง อย่าได้ขอให้คนอื่นเขามาช่วยเสียทุกเื่ หากไม่สามารถเอาชนะได้ก็สมควรโดนทุบตีเสียบ้าง ถ้าไม่อยากถูกรังแกก็ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น”
มู่เฟิงส่ายหน้า เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่ออ้อนวอนให้ผู้อื่นคุ้มครอง เขามาเพื่อท้าทายคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า เพื่อที่ตัวเองจะได้แข็งแกร่งขึ้นอีกระดับ
เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์ตระกูลมู่คนอื่นๆ ต่างก็หน้าแดงด้วยความอับอาย จากนั้นพวกเขาก็ปักหลักรออีกฝ่ายอยู่ที่นี่
แม้แต่บัณฑิตหน้าใหม่คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครคิดจะจากไปไหน พวกเขากำลังรอชมความสนุกสนานที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ผู้บรรยายสาวสวยเดินเข้ามาหากลุ่มของมู่เฟิง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “พวกเ้ามาจากที่ใดอย่างนั้นหรือ?”
“เรียนผู้ชี้แนะ พวกเรามาจากอาณาจักรหนานหลิงของรับ”
มู่เฟิงลุกขึ้นตอบ
“ข้ามีนามว่าถานซิ่ว เป็คนของอาณาจักรหนานหลิงเช่นกัน ข้าเป็บัณฑิตชั้นปีที่สี่ของเทียนอวิ่น ในฐานะคนบ้านเกิดเดียวกัน ข้าอยากแนะนำว่าในระหว่างที่อยู่ที่นี่เ้าควรหลีกเลี่ยงการปะทะกับผู้คนของอาณาจักรเทียนเฟิงจะดีกว่า เพราะกองกำลังของบัณฑิตจากเทียนเฟิงถือเป็กองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในสำนักศึกษาเทียนอวิ่น”
คำเตือนของถานซิ่วนี้ถือเป็เื่ปกติที่บัณฑิตรุ่นพี่จะแนะนำให้กับบัณฑิตรุ่นน้อง ถึงอย่างไรพวกเขาก็ได้รับคะแนนเรียนจากอีกฝ่าย
มู่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น จากนั้นเขาก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ถานซิ่วที่ช่วยเตือนขอรับ แต่หากยอมอดกลั้นไปเสียทุกอย่าง เช่นนั้นข้าว่าการฝึกก็คงไม่มีอะไรน่าสนใจ”
ถานซิ่วดูไม่สบอารมณ์เล็กน้อย นางอุตส่าห์เตือนด้วยความหวังดี แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับฟัง
“ไม่ว่าเ้าจะเป็ใคร ในเมื่อยังเป็เพียงบัณฑิตใหม่ เ้าก็ควรเรียนรู้ที่จะอดทนอดกลั้น หากประสบความลำบากแล้วก็จะโทษใครไม่ได้”
กล่าวจบถานซิ่วก็ไม่สนใจพวกมู่เฟิงอีก นางเดินหลบไปอยู่ด้านข้างก่อนจะนั่งลง เห็นได้ชัดว่านางยังคงสนใจที่จะรอชมการต่อสู้ที่จะมีขึ้นต่อไป
หลังจากนั้นไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในชั้นเรียนด้วยท่าทางฮึกเหิม ที่ด้านหลังของพวกเขามีกลุ่มบัณฑิตของเทียนเฟิงที่เพิ่งถูกมู่ขวงทุบตีเดินตามมาด้วย
คนกลุ่มนั้นใช้เท้าเตะเพื่อเปิดประตูเข้ามาทำให้เกิดเสียงประตูดังขึ้น และทันใดนั้นชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำคนหนึ่งก็ตะเบ็งเสียงออกมาว่า “เมื่อครู่ผู้ใดเป็คนลงมือ?”
“พี่จื้อ เป็ชายผู้นั้น”
เด็กหนุ่มผู้มีผ้าขาวพันมือชี้นิ้วไปทางพวกมู่เฟิงก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงเ็า
ชายผู้นั้นเหลือบตามองพวกมู่เฟิงด้วยสายตาเย็นะเื ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เป็ผู้ใดที่มันทำร้ายน้องชายข้า ไสหัวออกมา!”
มู่ขวงก้าวออกไปข้างหน้า ก่อนจะจ้องมองไปยังชายหนุ่มผู้นั้นและตอบออกไปตามตรงว่า “ข้าทุบตีเขาเอง”
มู่เฟิงเองก็จ้องมองไปทางชายหนุ่มผู้นั้นเช่นกัน อีกฝ่ายมีลักษณะคล้ายคลึงกับเฉินเฉียงอยู่หลายส่วน บนหน้าอกเสื้อของเขามีตราประจำสำนักศึกษาอยู่สามขีด
ชายผู้นี้มีนามว่าเฉินจื้อ เป็บัณฑิตชั้นปีที่สามของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น และเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นหนึ่ง
มู่เฟิงหยัดกายลุกขึ้น เขาจ้องมองอีกฝ่ายก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เป็ข้าที่สั่งให้เขาทำเอง หากว่าพวกเ้าอยากสู้ เช่นนั้นก็ตามมา”
กล่าวจบ มู่เฟิงก็เดินนำออกจากชั้นเรียนไปยังสถานที่ที่เปิดโล่งด้านนอก
เพียงไม่นานกลุ่มบัณฑิตทั้งหมดก็เดินออกจากชั้นเรียนและติดตามมู่เฟิงไปทันที
เฉินจื้อจ้องมองมู่เฟิงอย่างเ็า “ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเดี๋ยวนี้พวกเด็กจากอาณาจักรหนานหลิงจะกล้าทำเื่ไม่มีหัวคิดเช่นนี้ เ้าสั่งให้คนหักแขนน้องชายของข้า เช่นนั้นอีกเดี๋ยวข้าจะหักแขนหักขาของเ้าบ้าง”
“อย่างนั้นก็ลงมือเถอะ อย่าเอาแต่พ่นน้ำลายอยู่เลย”
มู่เฟิงกล่าวอย่างเฉยเมย
“ข้าจะดูว่าเ้าจะปากดีได้อีกนานแค่ไหน”
เฉินจื้อเดือดดาลเป็อย่างมาก เขาดีดฝ่าเท้าทะยานร่างเข้าหามู่เฟิงราวกับลูกศรที่ถูกปล่อยจากคันธนู ร่างกายของเขาแผ่คลื่นพลังปราณสีทองออกมา ฉับพลันนั้นเขาก็ปล่อยหมัดที่มีประกายแสงสีทองส่องสว่างไปทางมู่เฟิงในทันที
คลื่นพลังของหมัดนี้รุนแรงราวกับพายุหมุน อานุภาพพลังของมันก็แข็งแกร่งมากพอที่จะทุบทำลายูเาหินได้เลยทีเดียว
แต่ในตอนนั้นเองเฉินจื้อกลับเกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย เขากลัวว่าหมัดนี้ของเขาจะสังหารมู่เฟิง
เมื่อหมัดนี้ปรากฏขึ้น คลื่นความแข็งแกร่งที่ถาโถมเข้ามาก็ทำให้ใบหน้าของมู่เฟิงรู้สึกแน่นตึงขึ้นมา แน่นอนว่าเขาไม่กล้าประมาทคู่ต่อสู้ เพราะถึงอย่างไรวรยุทธ์ของอีกฝ่ายก็เหนือกว่าเขาหนึ่งระดับ
พลังปราณเพลิงภายในร่างของเด็กหนุ่มเดือดพล่านขึ้นมาทันที จากนั้นมันก็หลั่งไหลเข้าสู่กำปั้น และกลายเป็หมัดทึ่รวบรวมพลังปราณจากมวลคลื่นพลังสามลูกมาไว้ในหมัดเดียว
“ะเิหมัดเก้าเพลิงสุริยา ไฟกัลป์!”
หมัดที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงเข้มพุ่งทะลวงออกมาทันที
เปรี้ยง...!
เมื่อหมัดทั้งสองปะทะกัน คลื่นพลังะเิก็สาดซัดออกไปรอบๆ เฉินจื้อพลันประหลาดใจขึ้นมา ร่างของเขาผงะถอยออกไปสองก้าว ในขณะที่มู่เฟิงเองก็ถอยหลังออกไปหลายก้าวเช่นกัน
“วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ชั้นแปด!”
หลายคนอุทานออกมาด้วยความใ หลังได้รู้ถึงวรยุทธ์ของมู่เฟิง
“เป็ไปได้อย่างไร เขายังเป็เพียงบัณฑิตหน้าใหม่ไม่ใช่หรือ นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมีวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นแปดแล้ว เขาฝึกฝนมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?”
บัณฑิตผู้หนึ่งที่มีวรยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้ากล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึง
“นึกไม่ถึงว่าเขาจะสามารถรับมือหมัดนี้ของเฉินจื้อได้!”
กระทั่งเฉินจื้อยังถอยหลังออกมาด้วยความใเช่นกัน
วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่และระดับหนิงกังนั้นมีช่องว่างความต่างของความแข็งแกร่งที่ห่างไกลกันมาก
การควบแน่นพลังชีวิตนั้นจะไม่สลายไปเหมือนกับพลังปราณ พลังชีวิตมีแก่นพลังและสามารถกำเกิดเป็รูปร่างได้ ส่วนพลังปราณเองก็มีแก่นพลังเช่นกันแต่ทว่าไร้รูปร่าง ดังนั้นพลังโจมตีของมันจึงไม่อาจเทียบกับพลังชีวิตได้ และการะเิพลังของเขายังเหนือกว่าคนทั่วไปที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น อานุภาพทักษะพลังปราณของเขายังเป็สิ่งล้ำลึกอย่างยิ่งอีกด้วย
แววตาของเฉินจื้อพลันเปลี่ยนเป็เ็า จากนั้นเขาก็โจมตีไปทางมู่เฟิงอีกครั้ง หากวันนี้เขาไม่สามารถจัดการกับบัณฑิตใหม่ผู้นี้ได้ มันจะไม่เป็การตบหน้าตัวเองหรอกหรือ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้