นางรู้ดีว่าไท่จื่อเกลียดที่สุดก็คือคนข้างกายของเขาคิดกับเขาในเื่ที่ไม่บังควร ขอเพียงเป็คนที่มีใจคิดนอกลู่นอกทางกับไท่จื่อล้วนถูกเขากำจัดออกไปสิ้น ที่นางสามารถรั้งอยู่ข้างกายเขาได้ ล้วนเป็เพราะนางระมัดระวังเก็บงำความรู้สึกในใจของตนเป็อย่างดี ทว่าตอนนี้นางกลับถูกเฟิ่งเฉี่ยนเปิดโปงด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว นางจึงรู้สึกลนลานขึ้นมาทันที
“ข้าพูดอะไรผิดหรือ เื่ที่เ้าไม่ได้แอบหลงรักองค์ไท่จื่อ หรือเป็เื่ที่เ้าไม่ได้ส่งคนไปตามล่าสังหารข้า” เฟิ่งเฉี่ยนบีบคั้นชนิดกัดไม่ปล่อย
“ข้า...ข้า...” ชิวหลิงทำอะไรไม่ถูก
มู่หรงจื่ออวิ๋นก้าวออกมาพูดในตอนนี้ว่า “เสด็จพี่ ข้าเชื่อชิวหลิง! นางจงรักภักดีต่อเสด็จพี่มาโดยตลอด ไม่มีทางพูดปดเด็ดขาด เมื่อสักครู่เชื้อไฟจุดิญญาในถ้ำเมฆาอัคคีหายไปอย่างไร้ร่องรอย คนผู้นี้กลับปรากฏตัวหน้าถ้ำอย่างประจวบเหมาะ พฤติกรรมน่าสงสัยยิ่ง ข้าสงสัยว่านางไม่เพียงแต่ขโมยหมูเทพไป ยังขโมยเชื้อไฟจุดิญญาไปด้วย!”
คำพูดของมู่หรงจื่ออวิ๋นเป็คมดาบที่พุ่งเป้ามาที่เฟิ่งเฉี่ยน ่เวลาที่นางปรากฏตัวบริเวณหน้าถ้ำเมฆาอัคคีเป็เื่บังเอิญเกินไป อีกทั้งเมื่อสักครู่ได้พิสูจน์แล้วว่านางและเซวียนหยวนเช่อเป็พวกเดียวกัน พวกเขาทั้งสองคนร่วมมือกันตีขนาบประสานกันทั้งด้านนอกและด้านในก็ไม่ใช่ว่าจะเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้!
แววตานิ่งลึกของมู่หรงจิ่งเทียนเต็มไปด้วยความระแวงสงสัย ราวกับ้ากลืนกินเฟิ่งเฉี่ยน “พูดมา เื่ทั้งหมดนี้เ้าเป็คนทำใช่หรือไม่”
เฟิ่งเฉี่ยนกระพริบตาปริบๆ ดวงตาของนางใสกระจ่างราวกับน้ำในน้ำตก นางเอนกายไปอิงแอบเซวียนหยวนเช่อ แล้วพูดเสียงอ่อนน่าเวทนา “ท่านพี่ พวกเขาใส่ร้ายข้า!”
นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเซวียนหยวนเช่อกระตุกเล็กน้อย คล้ายว่าถูกการกระทำของนางทำให้หนาวะเื กระทั่งตัวนางเองก็ยังรู้สึกว่ารับตัวเองไม่ค่อยได้
คิ้วกระบี่ของเขาเลิกขึ้น เซวียนหยวนเช่อยื่นแขนออกมาโอบเอวของนางเอาไว้แล้วพูดเสียงเย็น “เป็ฝีมือนางแล้วอย่างไร ไม่ใช่ฝีมือนางแล้วอย่างไร หมูเทพและเชื้อไฟจุดิญญาล้วนเป็ของป่าหมอกดำแห่งนี้ ไม่ได้เป็ของใครทั้งสิ้น คิดจะพวกมัน ทุกคนต่างต้องอาศัยฝีมือและความสามารถของตนเอง!”
คำพูดของเขาประกาศชัดเจนว่า หากท่านไม่พอใจก็มากัดข้าสิ เฟิ่งเฉี่ยนมองเขาตาค้าง ไม่เสียแรงที่เป็เซวียนหยวนเช่อ เผด็จการ อวดดีเหลือร้าย!
สายตาของมู่หรงจื่ออวิ๋นจับจ้องแขนของเขาที่โอบเอวของเฟิ่งเฉี่ยนด้วยสีหน้าของคนได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจ
มู่หรงจิ่งเทียนถลึงตาจ้องเซวียนหยวนเช่อ ั้แ่เล็กจนเติบใหญ่เขาเห็นเซวียนหยวนเช่อเป็ศัตรูคู่แค้นของตนเองมาโดยตลอด ตอนนี้บัญชีแค้นของเขาเพิ่มขึ้นอีกเื่หนึ่ง!
สถานการณ์ตรงหน้าตึงเครียดถึงที่สุด
เสียงเคลื่อนไหวครืนๆ ดังสนั่นมุ่งหน้ามายังทิศทางที่พวกเขายืนอยู่ในเวลานี้
มู่หรงจื่ออวิ๋นหน้าเสีย “แย่แล้ว กิเลนไฟจะไล่ตามมาทันแล้ว!”
“ไป!” เซวียนหยวนเช่อโอบเฟิ่งเฉี่ยนเหินกายออกไป
“อาเช่อ!” มู่หรงจื่ออวิ๋นยังคงมองเงาร่างด้านหลังของเขาอย่างตัดใจไม่ได้ นางคิดจะติดตามไปทว่าถูกมู่หรงจิ่งเทียนคว้าตัวนางเอาไว้
“ข้ารู้ว่าพวกเขาจะไปที่ใด พวกเขาหนีไม่พ้นหรอก!”
แววตาของเขาปรากฏให้เห็นความเ็า มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย แสงตาที่สะท้อนออกมาเป็ความเืเย็นและโหดร้าย
เวลานี้เป็เวลายามเว่ย[1]แล้ว หมอกในป่าหมอกดำยิ่งเพิ่มความหนาแน่นมากขึ้น เฟิ่งเฉี่ยนเหินกายผ่านผืนป่าพร้อมกับเซวียนหยวนเช่ออย่างรวดเร็ว ทางข้างหน้านั้นมองไม่ชัดแล้ว ได้แต่อาศัยต้นไม้ใหญ่เป็ทิศทางพุ่งไปข้างหน้า ถูกเซวียนหยวนเช่ออุ้มไว้เช่นนี้ เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกได้ถึงความปลอดภัย แม้เขาจะเป็คนเ็า ทว่าอ้อมกอดของเขากลับอบอุ่นยิ่ง ทำให้คนรู้สึกว่าเขาเป็ที่พึ่งพิงได้
ความคิดเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวเหลือเกิน เมื่อคนเราเกิดความคิดที่จะพึ่งพิงผู้อื่นย่อมกลายเป็คนอ่อนแอ!
ดังนั้น นางจะต้องตัดความรู้สึกเช่นนี้ออกไปจากใจให้ได้!
นางดิ้นรนฮึดฮัดแล้วกล่าวว่า “ปล่อยข้าลงเถอะ ข้าเดินเองได้”
เซวียนหยวนเช่อไม่ได้ใส่ใจนาง ยังคงเหินกายไปข้างหน้าต่อไป
เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกหงุดหงิด “เซวียนหยวนเช่อ ข้ากำลังพูดกับท่านอยู่นะ! ปล่อยข้าลงไป!”
เซวียนหยวนเช่อก้มหน้าลงมองนาง “เ้าเป็ใครกันแน่ เ้ามีความลับที่ปิดบังเจิ้นไว้อีกมากมายเท่าใด”
เฟิ่งเฉี่ยนอับจนคำพูดทันที ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร เขาเป็คนฉลาด จะต้องคาดเดาได้แน่นอนว่านางเป็คนขโมยหมูเทพและขโมยเชื้อไฟจุดิญญาเช่นกัน อีกทั้งนางถูกเขาจับได้ขณะที่นางใช้ยันต์ล่องหน ทั้งหมดนี้นางไม่มีทางแก้ต่างให้ตนเองได้
“กำลังคิดเื่โกหกอะไรมาหลอกลวงเจิ้นอีกแล้วใช่หรือไม่”
เขาช่างเฉียบคมยิ่งนัก มองนางปราดเดียวก็อ่านใจนางได้ทะลุปรุโปร่ง
“มีแต่คำพูดโกหกเต็มปากแล้วยังชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้านอีก เ้าบอกมาว่าเจิ้นรั้งเ้าไว้ข้างกายยังมีประโยชน์อันใด”
เฟิ่งเฉี่ยนได้ยินแล้วย้อนกลับไปทันทีว่า “ข้าชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้านหรือ ท่านต่างหากเล่าที่ทำเช่นนั้น ในวังมีหญิงงามมากมายอยู่แล้ว ข้างนอกวังก็ยังมีอีก ท่านถึงกับมีหน้ามากล่าวหาว่าข้าโปรยเสน่ห์ไปทั่ว เซวียนหยวนเช่อ ผู้ที่ควรจะพิจารณาตนเองคือท่านมากกว่านะ!”
เซวียนหยวนเช่อก้มหน้าลงมองนางด้วยแววตาแฝงนัยอย่างอื่น เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เ้า...กำลังกินน้ำส้มอยู่ใช่หรือไม่”
แก้มทั้งสองข้างของเฟิ่งเฉี่ยนพลันร้อนซู่ นางย้อนคิดถึงคำพูดของตนเมื่อสักครู่ ดูเหมือนจะได้กลิ่นเปรี้ยวๆ อยู่บ้าง นางยืดอกเอ่ยวาจายอกย้อนเสียงดัง “ใคร...ใครกินน้ำส้มกัน”
เซวียนหยวนเช่อพูดเนิบๆ “แล้วเ้าหน้าแดงทำไมกัน”
นางยกมือลูบแก้มตนเอง ััได้ถึงความร้อนจัด เฟิ่งเฉี่ยนหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก นางตะคอกใส่เขาอย่างอารมณ์เสีย “มารดาใครหน้าแดงกัน ข้าร้อนไม่ได้หรือ”
เซวียนหยวนเช่อหน้าดำทะมึน พูดว่า “ขืนเ้าพูดคำหยาบอีกคำเดียว เจิ้นจะโยนเ้าลงไปเดี๋ยวนี้!”
“ท่านโยนสิ!” ด้วยความที่กำลังโมโหจัดและ้าเอาชนะ เฟิ่งเฉี่ยนพลันยกแขนทั้งคู่โอบไปรอบลำคอของเขา ขาทั้งคู่ก็ยกขึ้นมาเกี่ยวเอวของเขาเอาไว้ ร่างทั้งร่างของนางแทบจะแขวนอยู่บนร่างของเขา คิ้วงามเลิกขึ้นเล็กน้อย “อย่างมากก็แค่ตายด้วยกัน!”
เซวียนหยวนเช่อถูกการกระทำเช่นนี้ของนางทำให้ตะลึงงันอยู่บ้าง เรือนร่างนุ่มนิ่มนั้นแนบชิดไปกับร่างของเขา ทำให้จิตใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างประหลาด เขาที่เป็คนควบคุมตัวเองได้ดีมาตลอด ทว่ายังคงเสียกิริยาจนลืมเดินพลังลมปราณ ชั่วขณะหนึ่งร่างของคนทั้งสองจึงร่วงลงมากลางอากาศ เขารีบดึงสติกลับมาแล้วลงสู่พื้นดินโดยไม่ต้องมีสภาพอเนจอนาถ
“ลงไป!” เขาตวาดเสียงเย็น
เฟิ่งเฉี่ยนเพิ่งจะคิดได้ในตอนนี้เองว่าท่าทางที่พวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันอบอุ่นเพียงใด นางรีบะโลงมาจากร่างของเขา จากนั้นหมุนตัวหันหลังใช้มือต่างพัดโบกลมใส่ใบหน้าที่ร้อนซู่ของตน
ลั่วหยิ่งและองครักษ์ทั้งหกที่ตามหานายของตนเห็นคนทั้งสองเหินกายอยู่กลางอากาศั้แ่ไกลๆ แล้ว ขณะที่กำลังคิดจะทักทายพลันเห็นฮองเฮาเหนียงเหนียงใช้มือและขาทั้งคู่พันรัดร่างของฮ่องเต้ เรียกได้ว่าร่างทั้งร่างแขวนอยู่บนร่างของฮ่องเต้ก็ว่าได้ นี่มัน...
นี่มันกลางวันแสกๆ เหนียงเหนียงท่านก็ลวนลามฮ่องเต้ต่อหน้าธารกำนัล!
แต่ละคนได้แต่ยืนงันอยู่กับที่ เดินเข้าไปก็ไม่ใช่ ถอยออกไปก็ไม่ใช่อีก
บรรยากาศแปลกประหลาดทำให้คนแทบจะหายใจไม่ออก!
เนิ่นนาน ลั่วหยิ่งจึงส่งเสียงไอแค่กๆ ออกมาเพื่อเป็การทำลายบรรยากาศก่อนหน้านี้ “ฝ่าา ฮองเฮา พวกท่านกลับมาแล้ว พวกท่านไม่เป็ไรกระมัง”
ฮ่องเต้และฮองเฮาต่างเอาแต่เงียบขรึม ไม่มีใครยอมตอบคำ
ลั่วหยิ่งลอบปาดเหงื่อแล้วพูดขึ้นอีกว่า “ฝ่าา ป่าหมอกดำจะถูกปกคลุมด้วยหมอกในไม่ช้านี้แล้ว พวกเรารีบออกไปจากที่นี่เถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“อืม” เซวียนหยวนเช่อเดินนำหน้าออกไปก่อน
เฟิ่งเฉี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ก้าวตามไปอย่างหงุดหงิด
เดินออกมาจากป่ากลับมาถึงรถม้า คนทั้งหมดเดินทางมุ่งหน้าไปยังหุบเขาไป่ฮวา
เฟิ่งเฉี่ยนและเซวียนหยวนเช่อนั่งอยู่ในรถม้า ทั้งคู่ต่างไม่พูดไม่จา
พระอาทิตย์ใกล้ตกดินมีฝนตกลงมา รถม้าวิ่งฝ่าสายฝน เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกเย็นจึงหดกายของตนพลันนึกขึ้นได้และร้องออกมาว่า “แย่แล้ว เสื้อคลุมกันลมที่พี่ใหญ่มู่มอบให้หายไปแล้ว”
[1] ยามเว่ย คือเวลาประมาณ 13.00-15.00 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้