เมืองก่านโจวอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่เพียงแต่จะเป็เขตสำคัญของทางตะวันตกเฉียงเหนือ ยังถือว่าเป็ลำคอทางตะวันตกเฉียงเหนือของหลายรัชกาลในอดีต ผ่านการพัฒนามาหลายปี เมืองก่านโจวก็ได้กลายเป็เมืองที่พื้นที่กว้างขวาง
จางจ้าวฉือไม่เคยมาที่ก่านโจวมาก่อน หลังจากที่นั่งรถม้าเข้าประตูเมืองมา ก็มองออกไปด้านนอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น บนถนนครึกครื้นมาก รถม้าและผู้คนต่างเดินกันไปมาขวักไขว่ สวี่จือเองก็มองออกไปด้านนอกด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพูดกับจางจ้าวฉือ “ท่านแม่เ้าคะ เมืองก่านโจวครึกครื้นมากเลยเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือกล่าว “แน่นอนสิ นี่มันเป็เมืองระดับสูงกว่าเขตเหอซีเชียวนะ พัฒนามาก็หลายปี ก็ต้องมีความแตกต่างกันหลายส่วน”
สวี่จือเองก็ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน จึงมองเมืองที่สร้างมาจากทรายสีเหลืองอย่างประหลาดใจ ถึงแม้จะดูไม่หรูหราเหมือนเมืองหลวง แต่บวกกับเอกลักษณ์เฉพาะพื้นที่ของเขตเมืองเข้าไป ก็ทำให้สถานที่แห่งนี้มีเสน่ห์เป็ของตัวเอง
หลายวันมานี้นอกจากจัดของแล้ว สวี่ตี้ก็กำลังวุ่นวายอยู่กับพระราชโองการทั้งสองอันของเหลียงเฉิงตี้ เขาไม่เคยคาดหวังว่าบิดาจะถูกส่งตัวมาเป็ผู้นำที่ก่านโจว
ในใจสวี่ตี้หวังว่าบิดาของตนเองจะอยู่ที่เหอซีอีกหลายปี จากนั้นก็ทำงานดีๆ สักที่ถึงจะสามารถไปเป็ขุนนางที่ทางใต้ได้ ไม่ว่าจะเป็ตำแหน่งใด ก็จะต้องมีการปรับตัวกับสภาพแวดล้อม เื่นี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ไม่ได้มีเวลาให้ทุกคนได้ทันตั้งตัว ขุนนางของก่านโจวเองก็มีจำนวนลดน้อยลงไปแทบจะเกินครึ่ง สวี่เหรากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบากเสียแล้ว
จางจ้าวฉือกล่าว “มิรู้ว่าตอนนี้บิดาของเ้าเป็อย่างไรบ้าง คาดว่าคงจะยุ่งมากๆ เป็แน่”
สวี่จือกล่าว “ท่านพ่อของข้าเป็คนมีความสามารถ ไม่ว่าจะเป็เื่ยากมากเพียงใดก็สามารถทำให้ดีได้เ้าค่ะ ท่านแม่ พวกเราจะต้องเชื่อใจท่านพ่อถึงจะถูกนะเ้าคะ”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็หัวเราะพร้อมเอ่ย “เ้านี่เป็ลูกสาวที่ดีของพ่อเ้าจริงๆ นะ”
สวี่จือกล่าว “แน่นอนสิเ้าคะ ท่านพ่อของข้าเป็คนที่เก่งกาจมาก เหอซีที่กันดารขนาดนั้น ใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี ดูตอนนี้สิเ้าคะ เมืองก็สร้างได้ดีขนาดนั้น ในมือของทุกคนต่างมีเงิน ท่านแม่ ข้ากับน้องชายไปซื้อของตามถนน ทุกคนก็ต่างให้ของพวกเรามาเป็จำนวนมาก ข้ารู้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็เพราะผลงานที่ท่านพ่อทำเอาไว้เ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือหัวเราะเหอะๆ แล้วกล่าว “พ่อของเ้าน่ะ อย่าเห็นปกติไม่ค่อยพูดนะ ที่จริงแล้วเขามีเื่ในใจเยอะมาก”
สวี่ไป่ยืนขึ้นจากอ้อมกอดของสวี่จือ พลางกอดคอจางจ้าวฉือ “ท่างแม่ขอยับ ท่างแม่ ต่อปายข้าเองก็จาเป็งคงเก่งเหมืองกับท่างพ่อขอยับ”
จางจ้าวฉือเอานิ้วรูดจมูกเล็กๆ ของสวี่ไป่ หัวเราะแล้วกล่าว “เ้าพูดเยอะเช่นนี้ ต่อไปเดี๋ยวก็เป็คนแบบพ่อของเ้าไม่ได้หรอก”
พูดคุยกันมาตลอดทาง ในที่สุดก็ถึงสถานที่ที่ต่อไปสกุลสวี่จะต้องเข้ามาอาศัยอยู่ ที่ว่าการเมืองก่านโจวมีตรอกเส้นหนึ่ง ด้านในตรอกนั้นมีเรือนสามทางเข้าและห้าทางเข้าอยู่ หลังจากเข้าเมืองมาแล้ว ก็มีคนพาขบวนรถม้าสิบกว่าคันของจางจ้าวฉือตรงไปยังหน้าจวนขนาดใหญ่หลังหนึ่ง
ในเรือนมีคนของที่ว่าการคนหนึ่งมาเฝ้าอยู่ เห็นจางจ้าวฉือมาก็รีบเข้ามาทำความเคารพ “ฮูหยิน จวนหลังนี้เดิมทีเป็จวนของผู้นำคนหนึ่งของก่านโจว ต่อมาผู้นำคนนั้นเดินทางไปรับตำแหน่งที่ทางใต้ ใต้เท้าสวี่จึงเช่าเรือนนี้ขอรับ”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็ถาม “เช่าเองหรือ?”
คนผู้นั้นตอบกลับมาอย่างชาญฉลาด “ใต้เท้าคนเดิมกับใต้เท้าผู้นำชั่วคราวถูกจับกุมไปที่เมืองหลวงแล้วขอรับ ครอบครัวพวกเขาต่างยังอยู่ที่นี่ จะจัดการอย่างไรยังไม่มีคนมาจัดการเลยขอรับ ใต้เท้าสวี่บอกว่าให้พวกเขาพักกันไปก่อน รอที่เมืองหลวงมีรับสั่งมาเมื่อไหร่ค่อยให้พวกเขาย้ายออกจากเรือนไปขอรับ”
จางจ้าวฉือฟังประโยคนี้แล้วก็รู้ว่าสวี่เหราไม่วางแผนที่จะพักในบ้านที่พวกเขาเคยอยู่ คิดว่าก่านโจวก็ถือว่าเป็สถานที่กว้างใหญ่ หากไม่ได้จริงๆ ก็ซื้อบ้านที่นี่ไปเสีย บ้านที่เช่าจะอย่างไรก็ไม่สบายเท่าบ้านของตัวเอง
ในเวลาที่ยังไม่มั่นคงพอที่จะซื้อบ้าน จึงเข้ามาพักก่อนแล้วค่อยๆ วางแผนก็ยังได้
พื้นที่จวนกว้างมาก ด้านในสร้างได้ประณีตมากเช่นกัน โถงทางเดินก็แฝงไปด้วยกลิ่นอายของเจียงหนาน
ถึงแม้จะไม่มีคนเข้ามาพักอยู่หลายปี ในจวนก็ยังมีคนเข้ามาเฝ้าโดยเฉพาะ ตัวเรือนยังรักษาเอาไว้อย่างดี หลังจากสวี่เหรามาที่นี่ก็จองบ้านเอาไว้ เพียงเวลาไม่กี่วัน เสา ระเบียงทางเดิน หน้าต่างในเรือนก็ถูกทาสีน้ำมันใหม่ น้ำมันเคลือบเพิ่งจะแห้ง ตอนนี้ก็ยังมีกลิ่นน้ำมันคลุ้งอยู่
จางจ้าวฉือถูกพาเข้ามาในเรือนหลัก เป็เรือนสามทางเข้า ทั้งสองข้างมีเรือนเล็กๆ ตัดผ่านสนามอยู่สองเรือน จางจ้าวฉือเห็นแล้วก็พูดกับแม่นมลู่ “ไอ๊หยา เรือนนี้ดีนะ ครอบครัวพวกเราอยู่ในเรือนนี้ก็สามารถอาศัยอยู่อย่างมีความสุขได้”
สวี่ตี้กล่าว “ท่านแม่ ข้าจะพักในเรือนตัดสวนนี่นะขอรับ”
สวี่ไป่เองก็ะโตามด้วย “ท่างแม่ ท่างแม่ ข้าเองก็จาอยู่ในเรือนตัดฉวน”
แม่นมลู่หัวเราะแล้วกล่าว “พวกเ้าสองคนก็พอดีเลย คนละเรือน”
สวี่ไป่ได้ยินแล้วก็เอ่ยถาม “เช่งนั้นท่างพี่จะพักอยู่เยือนหนายขอยับ?”
แม่นมลู่กล่าว “คุณชายใหญ่อายุมากแล้ว ยังไม่ได้แต่งงานก็ต้องไปพักเรือนนอก รอต่อไปแต่งงานแล้วก็สามารถมาพักที่เรือนหลังได้”
สวี่ไป่ได้ยินแล้วในใจก็แอบดีใจ พี่ชายคนนี้เป็คนฉลาดจริงๆ ตนอยากจะทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็หนีสายตาเขาไม่พ้น อยู่ไกลหูไกลตาหน่อยก็ดี ตนอายุยังน้อย อาศัยอยู่ในเรือนหลังสบายจะตาย ท่านพ่อเลื่อนตำแหน่งแล้ว ตนก็ถือว่าเป็คุณชายลูกคนใหญ่คนโตแล้ว เหตุใดจะทำตัวเป็คุณชายไม่ได้เื่ไม่ได้? เป็คุณชายเสเพลไปวันๆ ดีจะตาย กินดื่มเที่ยวเล่นมีความสุข เช่นนี้ถึงจะสามารถมีความสุขกับชีวิต
แม่นมลู่พาชิงเหมี่ยวกับชิงซุย รวมทั้งคนแซ่ไป๋ทั้งสิบคนมาทำงานกันอย่างขะมักเขม้น รอจนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น ทุกอย่างก็ต่างถูกจัดการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
จะทานอาหารค่ำแล้ว สวี่ไป่ก็จับมือแม่นมลู่ “แม่นม แม่นมขอยับ ป้าเหอไม่ได้มาด้วยหรือขอยับ พวกเราจะทานอาหารเย็งกันอย่างไร?”
แม่นมลู่กล่าว “ก็ให้คุณหนูเก้าทำอาหารให้พวกเรากินอย่างไรล่ะ รอพรุ่งนี้แม่นมก็จะไปจ้างแม่ครัวมา”
สวี่ไป่ได้ยินแล้วก็ถอนหายใจ “เหกใดป้าเหอไม่ตามพวกเยามาจ้วยขอยับ? ป้าเหอทำอาหารอาหย่อย”
แม่นมลู่กล่าว “ครอบครัวป้าเหอต่างอยู่กันที่เหอซี ก่านโจวอยู่ห่างจากเหอซีขนาดนี้ กลับไปครั้งหนึ่งก็ไม่สะดวก ครอบครัวกันอย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกัน”
สวี่ไป่ถอนหายใจ ก้มหน้าเดินไปทางโรงครัวเล็กที่เรือนหลัก อาหารทั้งครอบครัวเป็สวี่จือที่ทำ ส่วนอาหารของเหล่าคนใช้ ที่ห่างจากเรือนหน้าไม่ไกลมีโรงครัวใหญ่อยู่ แม่นมลู่ก็ซื้อครอบครัวหนึ่งสามคนกลับมา หญิงวัยกลางคนของครอบครัวนั้นทำอาหารอร่อยจึงทำงานเป็แม่ครัวในจวน ส่วนป้าเหอทำอาหารให้กับเ้านายหลายท่านในโรงครัวเล็กๆ มาตลอด
สวี่จือพาชิงเหมี่ยวชิงซุยทำอาหารกันอยู่ในโรงครัวเล็ก เตาของโรงครัวเล็กได้ผ่านการซ่อมแล้ว หม้อหลายใบพวกนั้นก็ซื้อใหม่กลับมา ตอนที่สวี่ไป่เข้ามา สวี่จือกำลังขัดหม้ออยู่ ก่อนที่จะใช้หม้อใบใหม่จะต้องจัดการล้างให้ดีเสียก่อน
สวี่จือเห็นสวี่ไป่เข้ามา ก็เอ่ยปากถาม “น้องชาย หากเ้าหิวแล้วก็กินขนมรองท้องไปก่อนสักสองสามชิ้น อีกเดี๋ยวพี่ก็ทำอาหารเสร็จแล้ว”
สวี่ไป่กล่าว “ท่างพี่ ข้าจ้วยท่างพัดไฟดีหรือไม่ขอยับ?”
สวี่จือหัวเราะแล้วกล่าว “ได้สิ เหตุใดจะไม่ได้ เ้าไปทำแทนพี่ชิงเหมี่ยวเสียไป”
ชิงเหมี่ยวกำลังนั่งพัดไฟอยู่หน้าเตา ได้ยินว่าสวี่จือให้สวี่ไป่มาทำแทนตนเองก็รีบหลีกทางให้ นางรีบไปเด็ดผักแล้วนำมาล้างอยู่ด้านข้าง
สวี่ตี้หลังจากตามผู้ดูแลในจวนขนหีบสัมภาระลงมาเรียบร้อยแล้ว ฟ้าก็เริ่มมืดถึงได้เดินมาที่เรือนหลัง
จางจ้าวฉือกำลังวางหีบสัมภาระไว้ในห้องของตนเอง สวี่ตี้เข้ามาก็กล่าว “ท่านแม่ เช่นนั้นพวกเราเองก็สร้างเรือนที่ก่านโจวสักหลังดีหรือไม่ขอรับ”
จางจ้าวฉือกล่าว “ข้าเองก็อยากจะสร้างสักหลัง ไม่ได้พักในเรือนของตัวเองแล้วมันไม่รู้สึกมั่นคง แต่ในเวลาแค่นี้ก็ไม่ค่อยจะเหมาะสักเท่าไหร่”
สวี่ตี้กล่าว “ข้าจะไปสอบถามดู เรือนที่พวกเราเช่าอยู่ทำแบบนั้นก็ไม่ได้ทำแบบนี้ก็ไม่ได้ เข้ามาอยู่แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดใจขอรับ”
จางจ้าวฉือกล่าว “พอดีที่ข้ายังมีตั๋วเงินอยู่นิดหน่อย หากเ้าเห็นว่าเหมาะสมก็ซื้อมาเลย แม้เวลาสร้างบ้านมันจะนานไปสักหน่อย พวกเราซื้อมาแล้วสร้างไว้ดีๆ ก็เป็ที่ของเรา ใช่แล้ว เ้าเจอพ่อเ้าหรือยัง?”
สวี่ตี้กล่าว “มาถึงข้าไปก็หาเขาที่ที่ว่าการแล้วขอรับ ข้ารู้สึกว่าความกดดันของท่านพ่อในครั้งนี้ออกจะมากไปเสียหน่อย แค่ไม่กี่วันก็ซูบผอมไปเยอะมากเลยขอรับ”
จางจ้าวฉือกล่าว “เขาได้รับคำสั่งตอนที่เกิดเื่ คดีในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก พอมาถึงคงไม่ได้งานยุ่งจนเป็บ้าไปแล้วใช่หรือไม่?”
สวี่ตี้กล่าว “ยุ่งมากจริงๆ นะขอรับ รออีกเดี๋ยวทำอาหารเสร็จแล้วข้าจะส่งอาหารไปให้ท่านพ่อ เขาจะได้ไม่ต้องกลับมาแล้วที่เรือน รีบกินข้าวแล้วรีบไปทำงานต่อแบบนั้นคงไม่ดีขอรับ”
จางจ้าวฉือกล่าว “เอาเช่นนั้นก็ได้ ข้าจะไปดูว่าน้องสาวเ้าทำอาหารอะไร”
ปรากฏว่าสวี่จือยังทำอาหารไม่เสร็จ สวี่เหราก็กลับมาแล้ว
จางจ้าวฉือเห็นสวี่เหรากลับมาแล้วก็กล่าว “หลายวันมานี้เ้าไม่ได้กินอาหารดีๆ เลยหรือ? เหตุใดถึงได้ผอมไปมากขนาดนี้?”
สวี่เหราโบกมือ “งานมันเยอะเกินไป เื่เป็พันอย่าง ข้ายุ่งมากจริงๆ ไม่เพียงแต่เื่ที่คนพวกนั้นทำเอาไว้ ข้ายังต้องอาศัย่ที่ยังไม่ถึง่หน้าน้ำหลาก รีบจัดการกับทางน้ำให้เสร็จดี ผู้ใดจะรู้ว่า์จะประทานฝนขนานใหญ่มาให้เมื่อไหร่ แม่น้ำพวกนั้นไม่ได้รับการซ่อมแซมมานานหลายปี ฝนตกหนักครั้งหนึ่งก็สามารถซัดให้พังทลายได้”
จางจ้าวฉือพูดอย่างกังวลใจ “คนพวกนั้นถูกจับเพราะว่าเื่การดูแลแม่น้ำ แม่น้ำนี่ซ่อมยากมากหรือ?”
สวี่เหรากล่าว “ตอนนี้ไม่มีอุปกรณ์ขนาดใหญ่อะไร จะทำอะไรต้องพึ่งกำลังคน จึงเป็เื่ที่ยากมาก”
สวี่ตี้กล่าว “กรมการคลังได้ส่งงบมาที่นี่อีกหรือไม่ขอรับ?”
สวี่เหรากล่าว “แค่ริบทรัพย์สินจากครอบครัวที่ถูกจับมาก็สามารถเติมบัญชีให้มันเท่าเดิมได้แล้ว เพียงแต่ตอนนี้คนที่เข้าใจเื่แม่น้ำมีไม่มาก ข้าได้ส่งจดหมายไปที่เมืองหลวงแล้ว กรมโยธาธิการคนจะส่งคนมา ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะส่งผู้ใดมาเช่นกัน”
สวี่ตี้กล่าว “หากไม่ได้จริงๆ พวกเราก็สามารถจ้างคนงานเองได้นี่ขอรับ ส่งป้ายประกาศไปเรื่อยๆ รวบรวมคนที่ถนัดเื่งานน้ำให้มาที่นี่ คนเยอะกำลังมากจะยังซ่อมทางน้ำไม่พออีกหรือ?”
สวี่เหรากล่าว “เ้าพูดออกมานั้นง่าย หากจะทำขึ้นมาจริงๆ มันเกี่ยวพันกับคนมากมาย ตอนนี้ข้าแทบจะแยกร่างอยู่แล้ว มีใจอยากทำนะแต่ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว”
สวี่ตี้กล่าว “ตอนนี้คนในมือที่สามารถใช้ได้มีกี่คนหรือขอรับ? อำนาจที่ควรใช้ก็ใช ท่านก็มีแค่คนเดียว มีหรือจะไปทำเื่มากมายเช่นนั้นได้ด้วยตนเองทั้งหมด”
สวี่เหรากล่าว “ตอนนี้ข้าก็อยากจะแบ่งงานออกไปนะแต่หาคนไม่ได้ ข้าได้ส่งจดหมายไปที่ราชสำนักแล้ว ให้พวกเขารีบส่งคนมาที่นี่ แต่ว่ากว่าจดหมายจะไปถึงเมืองหลวง เมื่อถึงเมืองหลวงแล้วก็กว่าจะคัดคนให้อีก เื่นี้จะต้องจัดการให้ดีๆ มันจะเป็ต้องใช้เวลา เื้ัยังมีขั้นตอนยุ่งยากมากมายมองข้ามมิได้หรอกนะ”
สวี่ตี้กล่าว “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ท่านที่รับหน้าที่อยู่ที่นี่ พวกเราที่เป็ครอบครัวของท่าน สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือเป็เกราะป้องกันด้านหลังให้ท่าน ทำให้ท่านที่ทำงานมาทั้งวันกลับมาก็มีข้าวกิน เสื้อผ้าสกปรกก็มีตัวใหม่ให้เปลี่ยน หากอารมณ์ไม่ดีข้าก็จะพาจือเอ๋อร์กับเสี่ยวไป่ไปสร้างความสนุกสนานให้กับท่าน ท่านว่าดีหรือไม่?”
สวี่เหรากล่าว “แค่นี้ก็ดีแล้ว เอาล่ะๆ รีบไปดูว่าจือเอ๋อร์ทำอาหารเสร็จหรือยัง ทำเสร็จแล้วก็รีบเอาข้าวมาให้ข้ากินตอนร้อนๆ หลายวันมานี้ทางโรงครัวของที่ว่าการทำอาหารให้ รสชาติที่ทำไม่ดีเลยจริงๆ ข้ากินไม่ลงแล้ว”
สกุลสวี่ทานอาหารมื้อแรกหลังจากมาที่ก่านโจวอย่างสนุกสนาน หลังจากทานเสร็จ สวี่เหราก็ไม่ได้ออกไปไหน ไปอาบน้ำที่เรือนหลังเสร็จก็สวมเสื้อผ้าโปร่งสบาย อุ้มสวี่ไป่นั่งลงข้างจางจ้าวฉือ สวี่ตี้ สวี่จือรวมทั้งแม่นมลู่ ทุกคนมาพูดคุยกันอยู่บนเตียงใหญ่ที่เรือนหลัง
หลังจากวันนี้ สวี่เหราก็งานยุ่งจนแทบไม่เห็นเงา จางจ้าวฉือหาสูตรอาหารบำรุงออกมาหลายชุด แล้วชวนสวี่จือไปตุ๋นน้ำแกงบำรุงร่างกายชนิดต่างๆ ให้สวี่เหรา ส่วนสวี่ตี้ก็พาสวี่ไป่นำอาหารไปส่งให้ที่ว่าการ
สกุลสวี่ค่อยๆ คุ้นชินกับชีวิตที่ก่านโจว เพราะว่ามีขุนนางถูกปลดไปหลายคน และมีอีกหลายคนตกต่ำลง งานเลี้ยงของฮูหยินขุนนางที่ตามปกติจะมีก็ไม่ได้จัด จางจ้าวฉือมีความสุขกับชีวิตตอนนี้มาก นอกจากวิจัยวิชาแพทย์อยู่ในเรือน ก็ศึกษาสูตรอาหารบำรุงกับสวี่จือ สองแม่ลูกวันๆ อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข กลับทำให้แม่นมลู่ที่เห็นหัวใจร้อนรุ่มดั่งไฟ
สวี่จืออายุสิบปีแล้ว หากเป็ปกติก็สามารถไปดูตัวได้แล้ว จางจ้าวฉือที่เป็มารดากลับดี ไม่ได้กังวลเื่แต่งงานของสวี่จือเลยสักนิด เหล่าฮูหยินปกติแล้วจะจัดงานเลี้ยงดื่มน้ำชาพูดคุยกัน ล้วนมีเป้าหมายซึ่งเป้าหมายใหญ่ที่สุดก็เพื่อหาคู่แต่งงานของเหล่าบุตรสาว ตอนไปงานเลี้ยงก็จะพาลูกชายลูกสาวไปด้วย อยากจะแต่งงานกับครอบครัวไหน ก็จะไปดูบุตรของครอบครัวนั้น เมื่อพอใจแล้ว จากนั้นก็ค่อยๆ คุยเื่แต่งงาน หากคุยกันแล้วไม่สำเร็จ ก็จะเปลี่ยนไปอีกบ้าน
สวี่ตี้ยังดี จางจ้าวฉือได้หมั้นหมายให้เขาเอาไว้แล้ว สวี่ไป่อายุยังน้อย ตอนนี้สามารถมองผ่านไปได้ ส่วนสวี่จือนั้น เด็กผู้หญิงหาครอบครัวสามีนั้นไม่ใช่เื่ง่าย ต้องพอใจในรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย และก็ต้องดูนิสัยใจคอของอีกฝ่ายด้วย หากพอใจกับนิสัยแล้ว ก็ต้องดูว่ามีความสามารถหรือไม่ สุดท้ายก็ต้องดูว่าคนในครอบครัวเป็อย่างไร แม่สามีเข้าหาได้ง่ายหรือไม่ พี่สามีน้องสามีเข้ากันได้ง่ายหรือไม่ ถ้าหากตรงใดพิจารณาได้ไม่ทั่วถึง เช่นนั้นก็เหมือนเป็การะโลงกองไฟแล้ว
วันนี้จางจ้าวฉือพาสวี่จือมาต้มยาสมุนไพรในโรงครัว แม่นมลู่ก็เข้ามา “ฮูหยิน เ้ามานี่หน่อย ข้ามีอะไรจะคุยกับเ้าเสียหน่อย”
จางจ้าวฉือเห็นสีหน้าแม่นมลู่ไม่ค่อยดี จึงรีบถามออกไป “แม่นม เกิดเื่อะไรขึ้นหรือเ้าคะ?”
แม่นมลู่กล่าว “ฮูหยิน เ้าได้วางแผนงานแต่งงานให้กับคุณหนูเก้าของพวกเราหรือไม่?”
จางจ้าวฉือได้ยินคำพูดของแม่นมลู่ ก็มองไปทางลูกสาวที่กำลังง่วนอยู่ในโรงครัว เด็กหญิงอายุสิบปี เพราะว่าอาหารการกินดี ร่างกายจึงยืดสูงเหมือนกับต้นหลิวที่อยู่ใน่กำลังงอกงาม ทั้งสูงชะลูด ทั้งยังแฝงไปด้วยความงดงาม แต่เด็กเพิ่งจะอายุสิบปี ตอนนี้ก็เริ่มคิดเื่หาครอบครัวสามีเสียแล้ว เช่นนี้มันไม่เร็วเกินไปหรือไม่?
แม่นมลู่เห็นท่าทางของจางจ้าวฉือก็รู้ว่านางคิดอย่างไร จึงถอนหายใจ “ฮูหยิน การแต่งงานของลูกน่ะ จะต้องวางแผนเอาไว้เสียก่อน ในเวลาปกติก็ต้องไปรวมตัวกับฮูหยินครอบครัวอื่นบ่อยๆ ถึงจะสอบถามนิสัยของเด็กๆ แต่ละครอบครัวมาได้ สภาพก่านโจวในตอนนี้ ครอบครัวผู้ใดยังมีกะใจมาพูดคุยหัวเราะกันได้ จากที่ข้าดูแล้ว ผ่านไปอีก่สั้นๆ เหล่าฮูหยินในก่านโจวก็คงไม่มีทางรวมตัวกันอย่างสุขใจเหมือนแต่ก่อนแล้ว”
จางจ้าวฉือกล่าว “เช่นนั้นข้าจะต้องถามความคิดของจือเอ๋อร์ก่อน ดูว่านางคิดอย่างไร”
แม่นมลู่พูดออกมาอย่างอ่อนแรง “ฮูหยิน การแต่งงานเื่ใหญ่เช่นนี้ต้องฟังคำบิดามารดา คุณหนูเก้าของพวกเราวันๆ ก็อยู่ในเรือน หากอยู่ที่เมืองหลวงล่ะก็ ยังสามารถออกไปเจอคนได้ตามปกติ รู้จักคุณชายจากครอบครัวต่างๆ ว่าเป็อย่างไร เ้าดูสิว่าตอนพวกเราอยู่ที่เหอซีเคยเจอผู้ใดบ้าง?”
จางจ้าวฉือกล่าว “แม่นม จากที่ท่านเห็น พวกเราควรจะทำอย่างไรถึงจะดีเ้าคะ?”
แม่นมกล่าว “ข้าอยากจะพาคุณหนูของพวกเรากลับไปเมืองหลวง เสาะหาคู่หมั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้