เสียงร้องจับโจรดังกึกก้องไปถึงหลังคา ภายในโรงเตี๊ยมแตกตื่นทันควัน
เถ้าแก่นำคนงานสามสี่คนเข้ามา ในมือถือกระบองวิ่งเข้ามาอย่างดุดัน พอเห็นเซวียเสี่ยวหรั่นปล่อยผม ในมือถือกระบี่ยืนอยู่ตรงประตูโค้ง ก็ใแทบะโหนี
นี่คือแขกที่เข้ามาพัก่ยามอู่ จ่ายเงินก้อนใหญ่เหมาทั้งหมู่เรือน เถ้าแก่ย่อมจำได้แม่น
แขกบุรุษท่าทางเอาเื่ที่มาพร้อมกับนางผู้นั้นกำชับกับพวกเขาก่อนออกไปข้างนอกให้ช่วยดูแลความปลอดภัยของหมู่เรือนเล็กเป็พิเศษ ใครเล่าจะคิดว่าเพียงชั่วพริบตาจะมีโจรใจกล้าลอบเข้ามาได้ เถ้าแก่รู้สึกได้ว่าต้องแย่แน่ๆ
"แม่นาง ท่านไม่เป็ไรใช่หรือไม่ โจรเล่าอยู่ที่ใด" เถ้าแก่วิ่งมาถึงประตูโค้งอ่างรีบเร่ง
"อยู่ในห้อง" พอเห็นคนมา เซวียเสี่ยวหรั่นค่อยใจชื้น ชี้ไปที่ห้องพัก
ภายในห้องพักมีเสียงร้องโหยหวนเล็ดลอดออกมา เถ้าแก่กับคนงานต่างมองหน้ากัน ก่อนยกเท้าปรี่เข้าไปยังห้องที่มีเสียงดัง
แขกอื่นๆ ในโรงเตี๊ยมต่างมารวมตัวกันตรงนี้
เซวียเสี่ยวหรั่นสะพายกระเป๋าเก็บขวดสเปรย์ให้เรียบร้อย แล้วรวบผมขึ้นมัดเป็หางม้าอย่างง่ายๆ ก่อนถือกระบี่ตามเข้าไป
ชายร่างผอมล้มอยู่ในห้อง น้ำลายฟูมปาก น้ำมูกไหลย้อย ดวงตารูปสามเหลี่ยมกับจมูกแบนๆ ของเขาถูกเ้าตัวถูจนแดงเถือก ตาบวมเป่งราวกับหม่านโถว น้ำตาไหลไม่หยุด ตะเบ็งเสียงโหยหวนจนคอแทบแตก
เถ้าแก่กับคนงานสามสี่คนล้อมเขาไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังขา
พอเห็นเซวียเสี่ยวหรั่นเข้ามาในห้อง เถ้าแก่ก็รีบเข้ามากระซิบถาม "แม่นาง นี่เขาเป็อะไรไป"
"อ้อ ข้าพ่นพริกน้ำใส่เขาเองล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นมองหัวขโมยที่นอนกลิ้งเกลือกร้องโหยหวนอยู่บนพื้น ก่อนหัวเราะแหะๆ
พริกน้ำ?
มิน่าพอพวกเขาเข้ามาในห้องถึงได้กลิ่นฉุนจัดแสบจมูก ที่แท้ก็เป็พริกน้ำนี่เอง
สายตาของทุกคนต่างมองหัวขโมยบนพื้นด้วยความสงสาร มิน่าทั้งตาจมูกปากล้วนบวมแดงเยี่ยงนั้น รสชาติของการถูกพริกเข้าตาเข้าจมูก แต่คิดก็สยดสยองแล้ว
"แม่นาง ท่านเอาพริกน้ำมาจากไหนหรือขอรับ"
มีคนพกพาของอย่างพริกน้ำติดตัวกันด้วยหรือ เถ้าแก่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
"แฮ่ม เื่นี้คือว่า... เพราะข้าชอบกินเผ็ด ดังนั้นก็เลยพกติดตัวมาด้วย ยามกินบะหมี่จะได้เติมลงไปได้" เซวียเสี่ยวหรั่นหาข้ออ้างส่งเดช
เถ้าแก่อึ้งอยู่บ้าง คนชอบรสเผ็ดจะพกพริกป่น น้ำมันพริก น้ำจิ้มพริกก็ไม่แปลก แต่พกพริกน้ำ เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็ครั้งแรก
แน่นอนว่านี่หาใช่สาระสำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของแม่นางผู้นี้
มิเช่นนั้น แขกผู้น่าเกรงขามผู้นั้นกลับมา พวกเขาคงต้องรับผิดชอบกับผลลัพธ์ที่ตามมา
"ต้องขอบคุณในความปราดเปรื่องของแม่นาง ต่อให้เป็บุรุษสูงเจ็ดฉื่อ เจอพริกน้ำสาดเข้าไป ก็ล้มได้เหมือนกัน" เถ้าแก่รู้สึกโล่งใจ กล่าวเยินยอไม่หยุด
"แหะๆ ก็แค่ความบังเอิญน่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่กล้าหลงลำพอง
"แม่นาง ท่านว่าควรจัดการกับหัวขโมยคนนี้อย่างไร"
"ปรกติพวกท่านจับโจรได้จัดการอย่างไรเล่า มิใช่แจ้งทางการหรอกหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นย้อนถาม
"แจ้งทางการก็ดี ตีสักยกก็ได้ สิ่งสำคัญคือความคิดเห็นของท่านขอรับ" เถ้าแก่รีบชี้แจง
"เอ่อ... แจ้งให้ทางการจัดการดีกว่า" เซวียเสี่ยวหรั่นลังเลชั่วครู่
เถ้าแก่สั่งคนงานไปแจ้งทางการ
ในห้องมีแขกที่เข้าพักหลายคนเบียดเข้ามา ชี้ไปที่โจรซึ่งนอนร้องครวญครางอยู่บนพื้น พลางกล่าวโทษเถ้าแก่โรงเตี๊ยม
"เถ้าแก่ โรงเตี๊ยมใหญ่โตขนาดนี้ ถึงกับปล่อยให้หัวขโมยลอบเข้ามาได้เชียวหรือ"
"นั่นสิ ต้องขอบคุณในความเก่งกล้าของแม่นางผู้นี้ หาไม่แล้วผลลัพธ์ยังยากจะคาดคะเน"
"ใช่แล้ว พวกเราจ่ายค่าห้องพักราคาสูง แต่พวกเ้า แม้แต่ขโมยยังป้องกันไม่ได้"
"ต่อไปใครจะกล้ามาพักโรงเตี๊ยมของพวกเ้าอีกล่ะ"
เสียงอึกทึกครึกโครมดังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
เถ้าแก่ได้แต่ขอขมาไม่หยุดด้วยใบหน้าขื่นขม
เซวียเสี่ยวหรั่นฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังวุ่นวายสวมรองเท้า แล้วห่อกระบี่ยาวในมืออย่างเงียบเชียบ
ไม่รู้ว่าที่นี่มีกฎหมายควบคุมการใช้อาวุธจำพวกมีดดาบหรือไม่ ถ้าให้เ้าหน้าที่ทางการมาเห็นเข้า อาจต้องอธิบายยาว หลังห่อเรียบร้อยก็โยนไปที่มุมเตียงแล้วเอาผ้าห่มผืนบางของโรงเตี๊ยมคลุมปิดไว้
ยามเ้าหน้าที่มาถึง คนที่มามุงดูในห้องพักก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
ขโมยถูกคนงานจับมัดไว้ ยังคงร้องครวญครางจนเสียงแหบแห้ง
มีขโมยเข้ามาในโรงเตี๊ยมกลางวันแสกๆ เถ้าแก่ถูกทุกคนตำหนิติเตียน แต่ก็ยังมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อความผิดพลาด เขาลอบยัดเงินให้เ้าหน้าที่
เ้าหน้าที่ได้ผลประโยชน์ย่อมดำเนินการอย่างรวดเร็ว
เหลียนเซวียนจ้างรถม้าคันหนึ่งกลับมาถึงโรงเตี๊ยม เห็นเ้าหน้าที่คุมตัวคนออกมาข้างนอกพอดี คนกลุ่มใหญ่ยืนอออยู่หน้าโรงเตี๊ยม พลางชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์
สีหน้าของเขาขรึมลงทันที
ะโลงจากรถม้า โยนสายบังเหียนให้คนงานด้านข้างด้วยสีหน้าบึ้งตึง
เถ้าแก่ค้อมกายส่งเ้าหน้าที่ ยังไม่ทันถอนหายใจ ก็เหลือบไปเห็นบุรุษสีหน้าเหมือนถูกฉาบด้วยน้ำค้างแข็งกลับมาแล้ว
หัวใจเขาเต้นโครมคราม รีบเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"ท่านลูกค้า กลับมาแล้วหรือขอรับ"
"เกิดอะไรขึ้น?" น้ำเสียงเยียบเย็นราวกับน้ำค้างแข็งฤดูหนาว แช่แข็งรอยยิ้มของเถ้าแก่จนเจื่อนสนิท
เขาเล่าเื่ทั้งหมดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
จากน้ำค้างแข็งแปรเปลี่ยนเป็คมมีดเยียบเย็นกรีดเฉือนหัวใจ ภายใต้แรงกดดันมหาศาลของบุรุษตรงหน้า เถ้าแก่ใจนเกือบล้มลงไปคุกเข่าลงที่พื้น
"คนเล่า?" ไฟโทสะในหัวใจมิอาจเอาชนะความเป็ห่วงที่มีต่อเซวียเสี่ยวหรั่น เหลียนเซวียนจำต้องข่มความโกรธเอาไว้ก่อนชั่วคราว
"มะ... แม่นางปลอดภัยดีอยู่ในห้องขอรับ" เถ้าแก่ตัวสั่นงันงก พูดยังติดๆ ขัดๆ
เหลียนเซวียนกวาดมองเขาอย่างเ็า ก่อนสะบัดแขนเสื้อ สาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไป
จนกระทั่งเขาไปไกลแล้ว เถ้าแก่ก็เข่าอ่อน แทบล้มลงไปกอง เคราะห์ดีที่คนงานข้างกายประคองไว้ทัน
"ไอ้หยา ไม่รู้เป็เทพสังหารมาจากไหน น่ากลัวเหลือเกิน"
ขาทั้งสองของเถ้าแก่สั่นพึ่บพั่บ ปล่อยให้คนงานประคองเข้าไปในห้องโถง
เซวียเสี่ยวหรั่นกำลังตรวจสอบดาลประตู
เธอนึกสงสัยอย่างมาก ประตูลงดาลอย่างดี เหตุใดหัวขโมยถึงเปิดเข้ามาได้
ประตูปิดอยู่ เธอยืนอยู่หลังประตู ขยับดาลประตูขึ้นๆ ลงๆ ที่แท้สลักประตูหลวมนี่เอง มิน่าถึงถูกคนเปิดออกง่ายๆ
ขณะกำลังสำรวจ ประตูกลับถูกผลักเข้ามาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
"โอ๊ย"
เซวียเสี่ยวหรั่นกรีดร้องถอยไปข้างหลัง จมูกของเธอถูกประตูเปิดมาชนอย่างแรง เจ็บจนชาน้ำตาไหลพราก
เธอกุมจมูกที่น่าสงสารเอาไว้
"เสี่ยวหรั่น"
เหลียนเซวียนใมาก เขาเป็ห่วงนางรีบวิ่งมา แต่สะเพร่าไปหน่อยไม่ทันสังเกตลมหายใจของนางว่าอยู่หลังประตู
"เป็อย่างไรบ้าง ชนถูกหรือ"
เห็นนางกุมจมูก ดวงตามีหยาดน้ำเอ่อคลอ ขอบตาเริ่มแดงระเรื่อ เห็นชัดว่าถูกเขาเปิดประตูชน
เหลียนเซวียนทั้งรู้สึกผิดและปวดใจ
เดินเข้าไปถึงตรงหน้านาง ค้อมเอวย่อเข่าลงหมายจะเข้าไปตรวจสอบดู
"ขอข้าดูหน่อย มีเืออกหรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นขอบตาแดงส่ายหน้าปฏิเสธ มือหนึ่งปิดจมูก อีกมือผลักใบหน้าเขาที่ยื่นเข้ามาใกล้ออกไป
จมูกของเธอถูกชนจนบวม น่าเกลียดจะตาย เขาจะเข้ามาใกล้ทำไม
แต่เหลียนเซวียนไม่ขยับสักนิด พอเห็นนางไม่ให้ความร่วมมือ เขาก็ลงมือเองเสียเลย
สองมือยื่นออกไปคว้าข้อมือของนางราวกับสายฟ้าแลบ
จมูกที่ถูกชนจนแดงยังบวมเล็กน้อยก็ปรากฏตรงหน้า
"ว้าย ทะ... ท่านปล่อยมือนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นเืขึ้นหน้า
เดิมทีจมูกถูกชนก็ทรมานพออยู่แล้ว เขายังมาเผด็จการเช่นนี้ เซวียเสี่ยวหรั่นโกรธมากจนอยากกลายร่างเป็แมวพองขนเข้าไปข่วนเขาแรงๆ สักสองสามที
