การยิงลูกธนูทั้งยี่สิบเจ็ดดอกและก้าวเข้าสู่ระดับถ่องแท้นี้ ทำให้หลัวเลี่ยได้รับความรู้ใหม่เกี่ยวกับบุปผาอาบพิษ
ลูกธนูทั้งยี่สิบเจ็ดดอกที่เขายิงออกไปนั้น ไม่มีดอกใดเลยที่จะสามารถทำลายบุปผาอาบพิษได้ เพราะเมื่อลูกธนูพุ่งเข้าไปใกล้บุปผาอาบพิษ มันก็จะถูกแรงจากอากาศที่อยู่รอบๆ บุปผานั้นฉีกกระชากจนแตกหักทันที
แน่นอนว่าหลัวเลี่ยไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดั้แ่แรก เขาแค่ทำเพื่อฝึกฝนเพิ่มทักษะในวิชารวมพลังสร้างธนูเท่านั้น
“ฟู่...”
เขาเป่าลมออกจากปากและรวบรวมสมาธิ
ต่อจากนี้จะเป็ขั้นตอนที่สำคัญมาก หากหลัวเลี่ยทำไม่สำเร็จก็หมายความว่าเขาคงไม่มีทางกำจัดบุปผางามอาบพิษนี้ได้อีกแล้ว
และหากล้มเหลวจริงๆ เขาต้องทำให้บรรดาผู้คนที่ติดตามเขามาหมดหวังแน่
หากมีคนหมดหวังจนเสียสติขึ้นมาก็เกรงว่าคนผู้นั้นคงจะอยู่ในโลกเื้ันี้อย่างยากลำบากแน่แท้
เมื่อทุกคนเห็นว่าหลัวเลี่ยกำลังจะโจมตีอย่างจริงจัง บางคนหลับตาและไม่กล้ามอง บางคนดูประหม่าและกำหมัดแน่น บางคนก็ส่งเสียงให้กำลังใจหลัวเลี่ย พวกเขาต่างคิดว่าของสิ่งนี้จะทำลายสิ่งที่ให้กำเนิดขุนพลปีศาจได้อย่างไร
“เ้าแน่ใจหรือ?” ในที่สุดจั่วซุนก็ทนไม่ได้ เขาจึงถามออกมา
คนอื่นอุดหู
หลัวเลี่ยหันกลับมายิ้มให้พวกเขา เดิมทีเขา้าใช้รอยยิ้มนี้สร้างความมั่นใจและเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน แต่เขาลืมไปว่า ตอนนี้ใบหน้าของตนถูกหมอกปกคลุมอยู่ ซึ่งเป็ผลจากตราหยกเชื่อมิญญาระดับสูงนั่นเอง ดังนั้นไม่ว่าเขาจะแสดงสีหน้าอย่างไร คนอื่นล้วนไม่มีทางเห็นแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงส่งเสียงออกมาแทน พร้อมๆ กับมือที่ปล่อยลูกธนูออกจากคันธนู
ครั้งนี้หลัวเลี่ยส่งพลังออกไปทั้งหมด
เขาไม่ได้หลงเหลือพลังภายในไว้เลยแม้แต่น้อย เพราะเขา้าสร้างความมั่นใจให้คนกลุ่มนั้นจริงๆ
ลูกธนูของหลัวเลี่ยพุ่งไปเร็วมากจนแทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และแล้วทุกคนก็เห็นลูกธนูอีกครั้งตอนที่มันเข้าไปใกล้บุปผางามอาบพิษแล้ว
พลันเสียงกรีดร้องหยุดลงเช่นกัน
บริเวณโดยรอบเงียบสนิท และทุกคนต่างกลั้นหายใจ
ลูกธนูถูกอากาศที่หมุนวนอยู่โดยรอบบุปผาฉีกทึ้ง...
ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็สีเขียว ถึงแม้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าจะเป็ ‘มีัอยู่ในเป้า’ ที่พวกเขาตั้งความหวังไว้สูง แต่พวกเขาก็กำลังเตรียมจะสาปแช่งหลัวเลี่ยแล้ว
หลัวเลี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “อุบัติเหตุ อุบัติเหตุ ต้องเป็อุบัติเหตุแน่นอน”
หลัวเลี่ยพึมพำในใจว่าเขาประมาทเกินไป เขาคิดว่าตัวเองมีความสามารถที่ไร้เทียมทาน แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ต่อให้จะเก่งกาจแค่ไหนก็ต้องขยันฝึกฝน และยิ่งไปกว่านั้นก็ต้องทำความคุ้นเคยกับทักษะให้มากด้วย
หลัวเลี่ยรวบรวมความคิดของเขาใหม่ เขายกคันธนูขึ้นอีกครั้ง และใส่พลังลงไปทั้งหมด
ฟิ้ว!
ลูกธนูพุ่งเป็เส้นตรง พร้อมกับเกิดเสียงและประกายไฟที่เกิดจากการเสียดสีอย่างรุนแรงกับอากาศกระเด็นไปทุกทิศทุกทาง และสะเก็ดไฟนั้นก็กระเด็นไปโดนบุปผางามอาบพิษด้วย
เนื่องจากในครั้งนี้ลูกธนูพุ่งผ่านอากาศเร็วเกินไป ดังนั้นอากาศที่หมุนวนอยู่รอบๆ บุปผางามอาบพิษจึงไม่อาจเข้าถึงตัวลูกธนูนี้ได้
พรึ่บ!
ลูกธนูดอกนี้พุ่งผ่านอากาศหมุนวนไปได้แล้ว จากนั้นมันก็พุ่งเข้าไปตรงกลาง และทำลายบุปผางามอาบพิษทันที
ในขณะเดียวกันลูกธนูนี้ก็ทนต่อแรงฉีกกระชากของอากาศไม่ไหวแล้ว จึงแตกสลายไปในที่สุดเช่นกัน
ทุกอย่างเงียบสงบอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนที่เสียงร้องด้วยความดีใจจะดังกระหึ่มขึ้น
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าตัวเองจะต้องตายแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขาก็สามารถคว้าโอกาสในการมีชีวิตไว้ได้ ทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจ
มีสาวงามสองถึงสามคนที่ตื่นเต้นจนอยากจะเข้าไปกอดและจูบหลัวเลี่ย แต่พวกนางก็ถูกผีเสื้อแห่งรักไล่ออกไปเหมือนแม่ไก่ที่เฝ้าลูกไก่ การกระทำนี้ทำให้หลัวเลี่ยหัวเราะและส่ายหัว
หลังจากไล่พวกนางออกไปแล้ว ผีเสื้อแห่งรักก็ดึงหลัวเลี่ยตรงไปยังจุดที่บุปผางามอาบพิษเคยอยู่
เมื่อบุปผางามอาบพิษแตกสลายไปแล้ว กระแสอากาศที่หมุนวนอยู่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะที่เศษของบุปผางามอาบพิษบนพื้นก็ค่อยๆ สลายและหายไปเช่นกัน แต่บริเวณนั้นกลับเต็มไปด้วยไอพลังที่แ่เบา
“รีบดูดซับเร็วเข้า” ผีเสื้อแห่งรักกล่าวว่า “บุปผางามอาบพิษนี้เดิมทีเป็สิ่งที่สามารถดูดซับแก่นพลัง และเปลี่ยนให้เป็พลังิญญาที่บริสุทธิ์ได้ มันใช้พลังนั้นในการให้กำเนิดขุนพลปีศาจ ดังนั้นเมื่อมันสลายแล้ว พวกเราก็สามารถซึมซับเอาพลังที่บริสุทธิ์นี้มาใช้ในการฝึกฝนพลังวรยุทธ์ได้”
พลังภายในเป็แหล่งที่มาของความแข็งแกร่ง
หากมีพลังภายในเพียงพอก็จะนำไปสู่ความก้าวหน้าของระดับพลังวรยุทธ์ได้
เห็นได้ชัดว่าผีเสื้อแห่งรัก้าที่จะเก็บซ่อนเื่นี้ไม่ให้ผู้อื่นรู้ เพื่อสร้างโอกาสให้หลัวเลี่ย
พวกเขาไม่รู้ว่าที่นี่มีบุปผางามอาบพิษอีกกี่ดอก แต่หากยังมีอีกก็เท่ากับเป็การเปิดโอกาสให้หลัวเลี่ยทะลวงไปสู่ระดับที่สิบของระดับผู้ฝึกตน
เพราะหากเป็การฝึกแบบปกติเช่นที่ทำอยู่ มันไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่หลัวเลี่ยจะทะลวงระดับสิบไปได้
ครั้งสุดท้ายที่หลัวเลี่ยเปลี่ยนผ่านพลังจากระดับที่แปดไปสู่ระดับที่เก้า แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แต่นั่นก็เป็ผลจากการกระตุ้นเนื่องจากได้รับแรงกดดันมากเกินไป ซึ่งเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติที่ไม่ได้รับแรงกดดันมากขนาดนั้น และยังไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีอีก มันก็เป็ไปได้ยากที่จะเกิดการพัฒนาแบบก้าวะโ
อีกทั้งระดับที่สิบนี้เป็ขั้นสุดท้ายของระดับผู้ฝึกตนในเคล็ดวิชาั์ หลังจากที่หลัวเลี่ยได้เข้าสู่ระดับที่สิบแล้ว ระดับต่อไปก็จะเป็ระดับพลังใหม่ นั่นก็คือระดับหยินหยาง
แน่นอนว่าหลัวเลี่ยจะไม่ยอมพลาดโอกาสแบบนี้ และเขาก็รู้สึกสบายใจเช่นกัน เพราะนี่คือสิ่งที่เขาได้มาด้วยกำลังของตัวเอง
เขากลืนพลังบริสุทธิ์นี้เข้าไปในครั้งเดียว จากนั้นก็รีบเดินพลังภายในเส้นลมปราณเพื่อปรับสมดุลพลังภายใน
หลังจากที่ปรับสมดุลพลังเสร็จสมบูรณ์แล้ว พลังภายในร่างกายของหลัวเลี่ยก็มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้เขามีความสุขมาก หากยังเป็เช่นนี้ต่อไปเขาก็มีโอกาสที่จะทะลวงระดับพลังได้ภายใน่ที่อยู่โลกเื้ันี้
หลัวเลี่ยพูดคุยกับทุกคนอย่างอารมณ์ดีและเดินหน้าต่อไป
เดิมทีผู้คนเหล่านี้ล้วนสิ้นหวัง แต่ตอนนี้ทุกคนกลับตื่นเต้นและมีความหวังอีกครั้ง ซึ่งความหวังนี้ก็คือหลัวเลี่ย ‘มีัอยู่ในเป้า’ ั้แ่นั้นเป็ต้นมาพวกเขาก็เชื่อฟังคำสั่งของหลัวเลี่ยอย่างมาก
ความตื่นตระหนกก่อนหน้านี้หายไป ผู้คนเริ่มใช้ประสาทััในการดมกลิ่น เพื่อค้นหากลิ่นหอมเฉพาะตัวของบุปผางามอาบพิษ
ท้ายที่สุดแล้ว บุปผางามอาบพิษทั้งหมดก็ไม่อาจต้านทานคันธนูซวนิได้
ทุกคนค้นหาบุปผางามอาบพิษด้วยความตั้งใจ
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกวรยุทธ์สองถึงสามคนที่มีประสาทััพิเศษในการดมกลิ่น พวกเขาเกือบจะดมกลิ่นได้ว่องไวเทียบเท่ากับผู้ที่ฝึกเคล็ดวิชาั์อย่างหลัวเลี่ย คนกลุ่มนี้จึงมีส่วนช่วยในการตามหาบุปผางามอาบพิษอย่างมาก
ระหว่างทางพวกเขาพบบุปผางามอาบพิษถึงหกดอกติดต่อกัน
และตอนนี้พลังของหลัวเลี่ยก็พุ่งสูงขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของระดับที่เก้าแล้ว
ตัวหลัวเลี่ยเองไม่คิดว่าตนเองจะก้าวหน้าได้รวดเร็วขนาดนี้ แต่เพราะที่นี่เป็โลกเื้ัที่เชื่อมต่อกับภพจิตั ดังนั้นถ้าเขาทำการทะลวงพลังที่นี่ ก็อาจเกิดผลกระทบได้เมื่อเขากลับไปสู่โลกแห่งความจริง เขาจึงคิดเื่การทะลวงผ่านอย่างหนักอีกครั้ง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทะลวงระดับพลัง แต่เขาก็คิดว่าจุดสูงสุดของระดับเก้านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการอยู่ในโลกเื้ั
แน่นอนว่าจำนวนผู้คนที่เข้าร่วมกับเขาในระหว่างทางก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
จากเดิมสามหลัก พุ่งขึ้นเป็สี่หลัก จนตอนนี้มีจำนวนถึงสามพันคน และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เพราะเวลาในตอนแรกที่พวกเขาเข้ามา กับตอนที่โลกเื้ัปิดลงนั้นห่างกันไม่มาก ดังนั้นจำนวนคนที่เข้าร่วมจึงยังไม่พุ่งสูงจนน่าใ
ภายหลังจากที่พวกเขาได้กลิ่นบุปผางามอาบพิษอีกครั้ง พวกเขาก็ออกค้นหามัน ก่อนจะพบว่ามีใครบางคนมาถึงตัวบุปผางามอาบพิษก่อนแล้ว อีกทั้งคนผู้นั้นก็นำกลุ่มคนมาด้วย และมีจำนวนมากถึงหลายหมื่นคน
จั่วซุนคุ้นเคยกับท่าทางของคนคนนี้เป็อย่างดี เพราะเขาเป็ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของแคว้นเหยียนหลง...มู่เจี้ยนเฟย!
ปกติแล้วตอนอยู่ในขบวนที่ติดตามหลัวเลี่ย จั่วซุนจะเต็มไปด้วยความครึกครื้นและร่าเริง แต่เมื่อพบกับมู่เจี้ยนเฟย เขาก็ดูเฉาและพยายามทำตัวเล็กลง แสดงท่าทางอย่างระมัดระวัง ไม่รู้ว่าแต่ก่อนเขาเคยถูกมู่เจี้ยนเฟยรังแกมาหรือไม่
มู่เจี้ยนเฟยชำเลืองมองจั่วซุน ทว่าก็เพิกเฉย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจเขา
เมื่อเทียบกันแล้วเขาค่อนข้างปฏิบัติอย่างสุภาพกับหลัวเลี่ย พร้อมทั้งบอกข่าวสำคัญให้หลัวเลี่ยฟัง
ข่าวนั้นก็คือ เพื่อป้องกันการกำเนิดของขุนพลปีศาจ อัจฉริยะของทั้งสองอาณาจักรใหญ่จึงเรียกรวมพลคนในโลกเื้ัที่ทุ่งเพลิงกัลป์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้