แม้ว่าเนินเขาที่ทั้งคู่กำลังเดินอยู่นั้นจะไม่สูงมาก แต่มันก็ยังมีความสูงถึงหลายร้อยเมตรอยู่ดี หิมะสีขาวร่วงโรยไปตามข้างทางจนย้อมทั้งทางเดินและต้นไม้บริเวณนั้นกลายเป็สีขาวโพลน
หยางเฉินยังคงเดินนำโม่เชี่ยนนีอยู่ด้านหน้า เขาไม่อยากเดินเร็วเกินไปนัก เนื่องจากจะทำให้เธอตามเขาไม่ทันได้
หลังจากผ่านมาได้สองชั่วโมงทั้งคู่ก็มาถึงที่หมายในที่สุด บนยอดเขาเป็พื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มีวัชพืชขึ้นอยู่มากมายตามพื้นดิน บางจุดมีตะไคร่น้ำที่จับตัวกันกลายเป็น้ำแข็งขึ้นปกคลุมอยู่ ลมหนาวที่พัดมาจากทะเลด้านหน้าเข้าปะทะร่างกายของทั้งสองคน
หูของโม่เชี่ยนนีค่อยๆ แดงขึ้นมา เช่นเดียวกับใบหน้าและปลายจมูกของเธอ หยางเฉินมองโม่เชี่ยนนีพร้อมทั้งส่ายหัวไปมา ก่อนจะยื่นผ้าพันคอของตัวเองไปให้เธอ
“ฉันไม่หนาวหรอก นายใส่ไปเถอะ” โม่เชี่ยนนีพูดขึ้น
หยางเฉินแค่นรอยยิ้มออกมา “เวลาที่ผู้ชายให้ผ้าพันคอคุณก็ควรจะรับมันไว้สิครับ ไม่ว่าคุณจะหนาวหรือไม่ก็ตาม คุณไม่กลัวว่าคนให้จะรู้สึกเสียหน้าบ้างเหรอ?”
“แต่ที่นี่มีแค่นายกับฉันนะ” โม่เชี่ยนนีกล่าว
“คุณจะพูดอย่างนั้นไม่ได้นะครับ” หยางเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมอยากให้คุณพูดแบบนั้นตอนที่เราอยู่บนเตียงอันอบอุ่นมากกว่า”
“น่าเกลียด” โม่เชี่ยนนีรับผ้าพันคอของหยางเฉินมาอย่างรวดเร็วและพันมันไว้ที่ลำคอขาวนวลของเธอ
ความหนาวก่อนหน้าพลันมลายหายไปจนสิ้น ทั้งคู่จ้องมองกันเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองภาพตรงหน้า อันเป็จุดประสงค์หลักของการปีนเขาในครั้งนี้
จากจุดที่พวกเขาอยู่ พื้นดินนั้นอยู่เหนือกว่าท้องฟ้าเล็กน้อยทำให้เห็นขอบฟ้าที่อยู่ไกลโพ้นได้ หมู่เมฆกำลังล่องลอยไปมาตามสายลมราวกับว่าพวกมันกำลังเต้นระบำอยู่ใต้เท้าของทั้งคู่ แสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนให้เห็นหิมะที่อยู่บนพื้นดิน มันเปล่งแสงสีขาวรับแสงที่สะท้อนเข้ามา เช่นเดียวกับน้ำทะเลเบื้องหน้าที่กำลังส่องประกายระยิบระยับ แสงสีทองใน่ยามเย็นตัดกับคลื่นสีครามของท้องทะเล ทำให้ภาพตรงหน้าดูงดงามจนยากที่จะถอนตัวออกมาได้ ธรรมชาติจะงดงามในสิ่งที่มันเป็อยู่ มันจะไม่มีทางแสดงความงดงามออกมาจากการดัดแปลงไปได้
โม่เชี่ยนนีสูดหายใจรับอากาศเย็นเข้าไปเต็มปอด ผมที่พลิ้วไปมาทำให้เธอดูคล้ายกับเทพธิดาที่ร่วงลงมาจากสรวง์
“มันงดงามเหมือนกับที่พวกคุณลุงข้างล่างบอกเอาไว้จริงๆ ด้วย”
“หากคุณ้าผมก็สามารถพาคุณมาที่นี่ได้อีกครั้ง ยกเว้นแต่ว่าคุณจะบอกผมว่าไม่อยากจะมาที่นี่อีกแล้วน่ะนะ” หยางเฉินกล่าว
โม่เชี่ยนนีห่อริมฝีปากของเธอพร้อมทั้งพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แต่ก่อนฉันเคยวิ่งเล่นอยู่บนูเาแบบนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าบ้านที่แท้จริงของฉันอาจเป็ที่ที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ก็ได้ นายคิดว่าฉันเหมือนเด็กน้อยมั้ยล่ะ”
“คุณพูดถูก ที่แบบนี้เหมาะที่จะนอนกลางวันมากกว่าที่สำนักงานจริงๆ นั่นแหละ” หยางเฉินกล่าว
เมื่อโม่เชี่ยนนีได้ฟังดังนั้น เธอก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมทั้งยิ้มให้กับเขา “หน้าไม่อายจริงๆ นะนายนี่”
“คุณไม่ได้เป็น้ำทะเลสักหน่อย ทำไมผมต้องอายคุณด้วย?”
สายตาของโม่เชี่ยนนีดูเลือนรางไปชั่วครู่ เธอใช้นิ้วเรียวสีขาวบริสุทธิ์ลูบไล้ไปบนใบหน้าของหยางเฉินด้วยความรักใคร่
“ในตอนที่ฉันยังเป็เด็ก ตอนนั้นพ่อแท้ๆ ของฉันยังมีชีวิตอยู่ ท่านมักจะพาฉันกับแม่ไปยังบ้านญาติที่อยู่ชายทะเลบ่อยๆ มีอยู่วันหนึ่ง ฉันเดินเล่นกับแม่ที่ชายทะเล แม่จับมือของฉันไว้แล้วถามฉันว่าทำไมทะเลถึงอยู่ต่ำกว่าแม่น้ำทั้งหมดทั้งมวล... ในตอนนั้นฉันบอกกับแม่ว่าฉันไม่รู้ สุดท้ายแม่ก็บอกว่าทะเลนั้นต้องรับน้ำจากแม่น้ำทั้งหลายที่ไหลบ่าลงมา นั่นเป็เหตุผลว่าทำไมทะเลถึงอยู่ต่ำกว่าแม่น้ำ หลังจากนั้นเธอก็บอกฉันว่าเมื่อวันใดวันหนึ่งที่ฉันแต่งงานและมีสามี ฉันจะต้องเป็ดั่งทะเลที่จะต้องแบกรับสามีเอาไว้ด้วยเช่นกัน โอบกอดคนรักของตนไว้ด้วยแขนที่กว้างใหญ่ดังผืนทะเล แบกรับความทุกข์ทั้งหลายและฝ่าฟันมันไปด้วยกัน”
หยางเฉินมองมายังโม่เชี่ยนนีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสุข เขาพูดขึ้นพร้อมทั้งยิ้มออกมา “ถึงแม่สะใภ้จะไม่ใช่ศาสตราจารย์หรือครูสอนหนังสือ แต่ท่านก็ยังสามารถพูดเื่พิเศษแบบนี้ออกมาได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ นะครับ ”
“ฉันคิดว่าถ้าชีวิตนี้ไม่ได้แต่งงาน ฉันก็คงจะกลายเป็ทะเลที่มีแต่คนมามองดูความงดงามเท่านั้นสินะ?”
“คุณต้องได้แต่งงานแน่นอน” หยางเฉินโอบกอดโม่เชี่ยนนีจากด้านหลัง
“ต่อให้คุณไม่ได้แต่งงานแล้วกลายเป็น้ำทะเลไป ผมจะกลายเป็แผ่นดินที่แบกรับคุณไว้เอง”
“แหวะ...” โม่เชี่ยนนีเผยรอยยิ้มออกมาขณะมองไปยังใบหน้าของหยางเฉิน “ถ้านายไม่เป็แผ่นโลกกลมๆ ฉันก็ไม่มีทางจะกลายเป็น้ำทะเลไปได้หรอก”
“พูดได้ดี ระหว่างโดนตีก้นกับรับจูบผมไปคุณจะเลือกอย่างไหนดี?” หยางเฉินเผยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ออกมา
โม่เชี่ยนนีกะพริบตาไปมาพร้อมทั้งมองหยางเฉิน ราวกับว่าเธอเป็นักเรียนที่เพิ่งถูกครูจับได้ว่าทำความผิดมา
“มันก็ไม่ได้แตกต่างกันตรงไหนเลยนี่”
“งั้นเรา...”
หยางเฉินโอบมือไปที่รอบเอวของโม่เชี่ยนนีอย่างรวดเร็ว อีกมือหนึ่งค่อยๆ เคล้นคลึงบั้นท้ายของเธออย่างแ่เบา เพื่อรับััอันหอมหวานนี้
สายลมหนาวที่พัดเข้ามาจากภายนอก แทบไม่อาจทำอะไรทั้งคู่ที่กำลังจูบกันอย่างดูดดื่มแม้แต่น้อย
หลังจากที่หยางเฉินควานหาน้ำหวานภายในโพรงปากของโม่เชี่ยนนีอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดเธอก็ทุบอกเขาเบาๆ เป็การประท้วง ก่อนจะถอนปากของเธอออกมาจากเขา ในขณะที่หยางเฉินดูไม่ค่อยจะเต็มอิ่มกับความหวานที่ได้รับมาเท่าไหร่นัก
"ตอนนี้จะมืดแล้ว เรารีบลงกันเถอะ" โม่เชี่ยนนีเอ่ยขึ้น
“คุณไม่คิดว่าที่นี่เหมาะกับพวกเราบ้างเหรอครับ หยุดทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ตรงนี้ เหลือเพียงแค่ความรักอันเป็นิรันดร์” หยางเฉินกล่าว
ดวงตาของโม่เชี่ยนนีส่องประกายมีเสน่ห์ออกมา “ฉันยอมรับว่านายเก่งจริงๆ นี่นายพูดแบบนี้กับผู้หญิงของนายทุกคนหรือเปล่า?”
“ถ้าเป็เช่นนั้นจริง ผมจะมีเวลามาอยู่กับคุณท่ามกลางธรรมชาติย่างนี้ได้ยังไงล่ะ เด็กโง่”
“นายสิโง่” โม่เชี่ยนนีเลิกต่อล้อต่อเถียงกับหยางเฉินในที่สุด
เธอผลักตัวเองออกมาจากอ้อมอกของหยางเฉินเบาๆ ก่อนจะเริ่มเดินนำหยางเฉินไปตามทางลงเขา
หยางเฉินมองโม่เชี่ยนนี ที่กำลังเดินอย่างรวดเร็วจนเขาต้องขมวดคิ้ว “ไม่ต้องรีบเดินก็ได้ครับ พื้นมันลื่นเดี๋ยวคุณก็ล้มเอาหรอก”
โม่เชี่ยนนีหันกลับมามองเขาพร้อมรอยยิ้ม “ฉันเติบโตบนูเามาั้แ่เด็กแล้ว ไม่ต้องมาสอนฉันว่าต้องเดินยังไงหรอกน่า”
เมื่อได้ยินดังนั้นหยางเฉินเม้มริมฝีปากโดยที่ไม่พูดอะไรออกมา
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าโม่เชี่ยนนีจะประมาทเกินไป เธอเดินปนวิ่งอย่างรวดเร็วจนในที่สุดขาข้างซ้ายของเธอก็สะดุดล้มจนอ่อนแรงลงไปกองอยู่กับพื้นดิน!
หยางเฉินใกับภาพที่เห็นเป็อย่างมาก เขารีบวิ่งเข้าไปหาเธอในทันที เขาหยุดลงและคุกเข่าลงข้างๆ โม่เชี่ยนนีพร้อมทั้งเอ่ยถามขึ้น “เป็ไงบ้าง?”
โม่เชี่ยนนีเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความเ็ป ผิวของเธอซีดขาวราวกับคนตาย เหงื่อกาฬเย็นไหลลงมาถึงแม้ว่าจะไม่ร้อนก็ตามที เธอตอบกลับเขาน้ำเสียงอู้อี้จนจับใจความไม่ได้
หยางเฉินเห็นโม่เชี่ยนนีจับน่องซ้ายของเธอ น้ำตาของเธอกำลังจะไหลรินลงมาทำให้หยางเฉินรู้สึกเ็ปเข้าไปในหัวใจ
“เกิดอะไรขึ้นครับ?” หยางเฉินถามอีกครั้ง
“ขา... ฉันปวดขา...” โม่เชี่ยนนีตอบเขาขณะที่กัดฟันด้วยความเ็ป
หยางเฉินค่อยๆ ประคองให้โม่เชี่ยนนีนอนราบลงบนอ้อมแขนของเขา โม่เชี่ยนนีกอดหยางเฉินแน่นด้วยความเ็ปแต่ก็ไม่วายเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
“ไม่... อย่ากังวล... ฉัน... ฉันทนได้... เรารีบไปเถอะ... ถ้าฟ้ามืดแล้วมันจะเป็อันตรายได้”
หยางเฉินไม่ได้ถามโม่เชี่ยนนีว่าทำไมถึงลื่นล้มลงไปได้ ปกติแล้วถ้ามีสติก็คงจะเป็เื่ยากที่จะลื่นล้มบนูเา
แต่เนื่องจากวันนี้หิมะตกและพื้นยังลื่น ประสานกับลมแรงที่พัดอยู่ตลอดเวลาก็อาจทำให้คนตัวใหญ่เสียการทรงตัวได้ ถึงแม้ว่าลมแบบนั้นจะทำอะไรหยางเฉินไม่ได้ แต่สำหรับโม่เชี่ยนนีนั้นก็นับได้ว่าเป็เื่ที่ง่ายดายที่เธอจะลื่นล้ม
หยางเฉินไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรต่อ เขาลงมือแบกโม่เชี่ยนนีลงูเาด้วยความระมัดระวังเต็มที่ เนื่องจากถนนบนูเานั้นคดเคี้ยว ทำให้เขาเดินลงมาได้อย่างยากลำบาก
โม่เชี่ยนนีรู้สึกปวดที่ขาซ้ายมากจนไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ด้านนอก
ในที่สุดหยางเฉินก็เดินลงมายังหมู่บ้านด้านล่างด้วยใบหน้าอึมครึม เขารีบเข้าไปหาบริกรหญิงพร้อมกับจองห้องพักในทันที
ทันทีที่บริกรหญิงเห็นสภาพของโม่เชี่ยนนี เธอก็จัดการเื่ที่พักของเขาด้วยความรวดเร็ว หยางเฉินอุ้มโม่เชี่ยนนีเข้าไปในห้องพักอันอบอุ่นที่เปิดฮีตเตอร์เตรียมเอาไว้ เขาเดินไปที่เตียงในห้องก่อนจะค่อยๆ ประคองให้เธอค่อยๆ นอนลงไปที่เตียงสีขาว โม่เชี่ยนนีนอนหลับตาแน่นอยู่บนเตียง ใบหน้าของเธอซีดขาวราวกับคนตาย
หยางเฉินไม่สามารถอดทนมองเธอาเ็ได้อีกต่อไป เขาเดินไปนั่งอยู่ข้างเอวของโม่เชี่ยนนีแล้วค่อยๆ ถอดผ้าพันคอของเธอออก หลังจากนั้นก็ก้มลงไปมองโม่เชี่ยนนีที่อยู่ด้านล่างของเขา
“เชี่ยนนี ให้ผมช่วยดูาแเถอะนะ” หยางเฉินกล่าวในขณะที่มือของเขาทั้งสองข้างเริ่มถอดกางเกงของโม่เชี่ยนนี
โม่เชี่ยนนีปิดเปลือกตาลงด้วยความเขินอายในทันที “ไม่... อย่ามองนะ... ฉันยังโอเค...”
“เื่นี้คุณปฏิเสธผมไม่ได้หรอกครับ” หยางเฉินไม่ลังเลที่จะถอดกางเกงของโม่เชี่ยนนีในทันที
ภายใต้กางเกงของโม่เชี่ยนนีนั้น เธอสวมใส่กางเกงในเซ็กซี่สีม่วงดำ ต้นขาของเธอขาวบริสุทธิ์ราวกับงาช้างสีนวลภายใต้แสงไฟอันเลือนราง ขาทั้งสองข้างงดงามราวกับประติมากรรมชิ้นเอก มันประณีตและดูนุ่มลื่นราวกับหยกเนื้องามที่เข้ากับฝ่าเท้าคู่เล็กของเธอ
แต่หยางเฉินไม่มีอารมณ์ที่จะชื่นชมความสวยงามตรงหน้าแต่อย่างใด เขากวาดตาไปมาบนเรียวขาของโม่เชี่ยนนีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปหยุดลงที่น่องซ้ายที่โม่เชี่ยนนีบอกกับเขาว่าเธอปวดบริเวณนี้ใน่ก่อนหน้า หยางเฉินมองิัของน่องซ้ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเห็นรอยแผลเล็กๆ รอยหนึ่งที่น่องซ้ายของเธอ
หยางเฉินค่อยๆ ลูบแผลบนน่องของโม่เชี่ยนนีอย่างเบามือ ดูเหมือนว่ามันจะเป็แผลเก่าที่ได้รับการผ่าตัดมานานแล้ว เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันนั้นทันสมัยมากจึงทำให้สามารถกลบร่องรอยแผลเป็เหล่านี้ได้อย่างดี
หยางเฉินค่อยๆ ส่งพลังปราณในร่างเข้าไปยังาแของโม่เชี่ยนนีอย่างช้าๆ ด้วยวิชาบ่มเพาะจิตกำเนิดชีพของปรมาจารย์ฉู่ซาน ทำให้เขาสามารถรักษาาแเล็กๆ ของคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว
หยางเฉินสามารถััได้ด้วยพลังปราณที่เขาส่งเข้าไปในาแเธอ ดูเหมือนว่าเส้นประสาทรอบๆ แผลจะเสียหายมาเป็เวลานาน และไม่เกิดการซ่อมแซมโดยอัตโนมัติของเซลล์ ทำให้เนื้อเยื่อบางส่วนตายไป อีกทั้งยังมีรอยลึกที่คล้ายกับร่องรอยตะปูอยู่ข้างในาแด้วย
หยางเฉินค่อยๆ ส่งพลังเข้าไปฟื้นฟูาแของโม่เชี่ยนนีอย่างช้าๆ จนในที่สุด เนื้อเยื่อและเส้นประสาทที่เคยเสียหายก็ค่อยๆ กลับมาทำงานเป็ปกติ จนกระทั่งาแเล็กที่เคยมีอยู่ก็สมานกันจนเรียบ
หลังจากที่ใช้วิชารักษาโม่เชี่ยนนีไปได้ไม่นาน ในที่สุดเธอก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ใบหน้าของโม่เชี่ยนนีมีเืฝาดขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกลับมามีชีวิตชีวาเช่นเดิม
โม่เชี่ยนนีเปิดตาพร้อมทั้งมองมายังหยางเฉินด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณนะ...”
เธอไม่ถามว่าหยางเฉินรักษาเธอได้อย่างไร โม่เชี่ยนนีรู้อยู่เต็มอกว่าคนที่เธอรักนั้นพิเศษกว่าใคร แต่ถ้าเขาไม่้าเล่า เธอก็ไม่้าที่จะไปเค้นหาความจริงจากเขาเช่นกัน
“แผลของคุณค่อนข้างจะอ่อนไหวกับอากาศหนาวเย็น เพราะงั้นมันเลยเกิดการอักเสบขึ้นมาใน่ที่คุณเจอกับอากาศที่หนาวมากๆ น่ะครับ” หยางเฉินกล่าว
“ฉันคิดว่าฉันหายดีั้แ่สองปีก่อนแล้ว แต่ในตอนนี้ฉันกลับทำให้นายเป็กังวลไปด้วยอีก...” โม่เชี่ยนนีกล่าว ในขณะที่ดวงตาของเธอดูเศร้าหมอง
“รอยแผลที่น่องของคุณขยายเพิ่มเกือบจะเท่าลูกตาวัว มันดูเหมือนเป็อาการาเ็ที่รุนแรงมาก คุณไปได้แผลนี้มายังไงเหรอครับ?” หยางเฉินถาม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้