พระกระยาหารเช้าในวันนี้ อวี้ฉู่จาวยังคงกำชับให้ลุงตง หลานจื่อและคนอื่นๆ คอยตรวจสอบอาหารของหลินหร่านเพื่อป้องกันการติดโรคระบาด
เมื่อเทียบกับความปลอดภัยของตนเองแล้ว อวี้ฉู่จาวใส่ใจในความปลอดภัยของหลินหร่านมากกว่าเสียอีก
“เ้าก็ระวังตนเองด้วย โดนเฉพาะยามที่ออกไปนอกตำหนัก…” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ อวี้ฉู่จาวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนกล่าวต่อ “มิเช่นนั้นก็ให้อาจารย์ของเ้ามาสอนที่ตำหนัก จะได้ให้เขาดูตำราเล่มนั้นด้วย แล้วตรวจสอบว่าพอจะหาวิธีป้องกันการระบาดของโรคนี้ได้หรือไม่”
หลินหร่านพยักหน้ารับ “พ่ะย่ะค่ะ ให้ท่านอาจารย์ดูตำราเล่มนั้นน่าจะดีกว่า ให้ข้าดูเองอย่างไรก็คงไม่เข้าใจ”
หลังจากนั้น ลุงตงก็ได้ไปเชิญซูชิงเฟิงมายังตำหนักอ๋อง
หลินหร่านนำตำราเล่มนั้นยื่นไปตรงหน้าซูชิงเฟิงพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ท่านอาจารย์ นี่เป็ตำราที่มาจากหนานเจียง สิ่งที่เขียนอยู่ในตำรานี้ คล้ายคลึงกับโรคระบาดที่เกิดขึ้นเป็อย่างมาก ท่านอาจารย์ลองดูเถิดขอรับ”
ซูชิงเฟิงรับหนังสือเล่มนั้นมาก่อนจะตั้งใจศึกษา โดยที่มีอวี้ฉู่จาวเอ่ยถามอยู่ข้างกาย
“เ้าลองดู หากสามารถค้นหาวิธีรักษาโรคระบาดได้จากในนี้ก็ถือเป็การดี”
พออวี้ฉู่จาวกล่าวเช่นนั้น ซูชิงเฟิงยิ่งรู้สึกแปลกใจ เขาเปิดตำราดูไปหลายต่อหลายหน้าก่อนจะพบกับสิ่งที่น่าสนใจขึ้นมา
ยิ่งเปิดอ่านไปเรื่อยๆ ใบหน้าของซูชิงเฟิงยิ่งแสดงสีหน้าประหลาดใจมากขึ้น
หลินหร่านกับอวี้ฉู่จาวหันมาสบตากัน ก่อนที่หลินหร่านจะหยิบตำราออกมาอีกหลายเล่ม
ครู่ต่อมา ซูชิงเฟิงก็มีท่าทีสงบลงเล็กน้อย แล้วถึงค่อยๆ หันมามองทั้งคู่ “สิ่งที่บันทึกอยู่บนนี้ เป็ไปได้ว่าอาจเป็โรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเ้าพบวิธีรักษาแล้วหรือ?” อวี้ฉู่จาวถามกลับ
ทว่า ซูชิงเฟิงก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะไปมา “ในนี้ไม่มีบันทึกของการรักษาพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้น เขาก็เอ่ยออกมาอีก “ถึงอย่างนั้นในบันทึกเล่มนี้ก็เอ่ยถึงสาเหตุการสร้างมันขึ้นมา หากเริ่มจากจุดนี้ เป็ไปได้ว่าอาจหาวิธีรักษาพบก็เป็ได้พ่ะย่ะค่ะ แต่ยาสมุนไพรและทักษะด้านการแพทย์ คาดว่าคงเป็สิ่งที่มีเฉพาะในหนานเจียง ซึ่งนั่นถือเป็เื่ที่ค่อนข้างยากสำหรับกระหม่อม เนื่องจากกระหม่อมไม่เคยไปหนานเจียง ท่านอ๋องก็ทรงทราบดีว่าที่นั่นอยู่ห่างไกลและยากที่จะเข้าถึง ดังนั้น ข้อมูลที่เกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของที่นั่น กระหม่อมจึงไม่ได้มีความรู้มากมายนัก”
แล้วจู่ๆ หลินหร่านก็ลุกพรวดขึ้นพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาโดยเร็ว “เื่นั้นท่านอาจารย์มิต้องกังวลไป เื่ที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางการแพทย์ของหนานเจียง มารดาของข้าเขียนบันทึกเอาไว้ทั้งหมด ข้าลองอ่านไปมากพอสมควรแล้ว หากมีส่วนไหนที่ท่านอาจารย์้าทราบ ข้าจะช่วยหาให้ขอรับ”
หลินหร่านบอกด้วยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เพราะเขาได้ทุ่มเทเวลาเพื่ออ่านตำราของผู้เป็มารดาอย่างตั้งใจ อีกทั้งเขาเป็คนที่ความจำดี สามารถจดจำได้ด้วยความรวดเร็ว
เมื่อได้ยินหลินหร่านเอ่ยเช่นนั้น ความกังวลของซูชิงเฟิงจึงบรรเทาลง ก่อนที่เขาจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ลูกศิษย์คนนี้ของเขาไม่เลวเสียจริง ทั้งขยันและแน่วแน่ ผ่านไปไม่นานเท่าไรก็ช่วยงานเขาได้แล้ว
อวี้ฉู่จาวที่เห็นหลินหร่านเป็เช่นนี้ก็รู้สึกปลาบปลื้มใจเหมือนกัน นี่ทำให้เขารู้สึกวางใจมากทีเดียว
หากอยู่ด้านนอก อวี้ฉู่จาวก็จะคอยปกป้องอีกคนได้เสมอ และเมื่ออยู่ด้านใน เขาก็ปลอบโยนอีกคนได้อย่างสบายใจมากขึ้น แต่อย่างไรเสีย เื่ของวุฒิภาวะทางจิตใจกับเื่ของสติปัญญา ก็ยังคงต้องอาศัยความขยันขันแข็งของตัวหลินหร่านเอง
หลินหร่านชี้นิ้วไปยังตำราจำนวนหนึ่งที่เพิ่งนำออกมาวางไว้เบื้องหน้าพลางเอ่ย “ตำราเหล่านี้ล้วนเป็ตำราสมุนไพรของหนานเจียง หาก้าค้นหาเกี่ยวกับสมุนไพรยา จะต้องมีอยู่ในตำราเหล่านี้อย่างแน่นอนขอรับ”
ซูชิงเฟิงยื่นมือไปหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วเปิดออกพร้อมพยักหน้าบอก “ส่วนใหญ่สมุนไพรในนี้มักจะเป็สมุนไพรที่มีเฉพาะที่หนานเจียง นอกจากนี้ก็ยังมีสมุนไพรบางชนิดที่หาได้ในซีอวี้กับฉางไห่”
ในฐานะท่านหมอ สำหรับซูชิงเฟิงแล้ว ตำราเหล่านี้มีความน่าสนใจยิ่งนัก
ขณะที่อวี้ฉู่จาวกำลังมองดูซูชิงเฟิงกับหลินหร่านหารือกันเื่สมุนไพรอยู่นั้น ลุงตงก็ได้เดินเข้ามา
“ท่านอ๋อง”
เสียงของลุงตงดึงดูดความสนใจของทั้งสามคนให้หันมามอง
“ฮ่องเต้ส่งคนให้มากราบทูลว่า อยากจะขอให้ท่านอ๋องเชิญตัวท่านหมอซูเข้าไปตรวจดูอาการขององค์ชายห้าพ่ะย่ะค่ะ”
ซูชิงเฟิงหันไปมองอวี้ฉู่จาวพร้อมกับคิดในใจ ‘เพราะฝ่าารู้ดีว่าพระองค์เองคงไม่สามารถออกคำสั่งอะไรกับซูชิงเฟิงได้ จึงได้บอกให้คนมาแจ้งกับท่านอ๋อง เพื่อเป็การให้ท่านอ๋องออกหน้า บอกให้เขาไปตรวจดูอาการขององค์ชายสินะ’
อวี้ฉู่จาวหันไปสบตากับซูชิงเฟิงอีกครั้งแล้วเอ่ยถาม “เ้าว่าอย่างไร?”
ซูชิงเฟิงกล่าวด้วยความมั่นใจ “กระหม่อมไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ หรงจิ่งเคยบอกกับกระหม่อมแล้ว กระหม่อมรู้ว่าจะทำเช่นไร อีกทั้งกระหม่อมกำลังหาโอกาสที่จะได้ไปตรวจดูอาการของผู้ที่ติดโรคระบาดอยู่พอดี”
“เช่นนั้นเ้าก็ไปเถิด”
“แต่ว่า กระหม่อมอยากจะพาศิษย์ของกระหม่อมไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ซูชิงเฟิงยกคิ้วขึ้นพลางสบตาอวี้ฉู่จาว เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าท่านอ๋องที่แสดงสีหน้านิ่งเฉยนั้นจะยอมหรือไม่
และแล้ว สีหน้าของอวี้ฉู่จาวก็เปลี่ยนไป แน่นอนว่าสีหน้าของท่านอ๋องแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่้าให้หลินหร่านไปเสี่ยง
หลินหร่านมองทั้งคู่สลับไปมา ภายหลังเห็นสีหน้าของอวี้ฉู่จาวแปรเปลี่ยน เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก
หากอยู่ในสถานะศิษย์ของซูชิงเฟิง สิ่งนี้ย่อมถือเป็ภาระหน้าที่อันยากที่จะปฏิเสธ ทว่า ตัวเขาก็ไม่อยากทำให้ท่านอ๋องต้องเป็กังวล
เพียงครู่เดียว อวี้ฉู่จาวกลับเอ่ยถามหลินหร่านขึ้นมากะทันหัน “อวิ๋นซีมีความคิดเห็นอย่างไร?”
หลินหร่านไม่ทันคาดคิดว่าอวี้ฉู่จาวจะให้เขาตัดสินใจเื่นี้ด้วยตนเอง เขาจึงเบิกตากว้างด้วยความใ ก่อนจะครุ่นคิดด้วยความลังเล “ข้า...ข้า...ข้าฟังท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉู่จาวเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เ้าพูดในสิ่งที่เ้าคิดออกมาเถิด”
หลินหร่านไม่ค่อยเข้าใจ
ความคิดของเขาอย่างนั้นหรือ? ก็ที่เขาเอ่ยออกไปเมื่อครู่ก็เป็ความคิดของเขานี่นา
อวี้ฉู่จาวรับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้หลินหร่านกลับมาผูกความคิดของตนเองไว้กับเขาอีกครั้งเสียแล้ว
สำหรับอวี้ฉู่จาว เขาไม่ได้อยากให้หลินหร่านไปอย่างแน่นอน แต่ซูชิงเฟิงก็ถือว่าเป็อาจารย์ของอีกคน การที่เขาให้หลินหร่านติดตามไปด้วยจะต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว
ดังนั้น อวี้ฉู่จาวจึงอยากฟังว่าหลินหร่านจะเลือกอย่างไร
“ไม่ต้องคำนึงถึงข้า เ้าอยากไปหรือไม่อยากไป เื่นั้นข้าไม่ได้ว่าอะไร”
หลังจากหลินหร่านได้ฟังและรู้ว่าอวี้ฉู่จาวจะไม่ต่อว่าในการตัดสินใจของตน ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปทันที
หลินหร่านคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ข้าจะไป ข้าจะไปกับท่านอาจารย์ ถือว่าออกไปพบกับประสบการณ์ใหม่ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
แววตาของหลินหร่านเป็ประกายระยิบระยับ
พอเห็นดังนั้น อวี้ฉู่จาวจึงไม่ได้ว่าอะไร เขาเพียงเอ่ยหนึ่งประโยค “เช่นนั้นข้าจะไปกับพวกเ้า”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ซูชิงเฟิงกับหลินหร่านต่างก็พากันมองมาทางท่านอ๋อง
ซูชิงเฟิงเริ่มรู้สึกว่า อวี้ฉู่จาวกำลังแสดงออกราวกับตนเป็สามีที่ต้องติดตามไปปกป้องภรรยาอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาไม่คิดที่จะเอ่ยอะไร
ทว่า หลินหร่านก็อดที่จะเป็ห่วงอวี้ฉู่จาวไม่ได้ เพราะเขากลัวว่าท่านอ๋องอาจติดโรคระบาดไปด้วย
ในขณะที่หลินหร่านกำลังจะโน้มน้าว ท่านอ๋องก็เอ่ยปากขึ้นมาอีกที “ข้าจะไปรอพวกเ้าด้านนอก”
หลินหร่านพยายามทำให้ตนเองวางใจ แล้วถึงก้าวเดินเข้าไปหาอวี้ฉู่จาว เขายื่นมือไปจับมือท่านอ๋องเพื่อปลอบโยน โดยมีซูชิงเฟิงเดินตามมา “ท่านอ๋องไม่ต้องเป็ห่วงข้าหรอกพ่ะย่ะค่ะ ท่านอาจารย์ก็อยู่กับข้าด้วย”
ซูชิงเฟิงพยายามทำจิตใจให้สงบ เพื่อไม่ให้คนทั้งคู่ที่ยืนนัวเนียกันอยู่ทำให้เขารู้สึกระอาไปมากกว่านี้
เขาได้แต่ข่มจิตข่มใจกลอกตามองบนก่อนเอ่ย “ท่านอ๋องไม่ต้องกังวลไป ก่อนจะเข้าไปในนั้น กระหม่อมจะให้พระชายาเตรียมพร้อมสำหรับการป้องกันโรคระบาดพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้น ทั้งสามคนก็เดินทางไปยังตำหนักขององค์ชายห้า
หากเทียบตำหนักขององค์ชายห้ากับตำหนักอ๋องก็นับว่าเล็กกว่าอยู่มาก และเมื่อยิ่งนำมาเทียบกับตำหนักของท่านอ๋อง าาแห่งาผู้นี้แล้ว ตำหนักขององค์ชายจึงยิ่งเล็กเข้าไปใหญ่
พ่อบ้านผู้ดูแลตำหนักขององค์ชายได้มารออยู่ที่หน้าประตูเป็ที่เรียบร้อย ่ที่พวกเขาสามคนกำลังลงจากรถม้า พ่อบ้านพลันรีบเข้ามาถวายความเคารพ ทำการต้อนรับ
“ถวายบังคมท่านอ๋อง ถวายบังคมพระชายา…” ต่อจากนั้น พ่อบ้านรีบหันไปหาซูชิงเฟิงแล้วกล่าว “ท่านหมอซู เชิญด้านในเถิดขอรับ”
ห้องโถงด้านในมีคนอยู่จำนวนมาก หลังจากเดินเข้ามาด้านในจึงได้เห็นว่าฮ่องเต้ฉงเต๋อทรงอยู่ที่นี่ด้วย นอกจากนี้ พระสนมลี่และเหล่าหมอหลวงต่างก็อยู่ในตำหนักนี้เช่นกัน
จากภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า ทำให้ผู้พบเห็นได้แต่ทอดถอนหายใจ เพราะเห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ฉงเต๋อยังมีเยื่อใยกับพระสนมเอกอยู่
ไม่ว่าเื่ของตระกูลฉินจะสร้างปัญหาใหญ่เพียงใด ทว่าฮ่องเต้ฉงเต๋อก็ไม่ได้ทรงโกรธเคืองพระสนมลี่แม้แต่น้อย อีกทั้งยังคงใส่ใจพระสนมลี่กับพระราชโอรสดังเดิม
-------------------------------------------------
