ยามเช้าตรู่ เสียงนกร้องแว่วดัง
ราชครูลืมตาขึ้นก็เห็นรูที่หลังคากระท่อม
ั้แ่เด็กจนแก่ เขาไม่เคยเกี่ยงงอนที่จะลุกขึ้นจากเตียง
ทว่าวันนี้เขากลับรู้สึกไม่อยากจะลุกขึ้นเลยสักนิด
คิดเื่ที่หากเขาเริ่มสอนในวันนี้ เขาย่อมต้องกลายมาเป็อาจารย์ในรังโจรแล้วจริงๆ
เขาเป็ถึงราชครูผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้น ทว่ายามอยู่ในค่ายแห่งนี้ เขากลับเป็แค่อาจารย์คนหนึ่ง เพียงคิดก็ยังรู้สึกอึดอัดใจนัก
นึกถึงเมื่ออดีตที่เ้าสำนักเชินมาหาเขาถึงสามครั้ง ครั้งที่หนึ่งนั้นแดดร้อนอบอ้าว ครั้งที่สองนั้นฝนตกหนัก ครั้งที่สามนั้นราวกับจะมีพายุหิมะ เขามาถึงสามครั้งก็เพื่อเชิญให้เขาไปสอนที่สำนัก ทว่าทั้งสามครั้งนั้นก็ถูกเขาบอกปัดอย่างไร้เยื่อใย
ทว่าเมื่อคิดย้อนไป เ้านั่นก็ไม่ใช่คนดีอะไร วันดีๆ มีตั้งเยอะแยะ ยังรั้นจะเลือกมาวันที่แดดร้อนบ้างล่ะ พายุเข้าบ้างล่ะ หิมะตกหนักบ้างล่ะ ทุกครั้งที่โดนเขาปฏิเสธก็กลับไปป่วยซม
.......
.......
“ปัง ปัง ปัง” เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ท่านอาจารย์กัว นอนต่อไม่ได้แล้ว รีบลุกขึ้นเสีย กระทั่งข้าก็ยังตื่นเลยเ้าค่ะ” เสียงของเด็กหญิงดังขึ้นจากหน้าประตู
ราชครูนั้นแทบอยากจะโขกศีรษะกับแผ่นดินให้ตาย
เ้าเด็กนั่นทุกวันราวกับร่างนางนั้นอัดไปด้วยพลังราวกับจะใช้อย่างไรก็ไม่หมด สดใสร่าเริงนัก
คิดถึงเมื่อวานที่เขาเห็นนางลากร่มมาคันหนึ่ง แล้วจะให้เ้านกนั้นปล่อยลงจากกลางอากาศ ทำเขาแทบจะใจนสิ้นชีพ
เคราะห์ดีที่แม่นางหลัวปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน จากนั้นก็ลงมือตีเ้าเด็กนั้นไปยกหนึ่ง เขาจึงได้รอดจากภัยอันตราย ไม่ถูกจับขึ้นไปกลางอากาศอย่างน่าอดสู
ว่าไปแล้วเ้านกตัวนั้นน่าจะเป็อินทรีนี่ แต่ไฉนค่ายเล็กๆ บนูเาจึงมีอินทรีศักดิ์สิทธิ์ตามตำนานตัวนี้ได้
คิดไปๆ กระทั่งในพระราชวังของแคว้นเชินยังมีเพียงนกยูงขนบางตัวหนึ่งเท่านั้น ที่มีก็เอาไว้หลอกเหล่าฮูหยินชนชั้นสูงเ่าั้ ราชครูนั้นรู้ดีว่านกยูงนั้นเป็นกชนิดหนึ่งที่เติบโตทางเขตร้อนของทางใต้ เพียงแต่ลักษณะของมันนั้นน่ามอง ทว่าแท้จริงแล้วกลับไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับหงส์แม้แต่น้อย
ทว่าราชครูเช่นเขาก็รู้ว่าเมื่อใดควรนิ่งเงียบไว้
แต่ก็คงจะเป็เพราะเขานั้นรู้มากเกินไป ในวันนี้จึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
เมื่อได้ยินเสียงเคาะจากหน้าประตู ราชครูจึงค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างหดหู่
ไม่มีนางกำนัลและศิษย์คอยช่วยเก็บกวาด จึงได้แต่สวมชุดเองอยู่บนเตียงและล้างหน้า
เขาจึงถือโอกาสเปิดประตู แล้วให้เ้าเด็กนั่นเข้ามา หากเขาไม่ยอมเปิดประตู ก็ไม่รู้ว่าเ้าเด็กนี่จะะโไปอีกนานเท่าใด คนทั้งค่ายคงจะได้กันรู้ไปหมดว่าเขานั้นแอบอู้
นอกจากฉายาจอมโกหก ราชครูก็ไม่อยากได้ฉายาตัวกินบ้านกินเมืองเพิ่มมาอีก
เมื่อเปิดประตูแล้ว แสงแดดจากภายนอกก็พลันส่องเข้ามา เด็กหญิงสวมชุดกระโปรงในมือยังถือกล่องข้าวไว้ พร้อมใบหน้ายิ้มแป้นแล้นของนาง
เมื่อเขาเห็นกล่องข้าวที่ยังมีไออุ่นอยู่นั้น ในใจเขาก็พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เช่นนี้ค่อยได้ความหน่อย อย่างน้อยก็ยังรู้จักมาส่งอาหารให้เขา
ใบหน้าของชายชราพลันอ่อนโยนลง ฟังเสียงเอาแต่ใจของเด็กหญิงน้อยดังขึ้น “ท่านอาจารย์กัว แม่นางหลัวให้ข้านำอาหารเช้ามาให้ท่าน”
เขากระแอมขึ้นทีหนึ่ง เป็นัยว่าตกลง
เด็กหญิงถืออาหารกล่องใหญ่มากล่องหนึ่ง ความสูงกล่องอาหารนั้นเกือบจะถึงครึ่งขาของนาง ผู้คนบนเขานี่ช่างใจกล้าเสียจริงที่กล้าให้เด็กตัวเท่านี้ถือของ แบบนี้จะไม่เป็อะไรจริงหรือ
เด็กน้อยค่อยๆ เดินเข้ามาทีละก้าวอย่างมั่นคง
ราชครูมองแล้วก็อดไม่ไหวจะยื่นมือออกไป ด้วยคิดจะลูบศีรษะที่มีผมชี้อยู่ราวกับลูกนกของนาง
ผมของนางไม่ยาวนัก จึงมัดได้แค่ผมเปียเล็กๆ เส้นหนึ่ง
ยามนางก้าวขาเดินนั้นนับว่ามันคงดี แต่เปียน้อยๆ ของนางนั้นก็ยังคงแกว่งไปมา
เขาคิดถึงผมยาวขององค์หญิง ช่างดูหนักนัก เพราะต้องประดับด้วยเครื่องประดับศีรษะหลากหลายแบบ ทว่าเด็กสาวตรงหน้านั้นกลับมีเพียงผมสั้นยุ่งๆ ของนาง ช่าง.......
ราชครูนั้นเป็คนที่คิดมากกว่าทำเสมอ
เขาคิดจะยื่นมือออกมาอยู่นานสองนาน ทว่าก็ไม่ได้ยื่นออกมา
เฉินโย่วยกกล่องข้าวขึ้นวางบนโต๊ะ จากนั้นก็เปิดออก แล้วเอาของในกล่องออกมาเรียง
จากนั้นก็หยิบชุดกินข้าวออกมาอีกสองชุด
ชุดหนึ่งเล็ก ชุดหนึ่งใหญ่
จานใบเล็ก ตะเกียบคู่เล็ก ช้อนคันเล็ก และชามใบเล็กนั้นวางเอาไว้ตรงหน้าตนเอง
ส่วนจานใบใหญ่ ตะเกียบคู่ใหญ่ ช้อนคันใหญ่ และชามใบใหญ่นั้นวางไว้ข้างๆ
จากนั้นก็ยกอาหารขึ้นมาวาง
ราชครูที่กำลังล้างหน้าอยู่นั้นหันไปมองเด็กหญิงตัวน้อยทีหนึ่ง ก็เห็นใบหน้าที่กำลังตั้งใจทำงานของนาง มองจากด้านข้างก็เห็นว่าขนตาของนางช่างยาวนัก ยามนางทำหน้าจริงจังนั้นแก้มของนางก็พองออกเล็กน้อย
จากนั้นจึงเห็นว่าอาหารที่นางนำออกมาเรียงนั้นมีเนื้อกรอบสีทองจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าเขา
ต่อมานางจึงหยิบขาหมูจานหนึ่งขึ้นมาจากกล่อง แล้ววางลงตรงหน้าตนเอง
ต่อด้วยหยิบเนื้อก้อนทอดออกมาอีกจาน วางลงตรงหน้าตนอีกจาน
สุดท้ายจึงหยิบผักสดสีเขียวมรกตขึ้นมาวางลงตรงหน้าจานใหญ่
ราชครู “......”
มองท่าทางตั้งใจและจริงจังยามจัดอาหารของนางนั้น ก็เห็นว่าหน้าจานเล็กของนางนั้นเต็มไปด้วยกับข้าวเต็มจานที่ทำจากเนื้อและข้าวสวย
ทว่าอาหารที่วางหน้าจานใหญ่นั้นกลับมีเพียงกับข้าวจานเล็กๆ ผักเขียวกับโจ๊กชามหนึ่ง
ว่าแล้วก็ช่างเป็การเคารพอาจารย์ตามหลักคุณธรรมจริงๆ
หลังจากที่ราชครูล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็นั่งลงพร้อมความรู้สึกกรุ่นโกรธที่สุมทรวง
ส่วนเฉินโย่วนั้นยกตะเกียบพร้อมจะรับประทานอาหารแล้ว
่นี้แม่นางหลัวเริ่มสนใจมารยาทบนโต๊ะอาหารของนางแล้ว รวมทั้งท่าจับตะเกียบและท่านั่งเป็ต้น ดังนั้นก่อนจะเริ่มกิน นางจึงต้องหันไปมองท่านอาจารย์กัวก่อน
น้าหลัวบอกต้องรออาจารย์จับตะเกียบก่อนจึงจะเริ่มกินได้
ราชครูมองแววตาใสซื่อของนางแล้วจึงถามขึ้นด้วยความโกรธ “ไฉนอาจารย์จึงได้กินแต่ผักกับโจ๊กเล่า”
“อ้อ ท่านหมอบอกว่าท่านอาจารย์แก่แล้ว ไม่อาจกินของมันได้”
ราชครู “......”
‘ข้ากินอาหารมันไม่ได้ แต่เ้ากลับเอาอาหารมันมามากมายมากินเป็เพื่อนข้า’
ยามเขายังอยู่ในวังนั้น ความจริงแล้วอาหารเช้า เขาก็กินรสอ่อนอยู่ตลอด
ทว่าบัดนี้เมื่อเห็นเ้าเด็กตรงหน้ากินอย่างมีความสุข นางกินซี่โครงสีทองหอมกรุ่นนั่นเข้าไป แล้วจึงคายกระดูกออกมา
ปากคู่น้อยของนางมันแผล็บ
ด้วยข้าวนึ่งนั้นชิ้นใหญ่เกินไป น้ำจิ้มจึงเลอะมุมปากของนาง ทว่านางก็ไม่ได้คิดจะเช็ด
ราชครูนั้นโกรธจัด แม้จะกินอาหารตรงหน้าตนด้วยความแค้นจนหมด ทว่ากลับยิ่งกินแล้วก็ยิ่งหิว
เฉินโย่วน้อยก็กินอาหารได้ไม่น้อย
ทว่านางก็กินอาหารไวนัก น่าจะพอๆ กับที่ราชครูกินเสร็จ อาหารหลายจานตรงหน้านางก็หมดแล้วเช่นกัน
จากนั้นก็ยกผ้าขึ้นเช็ดปากอย่างมีมาดทีหนึ่ง ทั้งรอยข้าวรอยน้ำจิ้มบนใบหน้าล้วนแต่ถูกเช็ดจนสะอาด จากนั้นก็นั่งหลังตรงอย่างมีมารยาท แล้วจึงหยิบผลไม้ลูกเล็กออกมาจากกระเป๋าอีกลูกหนึ่ง เช็ดสองสามทีก่อนจะเริ่มกิน
ในตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เสียงเคาะดังขึ้นแค่สองที จากนั้นประตูก็ถูกผลักออก
คนที่เข้ามานั้นเป็สาวใช้ที่ก็พอนับได้ว่าหน้าตางดงาม เสื้อผ้าก็ดูสะอาดสะอ้านดี
“ท่านอาจารย์กัว นายหญิงให้ข้ามาช่วยท่านเก็บกวาด หากท่าน้าสิ่งใดสามารถบอกกับข้าได้”
ท่าทางของสาวใช้นั้นช่างดูนอบน้อมนัก
ราชครูเดิมทีก็ไม่ได้เป็คนอารมณ์ร้ายอะไร เพียงแต่ยามอยู่กับเด็กหญิงแล้วก็รู้สึกว่าตนโมโหง่ายไปสักหน่อย ทว่าบัดนี้เมื่อเห็นสาวใช้ เขาก็ไม่ได้อารมณ์เสียอะไรแล้ว จึงพยักหน้าให้นางเบาๆ
จากนั้นได้ยินเด็กหญิงกล่าวขึ้นอย่างเอาแต่ใจว่า “พี่เสี่ยวเถา ข้ากับท่านอาจารย์กินข้าวเสร็จแล้ว ท่านมารับข้าใช่หรือไม่”
เสี่ยวเถายามมองเด็กหญิงนั้นไม่ได้มีท่าทีเกรงอกเกรงใจเช่นเมื่อครู่ บัดนี้รอยยิ้มเบิกกว้าง ดูแล้วช่างอ่อนโยนนัก
“เฉินโย่วน้อยเก่งจริงๆ กินอาหารได้มากถึงเพียงนี้”
“ก็ใช่นะสิ ท่านอาจารย์ก็เก่งนัก กินอาหารได้เยอะมาก ทั้งยังกินไวนัก ข้าจึงต้องรีบกินจึงจะกินทัน จนรู้สึกเหนื่อยเสียแล้ว บัดนี้ข้าเลยต้องกินผลไม้เพื่อพักเหนื่อยเสียหน่อย” เฉินโย่วน้อยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ โยกขาไปมา พร้อมกับทำตาปรือ
ราชครูนั้นคิดในใจ ‘ข้าล่ะอยากจะร้องไห้จริงๆ ข้ากินแค่ผักจานเล็กไปสองจานกับโจ๊กชามหนึ่ง เ้าเด็กเวรนี่ถึงกับกินเนื้อถึงสี่ห้าจาน กับข้าวนึ่งอีกสามจาน โจ๊กอีกชามหนึ่ง กระนั้นนางก็ยังกินไวถึงปานนั้น’
เสี่ยวเถายื่นมือออกมาลูบหัวเฉินโย่ว ให้เปียของนางลู่ลง ทว่าเมื่อนางปล่อยมือ มันก็เด้งขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นนางจึงหันมามองราชครู แล้วทำสีหน้าลำบากใจกล่าวขึ้น “ท่านอาจารย์กัวกินอาหารได้มากยอมเป็เื่ดี แต่ท่านหมอกล่าวว่าอาการป่วยของท่านนั้นไม่นับว่าเบา เช่นนั้นท่านจะต้องหัดยับยั้งชั่งใจบ้างนะเ้าคะ”
ราชครู ‘ถ้าข้าบอกว่า ข้ากินผักแค่สองจานกับโจ๊กชามหนึ่ง เ้าจะเชื่อหรือไม่เล่า’