เล่มที่ 2 บทที่ 34
นางคิดในใจขณะก้าวเท้าเหยียบลงไปในแพซึ่งมันลงไปได้ง่ายอย่างมาก แต่นางไม่คาดคิดเลยว่า ทันทีที่นางยืนบนแพโดยใช้ถ่อช่วยพยุงตัว ฉับพลันนั้นแพไม้ไผ่กลับลอยไปตามกระแสน้ำอย่างควบคุมไม่ได้ มู่หรงฉิงพยายามจะทำให้แพไม้ไผ่มั่นคงอยู่หลายครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้ ครั้นเห็นแพลอยห่างจากฝั่งไม่ไกลเท่าใดนัก นางจึงวางถ่อไว้บนแพ จากนั้นะโกลับขึ้นฝั่ง
“อ๊ะ ท่านอาจารย์ หยุดนะ... ข้าไม่กิน... เ้าทำให้หน้าของข้าพังแล้ว... ถ้าข้ากินสิ่งนี้อีก ข้าจะต้องตายกลายเป็อาหารให้พวกแร้งแน่นอน...”
นางได้ยินเสียงของผู้หญิงอย่างชัดเจน แต่ประโยคนั้นทำให้มู่หรงฉิงตกตะลึง ท่านอาจารย์? หรือว่าพวกเขาสองคนเป็อาจารย์กับลูกศิษย์? แม้ว่าน้ำเสียงจะมีความร้อนรนแต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกทั้งที่เป็่เวลาแห่งความคับแค้น ตรงกันข้ามมันกลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลัง... เจรจาต่อรองอย่างไรอย่างนั้น
“อ๊ะ เด็กสาวคนนี้มาจากไหนกัน? หน้าตาดีเสียด้วย”
ในจังหวะที่มู่หรงฉิงยังลังเลว่าจะก้าวเท้าไปข้างหน้าต่อไปหรือไม่ จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงที่มีความสุขดังมาจากทางขวา นางหันขวับกลับไป ถึงได้เห็นผู้ชายและผู้หญิงกำลังพัวพันอยู่ที่นั่น
ทั้งคู่แต่งตัวในชุดแปลกๆ ผู้ชายที่หันหน้าเข้าหามู่หรงฉิง ดูๆ แล้วอายุราวห้าสิบกว่าปี หนวดเคราสีขาวสั่นไหวตามการขยับปากของเขา ทว่าสิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือจมูกโด่งเป็สัน พูดให้ถูกคือจมูกของเขามีลักษณะคล้ายจะงอยปากแหลมคมของนกอินทรี แต่จมูกแบบนั้นก็งอกอยู่บนใบหน้าที่ใจดีซึ่งดูไม่ขัดกันเลย
“เ้าออกไปให้พ้น ไม่ให้ความร่วมมือก็แล้วไป” มู่หรงฉิงเห็นชายชราปล่อยผู้หญิงที่ยังคงกุมปาก หญิงผู้นั้นมีท่าทีแม้ต้องตายอย่างไรก็ไม่ยอมทำตามคำสั่งชายชรา ก่อนเขาจะะโสองสามครั้งกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้ามู่หรงฉิง และสังเกตมองนางจากศีรษะจรดปลายเท้า “เอ๋ เ้าสาวน้อยผู้นี้สวยจริงๆ รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน?”
คำพูดของชายชราทำให้มู่หรงฉิงงุนงง แต่ชายชราก็ไม่ได้พูดถึงมันอีกต่อไป เขาเพียงพูดว่า “สาวน้อย มามะ ข้าจะให้เ้ากินของดี สิ่งนี้ดีมากเชียวนะ กินแล้วจะปลอดภัยจากสารพัดพิษ สัตว์มีพิษสารพัดก็ไม่เข้าใกล้ ทั้ง์และใต้หล้า เ้าไม่จำเป็ต้องกลัวสิ่งชั่วร้ายใดๆ แล้ว”
ชายชราพูดโดยไม่สนว่ามู่หรงฉิงจะเต็มใจหรือไม่ เขาเคลื่อนตัวไปทางมู่หรงฉิง จากนั้นตบเพียะ มู่หรงฉิงรู้สึกแปลกพิกล ก่อนจะรู้ตัวว่าถูกจี้จุดเซวีย
มู่หรงฉิงไม่เห็นแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของชายชรา แต่นางถูกชายชราจี้จุดเซวียเสียแล้ว นางตื่นตระหนกในทันใด เนื่องจากไม่รู้ว่าตัวตนของพวกเขาทั้งสองคนนี้คือใคร? ทว่านางหลวมตัวมาที่นี่โดยลำพัง ถ้าทั้งสองคนมีจิตมุ่งร้าย คงไม่มีใครสามารถช่วยนางได้
ในใจคิดอย่างวิตก ถึงกระนั้นนางก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ ทำได้แต่มองชายชรานำท่อไม้ไผ่มาจ่อปากของนางโดยที่ไม่อาจทำอะไรได้
“โธ่... ใช่แล้ว เช่นนี้แล ดื่มเลย ดื่มเลย” ชายชรายกศีรษะของมู่หรงฉิงขึ้นเล็กน้อย เขาเอียงท่อไม้ไผ่ที่จ่ออยู่ใกล้ปากของนาง และค่อยๆ ป้อนสิ่งที่อยู่ในท่อไม้ไผ่ เขาป้อนพลางพยักหน้าและพูดอย่างพึงพอใจ “โธ่ ใช่เลย เ้าสาวน้อยคนนี้เชื่อฟังดีมากจริงๆ เ้าเห็นหรือไม่ นางไม่ดิ้นเลย”
ไม่ดิ้นหรือ? เ้าก็แก้จุดเซวียให้ข้าสิ
อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา นางไม่รู้ว่าชายชราตรงหน้าทำอะไรกับนาง เด็กสาวดื่มยานั้นเข้าไปแล้ว จนกระทั่งเห็นก้นกระบอกไม้ไผ่ มู่หรงฉิงจึงรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแรงและล้มลงกับพื้น
“แคกๆ... เ้าเป็ใครหรือ? สิ่งที่เ้าให้ข้าดื่มคืออะไรหรือ?”
ทันทีที่พบว่าตนเองเคลื่อนไหวได้แล้ว มู่หรงฉิงก็กระแอมไออย่างมิอาจควบคุมให้หยุดได้ นางถึงกับอยากจะอาเจียนสิ่งที่นางเพิ่งดื่มเข้าไปเ่าั้
“โธ่! สาวน้อย เ้ารู้สึกว่าในท้องของเ้าตอนนี้อุ่นขึ้นหรือไม่ อุ่นขึ้นราวกับว่าเ้ากำลังถูกแสงแดดส่อง?” มู่หรงฉิงแทบอยากจะหยิบสิ่งเ่าั้ออกมาให้ได้ ฝ่ายชายชราซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้ามู่หรงฉิงกลับเอ่ยถามด้วยใบหน้าอิ่มเอมใจ
อุ่นขึ้นหรือ? อุ่นขึ้นจริงๆ ด้วย เหมือนดื่มน้ำแกงโสมสักถ้วย เมื่อเห็นดวงตาสดใสของชายชรา มู่หรงฉิงก็พยักหน้าโดยสัญชาตญาณ “อืม อุ่นขึ้น”
“โอ้ ดีจริงๆ” ชายชราได้ยินเช่นนั้นก็ตบมือทั้งสองข้าง ก่อนที่จะคว้าสมุดเล่มเล็กออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นจดบันทึก “ถ้าเช่นนั้นในตอนนี้เ้ารู้สึกเหมือนกินอาหารรสเผ็ดหรือไม่? รสเผ็ดถึงขั้นจะเผาท้องของเ้าแล้วใช่หรือไม่?”
สิ้นคำพูดของชายชรา มู่หรงฉิงก็รู้สึกเหมือนท้องของนางถูกกองไฟเผา ทันใดนั้นนางถึงกับต้องยกมือกุมท้องด้วยความเ็ป ตามมาด้วยหยาดเหงื่อซึ่งซึมจากหน้าผากและหยดลงมา
“อืม อืม ใช่แล้ว ใช่แล้ว” ชายชราเห็นอากัปกิริยาและสีหน้าซึ่งแสดงออกถึงความเ็ปของมู่หรงฉิง ก็มีความสุขมากราวกับ้าจุดประทัดเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ แต่มู่หรงฉิงเ็ปมากถึงกับต้องขดตัวกลายเป็กุ้งแห้ง มิหนำซ้ำยังไม่อาจพูดได้ว่าเ็ปเช่นไร
“เวลานี้เ้ารู้สึกเหมือนโดนแมลงกัดท้องใช่หรือไม่? รู้สึกว่าถูกกัดท้องไปทั่วแล้วใช่หรือไม่?”
คำพูดของชายชราเป็เหมือนคำทำนายอันน่ารังเกียจ ทันทีที่เขาพูดจบ ผิวหน้าของมู่หรงฉิงก็ซีดขาว หยาดเหงื่อผุดซึมบนหน้าผากราวกับหยดฝน และเกือบจะกัดริมฝีปากจนแตกด้วยความเ็ป
“ไอ้หยา ไอ้หยา สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว ศิษย์ที่ดี คราวนี้ข้าทำสำเร็จแล้ว”
มู่หรงฉิงเ็ปราวกับกำลังจะเสียชีวิต แต่ชายชราผู้นั้นกลับหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนประเด็นสำคัญในสมุด ก่อนสอดสมุดเล่มเล็กเข้าไปไว้ในแขนเสื้อ เขาะโขึ้นด้วยความปีติยินดีคล้ายกับเด็กที่ได้ลูกกวาด “ศิษย์ที่ดี คราวนี้ข้าทำสำเร็จแล้วจริงๆ เ้าดูสิ เ้าดูสิ”
ชายชราก้าวพลางะโสองสามก้าวไปทางด้านข้างผู้หญิงคนนั้น มู่หรงฉิงผู้ซึ่งเ็ปเหลือทนยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้หญิงคนนั้น แต่เมื่อนางหันมองก็เป็ต้องตะลึงพรึงเพริด
ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาน่ากลัวมาก
ใบหน้าเล็กๆ ของนางเต็มไปด้วยแผลพิษทุกชนิด มีเพียงดวงตาอันชาญฉลาดคู่หนึ่งเท่านั้นที่เป็ประกายดั่งดวงดาว เหตุใดหน้าตาของผู้หญิงคนนั้นถึงได้น่ากลัวนัก? สิ่งที่อยู่บนใบหน้าของนางคืออะไรหรือ? ทำไมถึงน่ากลัวเช่นนั้น?
“ท่านอาจารย์... แน่ใจหรือ?” เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นสีหน้าของมู่หรงฉิงแปรเปลี่ยนเป็สีเขียวอมน้ำเงิน นางจึงโค้งศีรษะเล็กน้อยและมองไปยังชายชราด้วยความสงสัยถึงที่สุด “เ้าเฒ่าทารก เ้ามั่นใจมากแค่ไหนหรือ? เ้าดูสารรูปของนางสิ นางจะตายหรือไม่?”
“พูดจาเหลวไหล เห็นๆ อยู่ว่าถูกต้องทุกประการ อย่างแรก ต้องรู้สึกเหมือนการสะสมพลังงานภายในไว้บริเวณหน้าท้อง จากนั้นกำลังภายในก็ะเิ และในที่สุดเส้นผมและิัก็ถูกทำลาย” ผู้ที่ถูกเรียกว่าเฒ่าทารกได้ฟังผู้หญิงคนนั้นเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาก็เป่าเคราและจ้องตาตอบกลับทันที “ยาของข้าในคราวนี้จะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
“ไม่มีปัญหาหรือ?” หญิงสาวเลิกคิ้วพลางเดินไปหามู่หรงฉิง ก่อนนั่งยองๆ และดึงมือของมู่หรงฉิงมาตรวจชีพจร หลังจากนั้นเป็เวลานาน นางถึงได้ถอนหายใจ “อาจารย์ อาจารย์ลืมใส่ตันหลัวเซียงอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“อ๊ะ? ตันหลัวเซียง? ไหนข้าดูหน่อยซิ…” เฒ่าทารกได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาจึงแปรเปลี่ยนไปทันควัน เขารีบหยิบสมุดจดเล่มเล็กออกจากแขนเสื้อทันที และหลังจากดูสมุดจดปราดหนึ่ง เขาก็ตบหน้าผากของตัวเอง “ไอ้หยา ลืมไปแล้ว ให้นางกินยาตันหลัวเซียงหน่อย”
ด้วยการเตือนความจำของหญิงสาว เฒ่าทารกก็รีบโยนสมุดจดทิ้งไว้ข้างๆ จากนั้นหยิบขวดออกมา แล้วเทยาเม็ดสีม่วงใส่ฝ่ามือ “มาๆ สาวสวย รีบกินยานี่เสีย มิเช่นนั้น ท้องของเ้าจะต้องแตกจริงๆ เป็แน่” ระหว่างที่พูด เขาก็รีบป้อนยาเม็ดสีม่วงเข้าไปในปากของมู่หรงฉิง
ขณะนั้นแค่หายใจยังทำได้ลำบาก ดังนั้นมู่หรงฉิงจึงไม่สนใจว่านางจะกินได้หรือไม่ ซ้ำร้ายร่างกายยังมีแต่ความทรมานจนไม่มีแรงจะขัดขืนด้วย
หลังจากกลืนยาเข้าไป เฒ่าทารกก็พูดพึมพำโดยไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร ในเวลาเดียวกันผู้หญิงคนนั้นกับเฒ่าทารกก็ช่วยพยุงมู่หรงฉิงให้นั่งขัดสมาธิ หญิงสาวนั่งอยู่ข้างหน้าและเฒ่าทารกอยู่ด้านหลัง ทั้งสองช่วยกันถ่ายทอดพลังลมปราณให้มู่หรงฉิงเพื่อเร่งผลของยาเม็ดตันหลัวเซียง
เ็ป แขนขาและโครงกระดูกนับร้อยดูเหมือนถูกแมลงและมดนับพันตัวกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่องท้องของนาง ชั่วขณะหนึ่งเหมือนว่าจะถูกไฟแผดเผา และอีกชั่วขณะหนึ่งดูเหมือนว่าจะถูกแมลงกัด ความเ็ปเช่นนั้นเกือบจะทำให้มู่หรงฉิงถึงกับเป็ลมหมดสติ
“โธ่ แม่นาง เ้าอดทนไว้ ใกล้สำเร็จลุล่วงแล้ว” เมื่อเห็นว่ามู่หรงฉิงเกือบจะทนต่อไปไม่ไหว ผู้หญิงคนนั้นก็พูดกับนางดังๆ ว่า “เ้าจะต้องอดทนจริงๆ ถ้าเ้าอดทนได้ ชีวิตน้อยๆ ของเ้าก็จะรอด แต่ถ้าเ้าเป็ลมหมดสติ เ้าก็จะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก” หลังเอ่ยจบ ผู้หญิงคนนั้นก็หยุดจังหวะการพูด แม้ว่าน้ำเสียงของประโยคถัดมาจะเบามาก แต่มู่หรงฉิงก็ได้ยินชัดเจน “โธ่ ข้าไม่ได้คาดหวังให้ร่างกายของเ้าสามารถต้านทานต่อพิษทุกชนิด แต่ข้าแค่หวังว่าเ้าจะไม่กลายเป็เหมือนข้า...”
อย่ากลายเป็คนที่มีรูปลักษณ์คล้ายนางหรือ? เป็ไปได้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีหน้าตาเช่นนั้นมาั้แ่เกิด? แต่หลังจากกินยาอะไรบางอย่าง หน้าตาถึงได้แปรเปลี่ยนไปกระนั้นหรือ?
มู่หรงฉิงนึกอยากจะตบตัวเองจริงๆ ทำไมนางถึงต้องประสบพบเจอกับอะไรมากมายด้วย? ทำไมนางถึงได้มาพบกับเ้าเฒ่าบ้าคนนี้ด้วย?
“เ้าไม่ต้องวิตกกังวล ในคราวนี้ท่านอาจารย์ได้ทำการปรับปรุงยาให้ดีแล้ว คิดว่าคงจะไม่มีผลข้างเคียงที่เป็พิษ เ้าดูผิวหน้าของเ้าในเวลานี้สิ หน้าแดงก่ำ มันวาวอย่างรวดเร็ว สันนิษฐานว่าตัวยาไม่มีผลข้างเคียง บางทีเ้าอาจจะกลายเป็คนที่สามารถต้านทานสารพัดพิษด้วยยานี้ก็ได้”
คำพูดของคู่สนทนาทำให้มู่หรงฉิงแทบอาเจียนออกมาเป็เื อะไรคือ ‘หน้าแดงก่ำ มันวาว’ ตอนนี้นางรู้สึกเหมือนกำลังถูกไฟเผาทั้งตัวก็มิปาน แม้แต่ใบหน้าของนางก็รู้สึกร้อนผ่าวมากขึ้นไปอีก สีหน้าของนางจะไม่แดงก่ำได้อย่างไร?
นางไม่คิดที่จะบ่นในใจอีกต่อไปแล้ว ด้วยหวังแค่ว่ายาของชายชราสติเฟื่องคนนี้จะไม่ใช่ยาพิษก็เพียงพอ และหวังว่าจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เนื่องด้วยปัจจุบันนางมีปัญหามากมายที่ยังไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ ฉะนั้นร่างกายของนางต้องไม่เป็อะไรใดๆ
อาจเป็เพราะ์เวทนา ในขณะที่มู่หรงฉิงรู้สึกว่าร่างกายกำลังจะถูกไฟแผดเผาจนตาย จู่ๆ ความเย็นก็แผ่กระจายไปทั่วท้อง มันเป็เส้นสายเล็กๆ ก่อนค่อยๆ เติบโตแล้วกันประดุจแม่น้ำ หมุนเวียนตามแขนขาและโครงกระดูกของร่างกาย จากนั้นสักพักร่างกายของนางก็รู้สึกสบายอย่างไม่อาจอธิบายเป็คำพูดได้
“เอ๋! อาจารย์ อาจารย์ดูนี่สิ มีของเหลวสีดำมากมายออกมาจากิัของนาง” มู่หรงฉิงกำลังรู้สึกสบาย ในจังหวะนั้นเองผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็เห็นคราบของเหลวสีดำบนผิวลำคอส่วนที่พ้นจากเสื้อผ้า
ทันทีที่เฒ่าทารกได้ยิน เขาก็เก็บลมปราณและจ้องไปที่ลำคอของมู่หรงฉิงอย่างสงสัย มองดูอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจับมือและถกแขนเสื้อของนางขึ้นพลางััและดมกลิ่น
มู่หรงฉิงรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อยก่อนได้ยินเฒ่าทารกก่นด่าอย่างฉุนเฉียว “บัดซบจริงๆ ใครกันที่ใจร้ายมาก คิดไม่ถึงว่ามีคนวางยาพิษหญ้าชิงิใส่เ้า”
“หญ้าชิงิหรือ?” มู่หรงฉิงใ นางไม่ได้สนใจในการกระทำก่อนหน้าของชายชราอีกต่อไป “ขอบังอาจถามท่านผู้าุโ หญ้าชิงิคืออะไรหรือ?”
“โลกีย์อันเงียบสงบและสวยงาม กลับยมโลกไม่อาจหวนคืน หญ้าชิงินี้ พูดให้กระจ่างก็คือหญ้าพิษที่ปลิดชีพมนุษย์ แต่หญ้าพิษชนิดนี้เป็หญ้าพิษเรื้อรัง หากควบคุมปริมาณยา ย่อมเป็เื่ยากสำหรับผู้ใช้ที่จะตรวจพบ ถ้าการวางยาครั้งสุดท้ายเกินปริมาณปกติถึงสามเท่า ก็จะสามารถปลิดชีพคนได้ทันที ถ้ากินยานี้ในวันธรรมดาทั่วไป จะทำให้ร่างกายของคนทรุดโทรม และแม้กระทั่งผู้ที่มีทักษะทางการแพทย์สูงก็ตรวจพบได้ยากเช่นเดียวกัน เมื่อวันใดมีการเพิ่มปริมาณยา ก็ไม่รู้ว่าต้องยาพิษชนิดนั้น นั่นก็สามารถสรุปได้ว่า คนต้องยาพิษผู้นั้นจะต้องป่วยหนัก โดยที่ไม่สามารถรักษาได้ และสุดท้ายก็จะเสียชีวิตโดยไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้อีกต่อไป”