“พี่ใหญ่ หากซื้อที่ดินสองร้อยหมู่ทั้งหมด จะต้องใช้เงินประมาณเท่าไรหรือเ้าคะ?” หลังจากทำหน้าที่ส่งข่าวเสร็จ อวิ๋นเจียวก็เอ่ยถาม
ที่ดินสองร้อยหมู่ แถมยังอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ถือเป็โอกาสที่หาได้ยากยิ่ง หากพลาดโอกาสนี้ไป คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว
อวิ๋นฉี่เยว่ไม่ตอบ เพียงเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มว่า “เจียวเอ๋อร์อยากได้หรือ?”
อวิ๋นเจียวเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบ “แน่นอนสิเ้าคะ หากพวกเรามีที่ดินสองร้อยหมู่ พวกเราก็จะเป็เศรษฐีที่ดิน พี่ใหญ่กับพี่รองก็จะเป็คุณชาย ส่วนข้าก็จะเป็คุณหนู!”
อวิ๋นฉี่เยว่ช่วยอวิ๋นเจียวจัดแต่งปอยผมข้างแก้ม พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวสายน้ำ “น่าจะประมาณสามถึงสี่พันตำลึงเงินเห็นจะได้”
สามถึงสี่พันตำลึงเงิน สบู่ผลึกแก้วหนึ่งก้อนราคาห้าสิบตำลึงเงิน ขายสักร้อยก้อนก็ได้ห้าพันตำลึงเงินแล้ว อืม... ถือว่ารับได้สบาย ๆ เลย!
สบู่ผลึกแก้วคุณภาพดีในเถาเป่าราคาเพียงสามถึงสี่สิบหยวน ส่วนสบู่หอมราคาแพงกว่าหน่อยก็แค่เจ็ดถึงแปดสิบหยวน แพงที่สุดก็ไม่เกินร้อยสองร้อยหยวน
ต่อให้อวิ๋นเจียวเลือกซื้อแต่ของแพงในเถาเป่า ซื้อก้อนละร้อยกว่าหยวน เมื่อแปลงเป็เงินในยุคนี้ก็แค่ก้อนละหนึ่งถึงสองตำลึงเงินเท่านั้น
ซึ่งหมายความว่า อวิ๋นเจียวใช้เงินไม่กี่สิบตำลึงเงิน ซื้อสบู่ผลึกแก้วและสบู่หอมมาสักกอง แล้วนำไปขายต่อให้ร้านฝูหรงเซวียน ก็สามารถได้เงินมาห้าพันตำลึงเงินแล้ว
เมื่อเห็นท่าทางของอวิ๋นเจียวที่ขมวดคิ้วคำนวณอย่างตั้งใจ มุมปากของอวิ๋นฉี่เยว่ก็เผยรอยยิ้มอบอุ่น เปรียบดั่งสายลมใต้แสงตะวัน พัดผ่านร่างกายให้ความรู้สึกอบอุ่น “เจียวเอ๋อร์ คิดอะไรอยู่หรือ?”
อวิ๋นเจียวรีบยิ้มร่า “ข้ากำลังคำนวณว่าต้องขายสบู่ผลึกแก้วกี่ก้อนถึงจะซื้อที่ดินสองร้อยหมู่ได้เ้าค่ะ พี่ใหญ่วันนี้ข้านำสบู่ผลึกแก้วไปขายที่ร้านฝูหรงเซวียนยี่สิบก้อน ได้เงินมาทั้งหมดหนึ่งพันตำลึงเงินเชียวนะเ้าคะ!”
“โอ้โห! เจียวเอ๋อร์ของพวกเรานี่เก่งจริงเชียว!” อวิ๋นฉี่เยว่ไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่สบู่ผลึกแก้วจะขายได้ราคาห้าสิบตำลึงเงิน
ของหายากย่อมมีราคาแพง สบู่ผลึกแก้วเป็สิ่งที่ไม่มีในแคว้นต้าเยี่ย แต่ไหนแต่ไรมาของแปลกใหม่เช่นนี้ มักเป็สิ่งที่บรรดาชนชั้นสูงชอบแย่งชิงกันไล่ตามหาซื้อ
ร้านฝูหรงเซวียนกล้ารับซื้อในราคาห้าสิบตำลึงเงินต่อก้อน ก็น่าจะขายออกไปได้ในราคาหลายร้อยตำลึงเงิน เมื่อใดที่ของสิ่งนี้แพร่หลายออกไป ย่อมเป็ที่้าของผู้คนจนผลิตไม่พอขายอย่างแน่นอน
อวิ๋นเจียวพูดด้วยความภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้วเ้าค่ะ!”
อวิ๋นฉี่เยว่ยิ้มๆ “มีน้องสาวที่เก่งกาจเช่นเจียวเอ๋อร์ ต่อไปพี่ใหญ่ก็ไม่ต้องสนใจเื่ภายนอก ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนก็พอ รอให้เจียวเอ๋อร์เลี้ยงดูก็แล้วกัน”
อวิ๋นเจียวตบบ่าอวิ๋นฉี่เยว่อย่างใจกว้าง “วางใจเถิดพี่ใหญ่ ข้าจะทำให้ท่านมีชีวิตที่สุขสบาย ไม่ขาดแคลนเงินทอง ไม่ต้องกังวลเื่ใดๆ เื่เดียวที่กังวลก็คือมีเงินทองมากมายจนไม่รู้ว่าจะใช้จ่ายอย่างไรดี!”
“ฮ่าๆๆๆ” อวิ๋นฉี่เยว่ถูกอวิ๋นเจียวหยอกล้อจนอารมณ์ดี อดไม่ได้ที่จะกอดน้องสาวแล้วหัวเราะลั่น
“ตกลงตามนี้ พี่ใหญ่จะรอให้เจียวเอ๋อร์เลี้ยงดูเอง!” ใครจะไปคิดว่า ทันทีที่เขาพูดจบ อวิ๋นเจียวก็หยิบตั๋วเงินออกมาปึกหนึ่งแล้วยัดใส่มืออวิ๋นฉี่เยว่ด้วยท่าทางใจป้ำ ตั๋วเงินตั้งเจ็ดใบ! เป็เงินเท่ากับเจ็ดร้อยตำลึงเงิน!
“พี่ใหญ่ ท่านเอาไปใช้ก่อน ใช้หมดแล้วข้าค่อยให้ใหม่นะเ้าคะ!”
ดวงตาเป็ประกายดุจดวงดาราของอวิ๋นฉี่เยว่ฉายแววอ่อนโยน รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา งดงามจนแสงจันทร์ยังดูจืดจางลง อวิ๋นเจียวมองเขาพลางคิดในใจว่า สตรีเช่นใดถึงจะคู่ควรกับพี่ใหญ่ผู้สูงส่งและสง่างามเช่นนี้ของนาง
“เช่นนั้นพี่ใหญ่ใช้หมดแล้วจะมาขอจากเจียวเอ๋อร์อีก!” อวิ๋นฉี่เยว่เก็บตั๋วเงินไว้กับตัวพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
เมื่อเห็นอวิ๋นฉี่เยว่รับตั๋วเงินไปโดยไม่ลังเล อวิ๋นเจียวก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ พี่ใหญ่ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับนาง นี่แหละคือครอบครัว!
สองพี่น้องพูดคุยกันอย่างร่าเริงจนมาถึงบ้าน หลังจากลงจากรถม้า อวิ๋นเจียวก็เห็นถังสุ่ยทำท่าทางประหม่าเล็กน้อยขณะเดินเข้ามาต้อนรับ
“เจียวเอ๋อร์ ฉี่เยว่ ถังสุ่ยมาถึงั้แ่เช้า ช่วยข้าทำงานในไร่มาครึ่งค่อนวันแล้ว!” ฟางซื่อวางงานในมือลง แล้วเดินออกมารับเช่นกัน
“ขอบคุณพี่ถังสุ่ยมากขอรับ!” อวิ๋นฉี่เยว่คำนับถังสุ่ยอย่างสุภาพ
ถังสุ่ยรีบหลบข้างๆ พลางเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ฉี่เยว่เกรงใจเกินไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะน้องเจียวเอ๋อร์ช่วยข้าจัดการกับผู้ดูแลจางเมื่อเช้านี้ ข้าคง...”
อวิ๋นเจียวรีบพูด “พี่ถังสุ่ย ข้าบอกแล้วไงว่าหมูป่าตัวนั้นพี่กับท่านพ่อช่วยกันฆ่า ดังนั้นย่อมต้องแบ่งให้ท่านครึ่งหนึ่งอยู่แล้ว หากท่านเกรงใจกันเช่นนี้ ข้าจะโกรธจริงๆ แล้วนะเ้าคะ!” กล่าวจบอวิ๋นเจียวก็เบะปากอย่างไม่พอใจ
ถังสุ่ยเห็นดังนั้นก็ลนลาน เมื่อลนลานแม้แต่คำที่จะพูดก็ลืมเลือนไปเสียหมด ได้แต่ยืนบิดไปบิดมาอยู่กับที่
ฟางซื่ออดหัวเราะออกมาไม่ได้ นางเอ็ดอวิ๋นเจียวเบาๆ “พี่ถังสุ่ยของเ้าเป็คนซื่อๆ เ้าอย่าแกล้งเขานักเลย ถังสุ่ยมาหาเ้าเพราะเขามีเื่สำคัญ!”
“เื่สำคัญหรือ เื่อันใดเล่า?” อวิ๋นฉี่เยว่ขมวดคิ้ว ดวงตาฉายแววสงสัยและระแวดระวัง ก่อนจะเอ่ยปากถาม
อวิ๋นเจียวจึงรีบเล่าเื่ที่เกิดขึ้นในตอนเช้าให้อวิ๋นฉี่เยว่ฟัง “...ดังนั้นข้าจึงให้พี่ถังสุ่ยไปเชิญหมอมาตรวจอาการท่านปู่ถัง จากนั้นก็จดเทียบยาและอาการมาให้ข้า เพื่อที่ข้าจะได้ดูว่าในบรรดายาเม็ดที่ท่านนักพรตจากูเาหลงหู่ให้ข้ามานั้น พอจะมียาที่ท่านปู่ถังใช้ได้หรือไม่น่ะเ้าค่ะ”
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง แววตาของอวิ๋นฉี่เยว่เป็ประกายแฝงความรู้สึกบางอย่างที่แทบไม่อาจสังเกตเห็น ในขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยมือจากอวิ๋นเจียว แล้วรับเทียบยามาจากถังสุ่ย ตัวอักษรบนเทียบยานั้นเขียนอย่างลวกๆ อวิ๋นเจียวอ่านไม่ออกเลยแม้แต่ตัวเดียว
แต่ว่าโชคดีที่นางมีพี่ใหญ่ที่เก่งกาจ เพียงแค่กวาดตามองคร่าวๆ เขาก็อ่านชื่อยาและปริมาณยาบนเทียบยาให้นางฟัง อวิ๋นเจียวจึงรีบจดจำไว้ในใจ
จากนั้นนางก็สอบถามอาการของท่านปู่ถังอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ยว่า “พี่ถังสุ่ย เชิญนั่งรอสักครู่ ข้าขอเข้าไปหายาในห้องที่ท่านปู่ถังพอจะใช้ได้ก่อน”
กล่าวจบอวิ๋นเจียวก็รีบกลับไปที่ห้องของตน พอเข้าไปในห้องนางก็ปิดประตูทันที การกระทำเช่นนี้ของนางไม่ได้ทำให้คนตระกูลอวิ๋นรู้สึกแปลกใจ เพราะทุกคนต่างก็มีนิสัยชอบปิดประตูห้อง
แต่ในสายตาของถังสุ่ยกลับแตกต่างออกไป ในใจเขารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เขาคิดว่ายาเม็ดของอวิ๋นเจียวต้องมีค่ามากแน่ๆ มิเช่นนั้นคงไม่ปกปิดคนในครอบครัวเช่นนี้ หากโรคของท่านปู่รักษาหาย ถังสุ่ยผู้นี้คงได้แต่ชดใช้บุญคุณนี้ไปชั่วชีวิตของเขา
อวิ๋นเจียวไม่รู้เลยว่าถังสุ่ยคิดไปไกลถึงเพียงนั้น ทันทีที่เข้ามาในห้อง นางก็เข้าไปในร้านขายยาแผนโบราณที่ผ่านการรับรองจากเถาเป่า เพื่อติดต่อกับเ้าของร้าน
อวิ๋นเจียวเล่าอาการและเนื้อหาบนเทียบยาให้เ้าของร้านฟังอย่างละเอียด เ้าของร้านจึงรีบไปตามแพทย์ที่เปิดบริการออนไลน์มารับเื่
ร้านขายยาออนไลน์ไม่อนุญาตให้ขายยาตามเทียบยา แต่ถึงอย่างนั้นร้านนี้ก็ยังมีแพทย์เปิดบริการออนไลน์ แถมยังไม่ใช่แพทย์จบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์อีกด้วย
อวิ๋นเจียวคิดในใจ ไม่แปลกใจเลยที่ร้านนี้จะเป็ร้านขายยาที่ขายดีที่สุดในเถาเป่า เพียงแค่ดูจากความตั้งใจของเ้าของร้านแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่จะขายดี!
หลังจากพูดคุยกันแล้ว คำพูดของแพทย์ก็ยืนยันข้อสันนิษฐานของอวิ๋นเจียว ท่านปู่ถังผู้นั้นเป็หวัดอย่างรุนแรง ร่วมกับการอักเสบของลำคอและช่องปาก
แพทย์แนะนำให้อวิ๋นเจียวไปจัดยาตามเทียบยาให้คนป่วย จากนั้นก็แนะนำให้อวิ๋นเจียวซื้อยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่ยาตามเทียบยาเพิ่มอีกเล็กน้อย อวิ๋นเจียวนำยาที่ซื้อจากเถาเป่ามาใส่ขวดกระเบื้องใบเล็กเคลือบสีต่างๆ แล้วจึงไปหาถังสุ่ยที่ห้องโถง
“พี่ถังสุ่ย ยาเม็ดชนิดนี้ครั้งละห้าเม็ด วันละสามครั้ง ยาเม็ดชนิดนี้ครั้งละหนึ่งเม็ด วันละสามครั้ง ส่วนเม็ดเล็กๆ นี่ครั้งละสองเม็ด วันละสามครั้ง ให้กินหลังอาหารประมาณหนึ่งเค่อเ้าค่ะ” กล่าวจบอวิ๋นเจียวก็ยื่นขวดกระเบื้องเคลือบสามขวดให้กับถังสุ่ย
ถังสุ่ยจดจำคำพูดของอวิ๋นเจียวอย่างละเอียด และเพื่อไม่ให้เข้าใจผิด จึงถามย้ำอีกครั้ง
“พี่ถังสุ่ย ยาบนเทียบยาที่หมอให้มาก็ต้องไปซื้อมาต้มให้ท่านปู่ถังดื่มด้วยนะเ้าคะ ส่วนยาเม็ดพวกนี้ หากท่านปู่ถังหายแล้วก็ไม่ต้องกินต่ออีก ท่านนักพรตเคยบอกว่าอย่างไรเสียยาก็คือยา ล้วนมีพิษสามส่วน...”