โถงใหญ่กลับมาดำเนินการตามปกติ ภายในตำหนักเงียบเชียบ เหล่าบุรุษกำลังเขียนข้อสอบตอบคำถามดังเดิม เหอกวงกับเพื่อนร่วมงานในกรมพิธีการกับกุ่ยหยิงเดินตรวจตราไปมา
คนผู้หนึ่งอยู่ตรงโต๊ะว่างที่ค่อนข้างสะดุดตาของฟ่านเสี้ยวเหวินตัวนั้น แล้วอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว
มู่หรงฉือเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงตรงโต๊ะเตี้ยที่ฟ่านเสี้ยวเหวินเคยนั่ง ดวงตาเย็นเยียบกวาดมองไปทั่ว
ใกล้ๆ ที่ฝนหมึกเดิมทีมีผงเล็กๆ ที่สังเกตได้ยากอยู่ นี่เป็สิ่งที่นางสังเกตเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจตอนที่อาการหอบหืดของฟ่านเสี้ยวเหวินกำเริบ ทว่า ตอนนี้กลับหายไปแล้ว นางมองไปที่พื้น เป็อย่างที่คิด บนพื้นยังมีผงเหลืออยู่เล็กน้อย
“เตี้ยนเซี่ย มีเื่ใดจะสั่งกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เวยเหวินชางที่เป็หนึ่งในรองเ้ากรมของกรมพิธีการเข้ามาถามพลางโค้งตัว ใบหน้าซื่อสัตย์มองดูแล้วให้ความเคารพนอบน้อมอย่างยิ่ง
มู่หรงฉือพูดเสียงเบา “ไม่มีอะไร เปิ่นกงแค่มองไปเรื่อยๆ อย่างนั้น เ้าไปทำงานเถิด”
เวยเหวินชางเดินจากไปอย่างระมัดระวัง นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา แล้วเอาไปเช็ดตรงใต้แท่นฝนหมึก จากนั้นก็พับผ้าเช็ดหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วเก็บเข้าในแขนเสื้ออย่างว่องไว
การกระทำทั้งหมดนี้รวดเร็วฉับไว ราวกับเมฆที่ไม่มีอะไรมาผูกรั้ง
ตอนที่เวยเหวินชางหมุนตัวกลับมามอง นางก็เดินไปด้านนอกแล้ว
ครั้นกลับมาถึงตำหนักข้าง มู่หรงฉือเห็นมู่หรงอวี้กำลังสั่งขันทีให้ขนศพออกจากวังแล้วส่งกลับไปยังตระกูลฟ่าน จึงรีบพูด “ช้าก่อน!”
เขาหันมามองนาง แววตาเข้มขึ้นมาเล็กน้อย “เตี้ยนเซี่ยพบอะไรหรือไม่?”
“เื่นี้ดูเหมือนจะง่าย แต่เปิ่นกงรู้สึกว่าเชิญเซ่าชิงจากศาลต้าหลี่มาชันสูตรศพจะเป็การดีที่สุด หากหลังจากชันสูตรศพแล้วไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย ค่อยส่งศพกลับไปที่จวนตระกูลฟ่านก็ยังไม่สาย” นางพูดอย่างมีเหตุผล “เปิ่นกงได้สั่งให้คนไปเชิญเสิ่นจือเหยียนมาแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานเขาก็จะมาถึงแล้ว”
“เตี้ยนเซี่ยทำอะไรได้รอบคอบมาก ดี” มู่หรงอวี้กล่าวหน้านิ่ง
นางยิ้มเล็กน้อย ในใจหัวเราะเหอะๆ ก็ไม่รู้ว่าเขาเหน็บแนมหรือว่าชื่นชมกันแน่
ดังนั้น หมอหลวงหลี่จึงยังไปไหนไม่ได้ จะต้องรอให้เสิ่นจือเหยียนมาเสียก่อน ทั้งสองคนจะได้ชันสูตรพลิกศพด้วยกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหอกวงจึงเข้ามาขอความเห็น “ท่านอ๋อง เตี้ยนเซี่ย ต่อไปจะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ? ให้คนพวกนี้กลับไปหรือว่า...”
มู่หรงฉือพูดออกมาอย่างจนใจ “ยังกลับไปไม่ได้สักคน ให้พวกเขารั้งอยู่ที่โถงใหญ่ สั่งขันทีให้ยกชากับขนมมาให้พวกเขาสักหน่อย”
เขามองไปทางอวี้หวางเพื่อขอความเห็น ขังคนเอาไว้ในตำหนักอู่อิง นี่ไม่ได้กำลังบอกว่าทุกคนล้วนเป็ผู้ต้องสงสัยหรือ?
มู่หรงอวี้เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ทำตามความเห็นของเตี้ยนเซี่ย”
เหอกวงรับคำสั่งแล้วจากไป
มู่หรงอวี้ดื่มชาหนึ่งถ้วยก่อนพูดเสียงเบา “เตี้ยนเซี่ย ขอเวลาคุยกันสักหน่อยได้หรือไม่”
มู่หรงฉือเห็นเขาเดินเข้าไปในตำหนัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขามีเจตนาไม่ดี แต่ยังคงกัดฟันเดินตามเข้าไป
ในตำหนักไม่ค่อยมีแสงสว่าง มีเพียงแสงส่องมาจากหน้าต่างจนเห็นเศษฝุ่นลอยละล่อง
เขายืนอยู่ตรงหน้าต่างระหว่างส่วนแสงและเงาตัดกันพอดี แสงแดดระยิบระยับเหมือนกับดาบที่ผ่าใบหน้าเ็าของเขาให้มืดกึ่งหนึ่งสว่างกึ่งหนึ่ง แลดูลึกลับอย่างน่าประหลาด ราวกับปีศาจที่ปีนขึ้นมาจากขุมนรก ดำมืดลึกลับน่าหวาดกลัวจนขนหัวลุก ในส่วนที่สว่างก็สดใส แสงแดดสีขาวเย้ายวนผู้คน แต่กลับขัดแย้งในร่างที่มีทั้งสว่างและมืดมิด
คนที่ขัดแย้งในตัวเองเช่นนี้ช่างทำให้คนคาดเดาไม่ออก
“ท่านอ๋องมีอะไรจะพูดกับเปิ่นกงหรือ?” นางยืนอยู่ห่างจากทางออกไม่ไกล อยู่ห่างจากเขาค่อนข้างมาก
“หรือเตี้ยนเซี่ยอยากจะให้คนนอกเห็นกันหมดหรือ?”
มู่หรงอวี้หมุนตัวกลับมา ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยกลิ่นอายน่าพรั่นพรึง แต่กลับไม่ทำลายความงดงามของใบหน้านั้น
มู่หรงฉือจำต้องเดินไปข้างหน้าหลายก้าว รอให้เขาพูดต่อไป
“เมื่อครู่เตี้ยนเซี่ยไปที่โถงใหญ่มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?” เขาเดินเข้าไปในมุมมืด ยืนอยู่ตรงหน้านาง
“ท่านอ๋องใส่ใจการตายของฟ่านเสี้ยวเหวินด้วยหรือ?” นางพยายามเก็บมุมปากที่ยกขึ้นอย่างเย้ยหยัน
“เตี้ยนเซี่ยยังจำ ‘รับผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้’ ได้หรือไม่” มู่หรงอวี้ยิ้มลึกลับ เสียงแหบต่ำลงมาหลายส่วน
นางเบิกตากว้างทันที ก่อนจะจ้องเขาอย่างระมัดระวัง
ั์ตาสีเข้มของเขามีรอยยิ้มอยู่ลึกๆ “พระองค์สั่งสอนองค์หญิงจาวฮวาเช่นนั้น เปิ่นกงควรจะ ‘ตอบแทน’ พระองค์ที่เป็ตัวต้นคิดอย่างไรดี?”
เขาเน้นคำเสียงหนักตรงคำว่า ‘ตอบแทน’
มู่หรงฉือหัวเราะเสียงเย็น “ท่านอ๋องผู้ชาญฉลาด ไม่ว่าเื่ใดก็นำหน้าผู้อื่นอยู่เสมอ จะถูกคนอื่น ‘ผูกมัด’ ได้อย่างไร?”
“ปกติแล้วการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันเป็สิ่งที่เปิ่นหวางชอบ”
“เช่นนั้นท่านอ๋อง้าจะทำอย่างไร…”
พูดยังไม่ทันจบ นางก็รู้สึกว่าตรงเอวพลันหลวมโพรก ที่แท้ผ้ามัดเอวของนางถูกปลด เสื้อคลุมก็ถูกคลายออก
นางโมโหจนในหัวใจมีไฟลุกโชน รีบก้มหน้าลงผูกผ้าให้ดี
แต่คนทำก็โผล่มาทางด้านหลังของนาง ค้อมตัวลงบนหลังคอของนางเบาๆ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก
ผิวเนื้อเย็นๆ ที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ ทั้งเรียบเนียนละเอียดนุ่มลื่น แอบรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมติดจมูกที่เข้าสะกิดหัวใจ ความรู้สึกวูบวาบแผ่ลามไปทั่ว…
มู่หรงฉือรู้สึกได้ถึงได้ลมหายใจอุ่นร้อนจากจมูกแผ่กระจายอยู่ที่หลังคอ หัวใจพลันกระตุก ร่างทั้งร่างแข็งเกร็ง ทั้งตัวราวกับถูกแช่แข็ง ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว…
เขา้าจะทำอะไร?
มู่หรงอวี้ไม่พอใจเพียงเท่านี้ ริมฝีปากบางััลงบนผิวขาวนวล
เมื่อความอุ่นร้อนเจอกับความเย็นเล็กน้อย ใครที่บอกว่าในใจจะร้อนรนด้วยความกังวล? ิญญาจะสั่นะเืราวกับจะเป็บ้า?
ปฏิกิริยาของนางตอบสนองอย่างรวดเร็ว บิดตัวหนีออกมาอย่างว่องไว พลางถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห นี่คือการ ‘แก้แค้น’ ของเขาหรือ?
แม่ทัพผู้หล่อเหลาแข็งแกร่ง จำเป็ต้องเ้าคิดเ้าแค้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ใจแคบยิ่งนัก!
ไม่ถูกสิ เมื่อครู่เขาอยู่ใกล้ขนาดนั้น เขาจะจำกลิ่นนางได้แล้วหรือไม่?
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยพูดขึ้นมาก่อน เขาจำกลิ่นหอมบนตัวสตรีที่โรมรันกับเขาในคืนนั้นได้
ในใจคิดอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาชั่วพริบตานางก็มองเขานิ่งตัวแข็งเป็หิน
มู่หรงอวี้เหมือนแมวที่แอบกินปลาย่างได้สำเร็จ แววตาเต็มไปด้วยความร้ายกาจ ท่ามกลางความมืด ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์เหลือร้ายล่อลวงผู้คน
ครั้นเห็นสีหน้าของเขา นางก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงจะจำไม่ได้ หรืออาจจะไม่ได้คิดไปถึงสตรีคนนั้น นางจึงเบาใจลงเล็กน้อย
เพียงแต่ นางเหมือนจะไม่อาจละสายตาไปได้อีก
เขามองนาง นางเองก็มองเขา สายตามองเกี่ยวพันกันไปมา ความเงียบอันไร้สุ้มเสียงกลับชนะการพูดคุย ประหนึ่งมีดอกไม้ไฟะเิอยู่ภายใน
“องค์รัชทายาทเล่า? อยู่ที่ใด?”
ด้านนอกมีเสียงของเสิ่นจือเหยียนดังขึ้น
มู่หรงฉือได้สติกลับมา ก่อนจะหมุนตัวไปอย่างกระอักกระอ่วน
มู่หรงอวี้ถอนสายตาอันร้อนแรงกลับมา ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็เ็าลงหลายส่วน จากนั้นก็สาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เสิ่นจือเหยียนรู้ว่าพวกเขาอยู่ในตำหนักจึงเข้ามาตามหา แต่กลับเจอพวกเขาอยู่กันสองคน เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะทำความเคารพ
แปลกมาก เหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงอยู่ในตำหนักกับอวี้หวาง?
เอ๋ เหตุใดใบหน้าของเตี้ยนเซี่ยถึงได้แดงขนาดนั้น? แม้แต่ใบหูก็แดงเหมือนดื่มสุราเข้าไปหลายจอก เกิดอะไรขึ้น?
“จือเหยียน ฟ่านเสี้ยวเหวินตายในระหว่างที่กำลังทำข้อสอบ เ้าชันสูตรพลิกศพเสียหน่อย” มู่หรงฉือก้าวไวๆ ออกไป
“ข้าก็รู้แล้วว่าเรียกข้าเข้าวังจะต้องเกิดคดีคนตายขึ้น...” เขาพูดยิ้มๆ อย่างตื่นเต้น แต่กลับต้องหุบปากลงทันที
มีคดีคนตายเกิดขึ้นไม่ใช่เื่ดี อีกอย่างผู้ตายก็เป็คนใหญ่โต คำพูดนี้จะพูดออกไปไม่ได้
มู่หรงอวี้นั่งลงดื่มชารอฟังผล ข้าหลวงในวังนำถ้วยชามาเปลี่ยนให้
หมอหลวงหลี่พูดถึงผลตรวจสอบของตนออกมาง่ายๆ เสิ่นจือเหยียนสวมถุงมือบาง แล้วเริ่มชันสูตรพลิกศพ
“เตี้ยนเซี่ย การตายของคุณชายฟ่านเกิดจากโรคหอบหืดกำเริบไม่ผิดแน่ ไม่มีอะไรน่าสงสัย”
ไม่นานเขาก็ถอดถุงมือออกแล้วบอกผลวินิจฉัยออกมา
หมอหลวงหลี่ได้รับคำสั่งก็กลับไปที่โรงหมอหลวง
มู่หรงฉือหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา “เ้าดูว่านี่คืออะไร?”
ในการชันสูตรศพจะต้องเข้าใจวิชาวินิจฉัยอาการป่วยกับสมุนไพรและหญ้าพิษ ถึงแม้เสิ่นจือเหยียนจะอายุน้อย แต่กลับมีความรู้ความเข้าใจด้านวิชาแพทย์และโอสถมาก่อน เขารับผ้าเช็ดหน้ามาดมใกล้ๆ ก่อนจะมองอย่างละเอียด “เหมือนจะเป็เกสรของดอกอวี๋เหม่ยเหริน[1]”
“จริงหรือ?” คิ้วของนางขมวดเข้าหากัน
“เป็เกสรของดอกอวี๋เหม่ยเหรินจริงๆ เตี้ยนเซี่ยไปได้มาจากไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เสิ่นจือเหยียนยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นสูง จับจ้องอยู่นาน “ไม่ถูกสิ ยังผสมอย่างอื่นด้วย ดอกอวี๋เหม่ยเหรินหลังจากเอามาบดให้ละเอียดแล้วยังใส่เกสรดอกไม้ชนิดอื่นเข้าไปด้วย”
“เกสรดอกอวี๋เหม่ยเหรินมีพิษหรือ?” มู่หรงอวี้เดินมาถาม คิ้วขมวดเล็กน้อย
“อวี๋เหม่ยเหรินมีพิษทุกส่วนเลยพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดยืนยัน “เตี้ยนเซี่ย ผงอวี๋เหม่ยเหรินนี้ได้มาจากที่ไหนหรือ?”
“ก่อนหน้านี้เปิ่นกงเห็นผงที่ข้างแท่นฝนหมึกตรงโต๊ะเตี้ยที่ฟ่านเสี้ยวเหวินใช้ ตอนแรกไม่ได้สังเกต ต่อมาเปิ่นกงกลับไปดูก็ไม่มีแล้ว คงจะถูกใครสักคนเก็บกวาดไป แต่ว่าที่ใต้โต๊ะบนพื้นยังเหลืออยู่เล็กน้อย เปิ่นกงจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดแล้วเก็บกลับมา” คิ้วเรียวของมู่หรงฉือขมวดเล็กน้อย ความสงสัยพลันผุดขึ้น “ข้างแท่นฝนหมึกบนโต๊ะเหตุใดถึงมีผงเกสรอวี๋เหม่ยเหรินได้? นี่มันไม่แปลกมากหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ตอนที่ฟ่านเสี้ยวเหวินเพิ่งจะอาการกำเริบก็ยังมีผงเกสรอยู่ รอจนเปิ่นกงกลับมาดูอีกรอบกลับถูกคนเช็ดไปแล้ว หรือกล่าวได้ว่า มีคนกังวลว่าจะมีคนพบผงเกสรอวี๋เหม่ยเหรินเข้า หรือคนที่ลบเกสรไปก็คือคนที่เอาเกสรมาโรยเอาไว้?”
“เกสรอวี๋เหม่ยเหรินมีความเกี่ยวข้องกับการตายของฟ่านเสี้ยวเหวินหรือ?” ใบหน้าหล่อเหลาของมู่หรงอวี้เคร่งขรึมลง “เมื่อครู่หมอหลวงหลี่บอกว่า คนที่มีโรคหอบหืดมีสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงเยอะมาก เกสรดอกไม้ก็ทำให้โรคหอบหืดกำเริบได้”
“สิ่งที่มากระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคหอบหืดอาการกำเริบแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ว่าการที่เกสรดอกอวี๋เหม่ยเหรินปรากฏอยู่ที่โต๊ะของฟ่านเสี้ยวเหวินนั้นบังเอิญมากจนเกินไป” เสิ่นจือเหยียนวิเคราะห์ สายตาแน่วแน่ “จากการชันสูตรพลิกศพสรุปได้ว่า การตายของฟ่านเสี้ยวเหวินนั้นเกิดจากโรคหอบหืดกำเริบ แต่เกสรดอกอวี๋เหม่ยเหรินจะต้องเป็สาเหตุหลักที่ทำให้อาการกำเริบ เพียงแต่ อาการกำเริบของฟ่านเสี้ยวเหวินไม่มีทางทำให้คนตายในทันที แต่ที่เขาตายจากไปใน่เวลาสั้นๆ ก็เพราะว่าในผงเกสรดอกไม้มีเกสรของอวี๋เหม่ยเหรินผสมเอาไว้ เกสรนี่มีพิษ ถึงแม้จะใส่ลงไปในปริมาณน้อยแต่ก็เพียงพอที่จะเร่งให้เขาตายไวขึ้น”
“กล่าวได้ว่า มีคนจัดฉากการตายของเขา” มู่หรงฉือทำการสันนิษฐาน
“วางแผนฆาตกรรมในการสอบวิชาการ ช่างกล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก!” ก้นบึงในดวงตาของมู่หรงอวี้มีประกายเย็นเยียบวาบผ่านไป
“เป็ผู้ใด้าสังหารฟ่านเสี้ยวเหวินกัน เหตุใดถึงอยากสังหารเขา?” เสิ่นจือเหยียนครุ่นคิด “ตระกูลของฟ่านเสี้ยวเหวินเป็ตระกูลแห่งปราชญ์ มีชื่อเสียงมาั้แ่เด็ก หลังจากนั้นหลายปีก็มีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวง ในบรรดาผู้มีความสามารถทั้งสามสิบหกคนนี้ เขามีชื่อเสียงด้านวิชาการมากที่สุด”
“ขอเพียงเขาตายไป เช่นนั้นโอกาสที่คนอื่นๆ จะได้ผงาดขึ้นมาก็มีมากขึ้นไม่ใช่หรือ?” นางยิ้มเย็น
“ฆาตกรช่างใจคอโเี้จริงๆ ฆ่าคนได้โดยปราศจากตัวตน” เขาพูดด้วยความหวาดกลัว
“วิธีการลงมือกลับไม่ฉลาดสักเท่าไหร่ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ทิ้งเกสรอวี๋เหม่ยเหรินให้พวกเราตรวจสอบพบได้” มู่หรงอวี้กล่าว สีหน้าดุดันเล็กน้อย “คนที่อยู่ด้านหน้าฟ่านเสี้ยวเหวินคือหวังเจิงบุตรชายคนโตของแม่ทัพหวังแห่งกองกำลังรักษาความปลอดภัยของเมืองหลวง”
“หวังเจิงน่าสงสัยจริงๆ เขาได้รับการสืบทอดมาจากบิดา วิชาการต่อสู้สูงส่ง เป็คนที่โดดเด่นในบรรดาคุณชายจากตระกูลชั้นสูง เป็คนที่ยุติธรรมเปิดเผย เถรตรง ดูไม่เหมือนเป็คนเ้าเล่ห์เพทุบายที่จะทำร้ายคนอย่างโหดร้ายได้เช่นนี้” เสิ่นจือเหยียนกล่าว
เชิงอรรถ
[1] ดอกอวี๋เหม่ยเหริน คือ ดอกป๊อปปี้สีแดง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้