หลินกู๋หยู่เอื้อมมือออกไปแตะที่ศีรษะของโต้ซา “เช่นนี้จะดีได้อย่างไร ?"
หลินกู๋หยู่วางโต้ซาลงบนพื้นข้างๆ จากนั้นเด็ดดอกสายน้ำผึ้งแล้วเดินตรงเข้าไปในบ้าน
ฉือหางเดินตามไป เมื่อเห็นว่าหลินกู๋หยู่กำลังจะต้มน้ำ เขาจึงรีบช่วยจุดเตา
ขณะที่รอให้น้ำเดือด นางหันไปพูดฉือหางที่อยู่ข้างๆ "เ้าวางใจขนาดปล่อยให้เขาทานอาหารรสเผ็ดร้อนเช่นนั้นหรือ?"
เมื่อได้ฟังดังนั้น ฉือหางก็ก้มหน้าลงช้าๆ รู้สึกกระดากอายเล็กน้อย
หลินกู๋หยู่มองท่าทีของเขาแล้วก็คิดขึ้นมาได้ นางรู้ว่าคนเป็พ่อมักจะประมาทเลินเล่อเสมอ
“ไม่เป็ไร หลังจากเขาดื่มชาดอกสายน้ำผึ้งก็จะหายร้อนแล้ว” หลินกู๋หยู่รู้สึกว่าตัวเองอาจจะพูดมากเกินไปจึงยิ้มบาง “วันข้างหน้าจำไว้ให้ขึ้นใจก็เพียงพอแล้ว”
โต้ซาเป็ลูกของเขา ตัวเขาเองก็ควรเรียนรู้ที่จะดูแลลูกให้ดี
หลินกู๋หยู่หยิบเสื้อกั๊กที่เย็บเกือบจะเสร็จแล้วออกมา เรียกโต้ซาเข้ามาหา
นางช่วยโต้ซาสวมเสื้อกั๊ก นี่เป็ครั้งแรกของหลินกู๋หยู่ในการเย็บเสื้อผ้า เมื่อเห็นว่าโต้ซาใส่ได้พอดีตัว รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กสาวก็เป็ประกายสดใส
"ใส่ได้พอดีตัว" หลินกู๋หยู่มองโต้ซาด้วยรอยยิ้ม บอกให้โต้ซาหมุนตัว "เสื้อส่วนด้านหลังก็พอดีตัวมากเช่นกัน"
ฉือหางเดินมา เอื้อมมือไปแตะเสื้อกั๊กของโต้ซาครู่หนึ่ง "ด้านในเป็ขนเป็ดและขนห่านงั้นหรือ?"
“ทั้งหมดเป็ขนห่าน” หลินกู๋หยู่พูดด้วยความพึงพอใจ “เ้าอาจจะคิดว่ามันบาง แต่มันอบอุ่นมากนะ”
เมื่อมองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินกู๋หยู่ ฉือหางไม่ได้เอ่ยวาจาใด เขาคิดว่าถ้าอากาศหนาว เขาก็แค่เข้าเมืองไปซื้อเสื้อคลุมผ้าฝ้ายก็ได้แล้ว
“ร้อน” โต้ซาบ่นพึมพำ เงยหน้าขึ้นมองหลินกู๋หยู่อย่างน้อยใจ
"เอาละ ไม่เป็ไรแล้ว" หลินกู๋หยู่รีบช่วยโต้ซาถอดเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาออก พูดสิ่งที่คิดไว้อย่างตื่นเต้นว่า "ข้าจะทำเสื้อคลุมทั้งตัวให้เ้า เป็เสื้อที่ห่อตัวเ้าทั้งตัว"
เมื่อคิดถึงเื่นี้ หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองฉือหางแวบหนึ่ง "พรุ่งนี้เราไปซื้อผ้ากัน"
“ตกลง” ฉือหางเอ่ยตอบด้วยเสียงราบเรียบ
หลินกู๋หยู่เก็บเสื้อผ้าเรียบร้อย จากนั้นยกตะกร้าอุปกรณ์เย็บผ้าเข้าไปในบ้าน
สักพักน้ำในหม้อก็เดือดปุดๆ
หลินกู๋หยู่ใส่ดอกสายน้ำผึ้งในน้ำเล็กน้อย กลัวว่าโต้ซาจะคออ่อนเกินไปและฤทธิ์ความเย็นของดอกสายน้ำผึ้งจะมากเกินไป
หลังจากรอให้ชาเย็นลงเล็กน้อย หลินกู๋หยู่ก็นำมันไปให้โต้ซาดื่ม
เช้าวันถัดมา ฉือหางอุ้มโต้ซา หลินกู๋หยู่เดินตามเขา คนทั้งสามมุ่งสู่ตัวเมือง
ฉือหางส่งหลินกู๋หยู่และโต้ซาที่ทางเข้าโรงหมอ ส่วนตนเองออกไปหางานทำ
เมื่อลู่จื่อยู่เห็นหลินกู๋หยู่มาถึง ความประหลาดใจก็ฉายวาบขึ้นในดวงตาของเขา "พี่ฉืออาการดีขึ้นหรือยัง?"
"ตอนนี้เหลือแผลเป็แล้ว ไม่มีอะไรร้ายแรง" หลินกู๋หยู่ต้องยอมรับจริงๆ ว่าสุขภาพของฉือหางดีมาก ถ้าเป็คนอื่นอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะหาย เมื่อวานนี้เขาอุ้มโต้ซาเข้าเมืองก็ไม่มีปัญหาใด
“เช่นนั้นก็ดี” ลู่จื่อยู่มองโต้ซาในอ้อมแขนของหลินกู๋หยู่ด้วยรอยยิ้มว่า “สองสามวันนี้ที่โต้ซาไม่มา คนเ่าั้เอาแต่พูดถึงเขา”
หลินกู๋หยู่เดินตามลู่จื่อยู่ไปที่สวนหลังบ้าน ส่งโต้ซาให้เด็กตากยา จากนั้นเดินตามเขาไปที่ห้องโถงด้านหน้า
ในห้องโถงโรงหมอมีผู้ป่วยจำนวนมาก หลินกู๋หยู่เห็นผู้ป่วยรายแรกที่นางตรวจรักษาด้วยสายตาที่เฉียบคม
“เ้าเป็อย่างไรบ้างแล้ว?” วันนี้หลินกู๋หยู่ยังคงอยู่ในชุดบุรุษ มัดผมไว้ด้านหลังศีรษะ นางจับแขนของเด็กที่เป็โรคหัดคนนั้น
พอแม่ของเด็กคนนั้นเห็นหลินกู๋หยู่ก็ออกอาการตื่นเต้น พวกเขาผงกศีรษะด้วยรอยยิ้มอย่างฉับพลัน "หมอหลิน ลูกของข้าใกล้จะหายเป็ปกติแล้ว ข้ากับพ่อของเขาคิดว่ายาใกล้จะหมดแล้วเราจึงมาที่นี่ ประจวบเหมาะจะได้ให้ลูกตรวจอาการที่นี่ด้วย"
เมื่อได้ฟังดังนั้น หลินกู๋หยู่ก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย เริ่มจับชีพจรของเด็กอย่างจริงจัง
“ใกล้จะหายดีแล้ว แค่ทานยาตามใบสั่งยาเดิมอีกสองสามวันก็จะหายเป็ปกติ” หลินกู๋หยู่มองผู้หญิงคนนั้นด้วยแววตาที่อ่อนโยน “ดื่มน้ำให้มาก ออกไปเดินให้มาก รักษาความสะอาดไว้ เช่นนี้จะได้หายเป็ปกติโดยเร็ว"
“อื้ม ใช่ๆ” ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าและเดินไปที่ห้องยาเพื่อรับยาตามใบสั่งที่หลินกู๋หยู่เคยให้ไว้ ด้วยความขอบคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้
ยาที่หลินกู๋หยู่แจ้งไว้เป็ยาสามัญทั่วไปและราคาก็ไม่แพงมาก คนทั่วไปสามารถจ่ายได้
หลังจากผ่าน่เช้าที่ยุ่งเหยิง หลินกู๋หยู่ทานข้าวที่โรงหมอในตอนเที่ยง แต่นางไม่เห็นฉือหางกลับมา นางคิดว่าเขาอาจจะทานข้าวด้านนอกแล้ว
ในตอนบ่ายในโรงหมอมีคนไม่มากนัก หลินกู๋หยู่ว่างมาก นั่งอยู่หน้าโต๊ะ สายตามองไปที่หนังสือที่ลู่จื่อยู่สะสมไว้
ลู่จื่อยู่นั่งไม่ไกล เขามองหลินกู๋หยู่อ่านหนังสืออย่างเงียบๆ คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินไปหานาง
“เ้าจะไม่คัดมันเก็บไว้หรือ?” ลู่จื่อยู่นั่งบนเก้าอี้ถัดจากโต๊ะของหลินกู๋หยู่ เอ่ยถามด้วยความสงสัย
เด็กสาวมองไปที่พู่กันและกระดาษข้างๆ อย่างร้อนใจ นางเม้มริมฝีปากด้วยความลำบากใจ "ลายมือของข้าไม่สวย"
ลายมือไม่สวยไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญคือ ตัวหนังสือดั้งเดิมเหล่านี้ หลินกู๋หยู่รู้จักหลายตัว แต่นางเขียนไม่เป็
"เ้าสามารถเรียนรู้อย่างช้าๆ ได้" ลู่จื่อยู่หยิบพู่กันข้างๆ ส่งให้นาง "เ้าลองเขียนดูสิ"
หลินกู๋หยู่ฝืนหยิบพู่ มองไปที่ลู่จื่อยู่ปราดหนึ่ง และเขียนคำหนึ่งคำอย่างไม่สบายใจ
ยาสมุนไพร
อย่างไรก็ตาม เพียงสองคำง่ายๆ แต่สำหรับหลินกู๋หยู่นั้นยากสุดขีด คำที่นางเขียนก็กลายเป็แถบหมึกสีดำหนึ่งแถบ
ครั้งแรกที่ลู่จื่อยู่เห็นหลินกู๋หยู่เขียน เขาตกตะลึงอย่างสมบูรณ์
หลินกู๋หยู่วางพู่กันในมือลง ก้มศีรษะลงไม่กล้ามองอีกฝ่าย "เดิมทีอักษรของข้าก็น่าเกลียดจะตายอยู่แล้ว"
ลู่จื่อยู่กระแอมไอในลำคอ "เ้าต้องฝึกฝน ไม่เช่นนั้นเ้าจะเขียนใบสั่งยาได้อย่างไร?"
นางก็อยากที่จะฝึกฝนอยู่หรอก แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่นางทำตามที่นาง้าไม่ได้
ประการแรก ปัญหาเื่พู่กัน หมึก กระดาษ และที่ฝนหมึก ถ้าจะซื้อเครื่องเขียนหนึ่งชุดนี้ ย่อมต้องใช้เงินไม่น้อย
ถึงแม้ในบ้านจะมีเงินอยู่บ้าง แต่เงินเ่าั้จะใช้ไปกับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ นางจะต้องเก็บไว้
“พอจะมีหนังสือคัดลอกหรือไม่?” หลินกู๋หยู่หันศีรษะและมองไปที่ลู่จื่อยู่ “ข้าจะกลับไปฝึกฝน”
ถ้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ นางจะนำพู่กันจากโรงหมอจุ่มน้ำแล้วฝึกเขียนบนโต๊ะ
"มีสิ" ลู่จื่อยู่พูดแล้ว หันหลังกลับและเดินเข้าไปข้างใน
ลู่จื่อยู่หยิบหนังสือคัดลอกออกจากห้องหนังสือ เมื่อก่อนเขาใช้มันฝึกคัดลายมือ
เมื่อเห็นลู่จื่อยู่ใกล้เข้ามา หลินกู๋หยู่ก็ลุกขึ้นรับหนังสือจากมือของเขาอย่างเป็ธรรมชาติ
"ขอบคุณเ้ามาก" หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองลู่จื่อยู่ด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก้มศีรษะลงเปิดสมุดคัดลอกในมือ
เศษผมบริเวณใบหูเลื่อนลงมาอย่างแ่เบา
ฉือหางทำงานขนย้ายสินค้าเป็เวลาหนึ่งวัน เขาคิดว่ายามนี้สายมากแล้วจึงเดินไปที่โรงหมอ
เขายืนอยู่ที่ประตู เฝ้าดูหลินกู๋หยู่มองหนังสือในมือด้วยรอยยิ้มมุมปากจากระยะไกล ลู่จื่อยู่ต่อหน้านาง ดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างสองสามคำ เห็นหลินกู๋หยู่ยิ้มกว้างประดุจบุปผา
หัวใจของฉือหางว่างเปล่า ดวงตาของเขาหลุบลงด้วยความสิ้นหวัง
พวกเขาทั้งคู่รู้หนังสือ กู๋หยู่ชอบเรียนแพทย์ หมอลู่ก็เรียนแพทย์เช่นกัน ทั้งสองคนต้องมีเื่คุยกันอีกมากอย่างแน่นอน
แม้หลินกู๋หยู่พูดเกี่ยวกับเื่ตรวจรักษาคนป่วยให้เขาฟัง ฉือหางก็รู้ดีว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งเ่าั้
เมื่อดวงตาของคนทั้งสองประสานกันด้วยรอยยิ้ม ภาพตรงหน้าดูงดงามราวกับภาพวาด
ฉือหางยืนอยู่ตรงนั้น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ลังเลว่าต้องเข้าไปข้างในหรือไม่
“พี่ฉือหาง” หลินกู๋หยู่หันมองโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นฉือหางยืนอยู่ที่ประตู ร่างทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำงานเสร็จแล้วหรือ?”
หลินกู๋หยู่ก็วางหนังสือในมือลงบนโต๊ะก่อนจะเดินมาหาฉือหาง
"อืม" เมื่อเห็นหลินกู๋หยู่เข้ามาใกล้ ฉือหางจึงกระถดถอยหลังหนึ่งก้าว
“เสื้อผ้าของเ้ามีฝุ่นเกาะอยู่ ข้าตบฝุ่นให้” หลินกู๋หยู่พูดอย่างเป็ธรรมชาติ “อ้อ ใช่ อาการาเ็ของเ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่?”
“ไม่เจ็บ ไม่เป็ไรแล้ว” ฉือหางรีบส่ายศีรษะ
“เข้ามารอข้าสักครู่ แล้วเราไปซื้อผ้ากัน” นางหันกลับและเดินเข้าไปข้างใน
“ซื้อผ้าหรือ?” ลู่จื่อยู่เงยหน้าขึ้นมองหลินกู๋หยู่ “ซื้อผ้าทำอะไรหรือ?”
"ที่บ้านไม่มีเสื้อกันหนาวมากนัก ข้าเลยคิดจะทำสักสองสามชุด" หลินกู๋หยู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม "รออีกสักครู่ รอให้ไม่มีผู้ป่วยแล้ว เราไปซื้อผ้ากัน"
เด็กสาวไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลัง เมื่อหันกลับไปมอง พบว่าฉือหางยังคงยืนอยู่ที่ประตู
"ทำไมเ้าไม่เข้ามา?" หลินกู๋หยู่มองไปที่ฉือหางที่ยืนนิ่งงันแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ตัวข้าสกปรกมาก ข้าไม่เข้าไปข้างในจะดีกว่า”
ลู่จื่อยู่เดินไปด้านหน้าหลินกู๋หยู่อย่างใส่ใจ "บ่ายนี้ข้าคิดว่าคนไข้ไม่มากนัก ถ้าเ้ามีธุระอย่างอื่นต้องทำ เ้าก็ออกไปก่อนได้"
"เช่นนี้" หลินกู๋หยู่ชำเลืองมองลู่จื่อยู่ด้วยความลำบากใจ "จะดีหรือ?"
"ไม่เป็ไร" ลู่จื่อยู่พยักหน้า
หลินกู๋หยู่พาโต้ซาออกมาจากสวนหลังโรงหมอ บอกให้ฉือหางปัดฝุ่นบนตัวของเขาออกให้สะอาด จากนั้นให้เขาเป็คนอุ้มโต้ซา
ลู่จื่อยู่มองไปที่เงาด้านหลังของทั้งสามคนที่เดินจากไป หันศีรษะไปมองหนังสือคัดลายมือขั้นพื้นฐานที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างเงียบๆ แล้วกลับเข้าไปในโรงหมอด้วยแววตาเศร้าหมอง
มีร้านรวงมากมายที่ขายผ้า หลินกู๋หยู่เดินตรงไปยังสถานที่ที่มีการตั้งแผงขาย
“เ้าชอบสีอะไรหรือ?” ขณะมองดูผ้า หลินกู๋หยู่ก็ถามชายหนุ่มด้วยความเป็กันเอง
"สีอะไรก็ได้" ฉือหางอุ้มโต้ซาไว้ในอ้อมแขน ดวงตาจับจ้องไปที่ผ้าเ่าั้
เขาไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่มากนัก ตราบเท่าที่กู๋หยู่ทำให้ แม้ว่ามันจะน่าเกลียดเพียงใด อย่างไรเขาก็พอใจแล้ว
หลินกู๋หยู่ดึงผ้าสีน้ำเงินผืนหนึ่งออกมา ลองทาบวางบนตัวของฉือหาง "สีนี้ไม่เหมาะ"
จากนั้นก็หยิบผ้าสีดำและสีเทาขึ้นมา
การผสมผสานระหว่างสองสีนี้ดูดีทีเดียว อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าที่เขาใส่นั้นสกปรกง่ายมาก สีนี้ค่อนข้างจะเหมาะสม
“ผ้าสองผืนนี้ หนึ่งฉื่อ[1]ราคาเท่าไรหรือ?” หลินกู๋หยู่ถามเถ้าแก่ ขณะดึงผ้าทั้งสองผืน
"เป็ผ้าฝ้ายทั้งหมด" เถ้าแก่หลุบเปลือกตา พูดอย่าไม่แยแส "สิบอีแปะต่อหนึ่งฉื่อ"
สิบอีแปะหรือ?
หลินกู๋หยู่คิดคำนวณ ฉือหางอาจจะต้องใช้นับสิบฉื่อ เป็เงินหนึ่งร้อยอีแปะ ผ้าฝ้ายบริสุทธิ์นี้ราคาแพงมากจริง!
"งั้นเราซื้อผ้าป่านดีหรือไม่?" ฉือหางยืนอยู่ข้างหลังเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อผ้าของหลินกู๋หยู่ "ผ้าป่านราคาย่อมเยากว่า"
หลินกู๋หยู่แตะผ้าป่านพลางขมวดคิ้ว
……………………………………………………………………
[1] หนึ่งฉื่อ คือมาตราวัดของจีน โดยที่หนึ่งฉื่อเท่ากับสิบนิ้วจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้