ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน
หลี่เจียงกั๋วในวัยหนุ่มเป็หนึ่งในบุตรชายทั้งหลายของเ้าเมืองเฟิง เหล่าพี่น้องของเขาต่างโดดเด่นแตกต่างกันไปในแต่ละสาขาไม่ว่าบุ๋นหรือบู๊ ทุกคนต่างทยอยสอบเข้าเป็ขุนนางในราชสำนัก
ทว่าตัวเขากลับกลายเป็สิ่งด่างพร้อยของตระกูล ผ่านไปหลายปีไม่ว่าจะสอบสักกี่คราหลี่เจียงกั๋วก็ไม่เคยผ่านระดับถงเซิงไปได้ แม้จะร่ำเรียนไม่เข้าหัวแต่ตัวเขามักแสดงท่าทีว่าตนเองคือบัณฑิตผู้มีความรู้อยู่ร่ำไป
ความโง่เขลาของหลี่เจียงกั๋วทำให้บิดาผิดหวัง เ้าเมืองเฟิงที่รู้สึกอับอายได้แบ่งมรดกให้เขาส่วนหนึ่งจากนั้นจึงสั่งให้หลี่เจียงกั๋วออกจากตระกูล
ถึงจะเป็คุณชายตกอับทว่าก็ยังไม่ถึงกับยากจน
เมื่อออกจากตระกูลหลี่ก็ต้องระหกระเหินมาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทพร้อมกับสาวใช้ข้างกายที่แอบตามเขามา ถึงกระนั้นเขาก็ยังคาดหวังกับบุตรชายทั้งสองว่าพวกเขาจะสามารถสอบติดขุนนาง เพื่อที่จะได้แก้แค้นตระกูลเดิมของตน
แต่บุตรชายของหลี่เจียงกั๋วไหนเลยจะสามารถก้าวข้ามบิดาไปได้คนโตก็พาสตรีไร้หัวนอนปลายเท้าท้องแก่ใกล้คลอดกลับมา ส่วนคนเล็กก็เอาแต่ขลุกอยู่ที่หอนางโลม ยังดีที่เขาสามารถแต่งสตรีมีฐานะเข้ามาในตระกูลได้
ส่วนหม่าซื่อหยุนนางคือทาสที่ทำงานอยู่ในเรือนของหลี่เจียงกั๋ว เมื่อรู้ว่าคุณชายของตนถูกขับไล่ออกจากตระกูล นางจึงได้ขอติดตามมา หลี่เจียงกั๋วเห็นนางมิได้ทอดทิ้งตนในยามยากจึงได้รับเป็ภรรยา
ทว่าหนังสือสัญญาขายตัวของนางยังคงอยู่ที่จวนเ้าเมือง หมายความว่าตอนนี้หม่าซื่อหยุนเป็เพียงทาสผู้หนึ่งที่หลบหนีเท่านั้น
เื่ในอดีตมีเพียงผู้เฒ่าหลี่และหญิงชราเท่านั้นที่รู้ ในเมื่อมิได้เอ่ยออกไปก็จะไม่มีใครรู้เื่ แต่ถ้าหากความลับถูกแพร่งพรายออกไปหม่าซื่อหยุนก็คงจบเพียงเท่านี้
นั้นคือสิ่งที่พวกเขาคิด
ทว่าบัดนี้หลี่อันหนิงผู้ที่แอบฟังความคิดของทุกคนนอนผิวปากอารมณ์ดีอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก นางกอดน้องน้อยเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนหลับไปด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“ปัง!!ปัง!!ปัง!! ตื่นเดี๋ยวนี้นะ นางเด็กสารเลว จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อใด ทำไมไม่ลุกขึ้นมาทำงาน”
แม่เฒ่าหม่าหลังจากตื่นนอนรอทานอาหารเช้า กลับพบว่าเตาในครัวยังคงเย็นชืด เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าหลานสาวนอกคอกของตนมิได้ตื่นมาทำงานอย่างที่นางเอ่ยเตือนไปเมื่อวาน
“เคาะอันใดนักหนา มิใช่ข้าบอกไปแล้วหรือว่าข้าจะไม่ทำตามที่ท่านสั่งอีกแล้ว”
หลี่อันหนิงงัวเงียเปิดประตู ที่ข้างแก้มของนางยังมีรอยตราทับอยู่เลย แม่เฒ่าหม่าเห็นเพียงเท่านั้นอารมณ์ก็ปะทุขึ้นทันที
“สารเลว!! เ้าหมาป่าตาขาว กล้ายอกย้อนย่าอย่างข้าหรือ”
“เฮ้อ! น่ารำคาญจริงเชียว ะโอันใดแต่เช้า ถ้าท่านหิวนักก็เข้าครัวทำเองไม่เป็หรือ มาแสดงเป็เ้านายอันใดที่นี่ มิใช่เมื่อก่อนก็เคยทำหรืออย่างไร เป็ทาสในตระกูลใหญ่ข้าว่าน่าจะลำบากมากกว่าตอนนี้นะ”
แม่เฒ่าหม่าที่กำลังแผดเสียงด่าหลี่อันหนิงถึงกับชะงักงัน เมื่อได้ยินคำพูดของนาง
“เ้า! ที่เ้าพูดหมายความว่าอย่างไร”
“จะหมายความว่าอย่างไรได้อีก ความหมายของข้าก็คือท่านเองก็เป็ทาสเหตุใดยังมาใช้ผู้อื่นเยี่ยงทาสอีกเล่า หรือมีปมในใจในอดีตเลยเอามาลงที่ข้าสองพี่น้อง”
คำพูดของเด็กสาวทำเอาแม่เฒ่าหม่าถึงกับสะอึก
“จะ..เ้ารู้ได้อย่างไร”
เด็กสาวเยาะยิ้มอย่างเย้ยหยัน ั์ตาคมมองไปยังหญิงชราด้วยสีหน้าที่เหนือกว่า
“ข้ารู้ได้อย่างไรหาใช่เื่สำคัญ ท่านย่าเคยได้ยินคำนี้หรือไม่ เสียหน้าจนลามไปถึงครอบครัว ท่านคิดว่าหากเื่นี้ถูกแพร่งพรายออกไปคนในหมู่บ้านจะมองตระกูลหลี่อย่างไร ไข่มุกงามบนฝ่ามือท่านอย่างอาเล็กจะเป็อย่างไร คิดว่าคนดีดีที่ไหนอยากจะแต่งงานกับลูกของทาส ใช่หรือไม่”
แม่เฒ่าหม่าแสดงอาการประหม่าออกมาทันที เมื่อเด็กสาวเอ่ยถึงการแต่งงานของบุตรสาวคนเล็ก
ตนที่ดูแลบุตรสาวคนนี้มาเป็อย่างดี จะถือไว้ในมือก็กลัวตกจะอมไว้ในปากก็กลัวละลาย ไม่เคยกล้าทำให้นางขุ่นเคืองใจ ทว่าเ้าเด็กหน้าไม่อายนี่กลับอาจหาญเอานางมาข่มขู่ตน คงไม่อยากตายดีแล้วใช่หรือไม่
แม่เฒ่าหม่าได้แต่กัดฟันทน มิให้ตนพุ่งเข้าไปฉีกปากของนาง
“เ้า้าสิ่งใด ถึงได้นำเื่นี้มาข่มขู่ข้า คิดว่าผู้อื่นจะเชื่อสิ่งที่เ้าพูดหรือ”
หลี่อันหนิงแสยะยิ้มประหนึ่งกำลังส่งยิ้มให้กับครอบครัวอันเป็ที่รัก ทว่าวาจาราวกับมีดที่ปักลงกลางใจหญิงชรา
“เช่นนั้น...ท่านย่าจะลองดูหรือไม่ ต่อให้เื่นี้เป็ความเท็จแต่ถ้าข่าวลือถูกแพร่งพรายออกไป อย่างไรหลี่เจียนเจียนก็ไม่มีวันหนีพ้นมลทิน”
แม่เฒ่าหม่าไม่คิดว่าเด็กสารเลวที่ตนข่มเหงมาทั้งชีวิต จะเกิดฉลาดขึ้นมาในหนึ่งวัน นางมองร่างผอมบางด้วยสีหน้าแคลงใจ หรือว่าเื่นี้มีผู้อยู่เื้ัคอยบงการ
“เ้า้าอะไรกันแน่”
หลี่อันหนิงรอฟังคำนี้มานานแล้ว นางตอบกลับแม่เฒ่าหม่าด้วยสีหน้าเริงร่า
“ความเท่าเทียมเ้าค่ะ ต่อจากนี้ไปคนในเรือนตระกูลหลี่ต้องทำงานเหมือนที่ข้าทำ ข้าคิดว่าท่านย่าคงจะบังคับพวกนางได้นะเ้าคะ”
หลี่อันหนิงบุ้ยใบ้ไปยังสองสะใภ้ที่ยืนงัวเงียอยู่ที่หน้าเตาไฟ
“แค่นี้เองหรือ”
แม่เฒ่าหม่ามองหลานสาวนอกคอกด้วยสีหน้าเคลือบแคลง
“เ้าค่ะ แค่นี้ ต่อไปไม่ว่าข้าและน้องสาวจะทำสิ่งใดท่านก็ห้ามเข้ามาแทรกแซง ไม่อย่างนั้นจะเป็ท่านเองที่บีบบังคับข้าให้เปิดเผยมันออกมา”
เ้า!!”
หลี่อันหนิงส่งยิ้มเย็นให้กับหญิงชรา
“ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าถ้าเื่นี้ถูกพูดออกไป แม้แต่สองสะใภ้ที่เคยเอาอกเอาใจท่านพวกนางก็คงจะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ฉะนั้นแล้ว...ท่านย่าจงตรึกตรองให้ดีก่อนทำสิ่งใดลงไป”
เด็กสาวเอ่ยจบก็ปิดประตูเสียงดังปังต่อหน้าต่อตาแม่เฒ่าหม่า หญิงชราได้แต่สบถด่าทอการกระทำของนางในใจ
แม้จะรู้สึกหงุดหงิด แต่ถึงกระนั้นหญิงชราก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกเสียจากต้องมาบังคับให้สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองเข้าครัวเพื่อทำอาหารเช้า
“ท่านแม่ เหตุใดวันนี้ถึงไม่มีอะไรทานเล่าเ้าคะ เตาก็ไม่ร้อนหรือว่าหลี่อันหนิงฏอีกแล้ว”
หนี่ม่านม่านผู้ที่มักจะเอ่ยประจบประแจงหญิงชราอยู่ตลอด นางฉลาดรู้ว่าควรเอ่ยสิ่งใดให้แม่สามีอารมณ์ดี แต่วันนี้กลับต่างออกไป
“หุบปาก!! ไม่รู้จักทำอะไรเอาแต่นั่งงอมืองอเท้าราวกับคนพิการ เอาเวลาที่เ้าพูดมาก่อไฟในเตาไม่ดีกว่าหรือ”
หนี่ม่านม่านถึงกับหน้าเหวอเมื่อถูกหญิงชราด่าทอ นางไม่อยากจะเชื่อหูตนเองนี่ยังเป็แม่สามีผู้นั้นของนางอยู่หรือไม่ หรือนางล้มหัวฟาดพื้นจนทำให้สติฟั่นเฟือนวันนี้ถึงได้พูดเข้าข้างหลี่อันหนิง
“ท่านแม่ วันนี้ท่านไม่สบายใช่หรือไม่”
“น้องสะใภ้รองยังจะถามอีกหรือ ท่านแม่ก็พูดชัดเจนแล้วว่าให้เ้าทำอาหารเช้า ฮ้าววว วันนี้ข้าและนายท่านใหญ่มีธุระในตำบลหยางเฉิง คงไม่ได้อยู่ทานอาหารฝีมือเ้า”
“นี่!!เ้า!!”
จางเหยาฮวาสะใภ้ใหญ่เหลือบตามองไปยังห้องเก็บฟืนอย่างครุ่นคิด
“ดูเหมือนจะฉลาดขึ้นมาสักหน่อยแล้วสินะ รู้จักต่อสู้เพื่อตนเอง แต่เด็กน้อยคนหนึ่งจะดิ้นรนไปได้สักกี่น้ำ”
“เดี๋ยวเ้าก็จะได้รู้ว่าข้าสามารถทำอะไรได้”
หลี่อันหนิงเอ่ยพึมพำเสียงเบาหลังจากได้ยินความคิดของแม่เลี้ยง
“ถุ้ย!! สิ่งนี้ยังเรียกว่าอาหารได้อยู่อีกหรือ เหตุใดวันนี้หลี่อันหนิงถึงได้เอาอาหารหมู่มาให้เรากิน ดูสิแต่ละจานมีแต่น้ำมันเยิ้มท่วมไปหมด ท่านแม่ท่านต้องจัดการเื่นี้ให้เด็ดขาดนะขอรับ นางต้องแกล้งเราเพื่อไม่ให้ตนเองต้องทำงานแน่”
หลี่เฟิงหัวผู้เป็อารองคายอาหารที่อยู่ในปากทิ้ง ข้าวในชามไม่สุกผัดผักกับไข่เจียวราวกับแช่อยู่ในน้ำมัน ไข่เจียวไม่เท่าไหร่ แต่ผัดผักทั้งขมทั้งดิบ นี่มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ
“หุบปากแล้วรีบกินเข้าไปเถอะ”
หนี่ม่านม่านแอบหยิกสามีใต้โต๊ะ วันนี้ตนเองเป็ผู้ทำอาหารจะทานได้หรือไม่ก็ต้องทานเข้าไป แต่หลี่เฟิงหัวกลับไม่เข้าใจยังคงวิจารณ์อาหารเช้าอย่างมันปาก
“ใครทำอาหารเช้า”
เสียงของผู้เฒ่าหลี่ดังขึ้น หลังจากพุ้ยข้าวเข้าปากก่อนจะคายออกมา
“ขะ..ข้าเองเ้าค่ะ”
ชายชรากระแทกตะเกียบลงบนชาม ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะอาหาร หญิงชราถลึงตาใส่สะใภ้รองแล้วรีบเดินตามสามีไป
“ที่รัก ผีอะไรดลใจให้เ้าทำอาหารหรือ หรือเ้าไม่รู้ว่าระดับฝีมือตนเองเป็อย่างไร”
หนี่ม่านม่านที่อับอายพ่อสามีเื่ฝีมือการทำอาหารของตน บัดนี้ยังต้องมาถูกสามีตอกย้ำจุดเจ็บ นางลุกขึ้นยืนอย่างไม่พอใจก่อนคว่ำชามข้าวในมือใส่หลี่เฟิงหัว
“หุบปาก ทำให้กินแล้วยังไม่รู้จักพอใจอีก เป็เพราะหลี่อันหนิงนั่นคนเดียวเื่ทุกอย่างถึงได้เป็แบบนี้”
หญิงสาวเดินกระทืบเท้ากลับห้องไปอย่างไม่สบอารมณ์ ที่โต๊ะทานข้าวบัดนี้เหลือเพียงสองคน คือหลี่เฟิงหัวผู้เป็บิดาและหลี่ชิงบุตรชาย