หลิวต้าฟู่เปิดม่านรถม้าแล้วเดินเข้ามา ด้านนอกมีกลิ่นหอมของเนื้อหมูและเนื้อปลาลอยอบอวล
เดิมทีตอนเช้าเพียงแค่กินโจ๊กไปหนึ่งชามกับแป้งอีกหนึ่งแผ่น ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ในนามาหนึ่งชั่วยาม อีกทั้งเดินทางมาที่ตำบล ขณะนี้กระเพาะจึงว่างอย่างหนัก
เมื่อกลิ่นหอมของอาหารพัดมาเตะจมูก ทันใดนั้นกระเพาะของเขาก็บรรเลงเพลงแห่งความว่างเปล่าขึ้นมา
เกาจิ่วอดยิ้มไม่ได้และกวักมือเรียกให้เขานั่งลง ก่อนจะพูดว่า “ข้าได้ยินซานกุ้ยบอกว่าเขามีพ่อที่ดี ข้าเองยังไม่มีเวลาเชิญท่านมาดื่มด้วยกันสักจอกสองจอก”
เขาสืบจนรู้มาแต่เนิ่นแล้วว่าหลิวต้าฟู่คือนักดื่ม
ดังนั้นจึงเตรียมเหล้าชั้นดีไว้ั้แ่แรกแล้ว ก่อนจะรินให้เขาเองกับมือ หลิวต้าฟู่รู้สึกเกรงใจและเกร็งเล็กน้อย
เกาจิ่วยิ้ม “ท่านลุงหลิว ข้ากับซานกุ้ยนั้นเป็สหายที่ดีต่อกัน พ่อของเขาก็เปรียบเสมือนท่านลุงของข้า หลานขอเรียกท่านว่าท่านลุง จะได้รู้สึกสนิทชิดเชื้อกัน มาเถิด นี่คือเหล้าชั้นดีที่ข้าเพิ่งได้มา ดูสิว่ารสชาติเป็อย่างไรบ้าง ได้ยินมานานว่าท่านลุงหลิวชื่นชอบการลิ้มชิมเหล้า วันนี้จึงตั้งใจเชิญท่านมาชิม ดูสิว่าเหล้าประเภทนี้ คนท้องถิ่นจะชื่นชอบหรือไม่”
กลิ่นหอมของเหล้าผสมกับกลิ่นหอมของผัก หลิวต้าฟู่รู้สึกอดกลั้น อยากดื่มสักสองอึก
เมื่อได้ยินเกาจิ่วพูดเช่นนี้ เขาก็โล่งใจ ยังดีที่ไม่ใช่เื่การค้าขายมีปัญหา แล้วเรียกเขามาเป็ตัวประกันเพื่อบีบบังคับบุตรชายเขา
เกาจิ่วไม่ได้โกหก เหล้านี้เป็ของใหม่ เขาตั้งใจจะทดลองขายในโรงเตี๊ยม
การเชิญหลิวต้าฟู่มาเปิดหูเปิดตาก็ถูกต้อง
เพียงแต่การพูดปดชั้นเลิศนั้นมักจะประกอบไปด้วยเื่จริงบ้างเท็จบ้าง
เมื่อสุราสีเยี่ยวม้าตกสู่กระเพาะ หลิวต้าฟู่ก็เริ่มผ่อนคลายและสนทนากับเกาจิ่วไปเรื่อย
หลังจากรินเหล้าไปสามจอก หลิวเต้าฟู่ก็เริ่มมีอาการมึนเมา จากเื่เหล้าก็เริ่มพูดคุยมาถึงเื่ภรรยา
“เฮ้อ ว่ากันว่าการมีภรรยาก็เหมือนการมีความปราดเปรื่อง ข้าจะบอกให้ การไม่ฟังคำผู้ใหญ่ จะขาดทุนเอาได้”
ตอนนั้นบิดามารดาของเขาไม่ฟังคำค้านของผู้าุโในหมู่บ้าน และรั้นจะรับปากเื่แต่งงานนี้ไว้
บอกว่ามีบุญคุณการช่วยชีวิตค้ำจุน ถึงอย่างไรอีกฝ่ายมีเหตุผลก็ต้องยอมถอยให้
ดวงตาของเกาจิ่วส่องประกาย ก่อนจะยิ้มอย่างมีความสุขและพยักหน้าอย่างแรงเพื่อสนับสนุนคำพูดของหลิวต้าฟู่
“จะว่าไป ท่านลุงมีท่านป้าอยู่ด้วย ก็นับว่ามีบุญวาสนาจริงๆ”
“อะไรนะ มีบุญวาสนาหรือ?” หลิวต้าฟู่เริ่มดื่มเยอะ เวลาพูดจาก็เถรตรงไม่อ้อมค้อม
เกาจิ่วตอบว่า “อ้าว ก็ท่านป้าให้กำเนิดลูกเก่ง ทั้งคลอดลูกชายออกมาอึดใจเดียวสี่คนไม่พอ ถึงวัยชราแล้วยังให้กำเนิดลูกสาวได้เช่นนี้”
เมื่อพูดถึงบุตรสาว หลิวต้าฟู่คุยสามวันสามคืนก็คุยไม่จบ
เกาจิ่วเห็นว่าหัวข้อเริ่มไปไกลถึงเมืองหลวงแล้ว จึงรีบเอ่ย “ลูกสาวก็ดี แต่ก็ดีสู้ลูกชายไม่ได้ หากให้ข้าพูดละก็ ท่านลุงมีวาสนาดี ท่านดูสิ ลูกชายแต่ละคนเก่งกาจทั้งนั้น โดยเฉพาะซานกุ้ย ยิ่งไปกว่านั้นลูกชายสี่ก็ยังเป็คนที่มีความสามารถที่สุด”
“ซานกุ้ยนั้นหรือ เฮ้อ ข้าต้องขอโทษเขา รับปากไว้ว่าจะไม่ให้เขาร่ำเรียนเพื่อให้เขาเป็คนติดดินไปชั่วชีวิต และมีชีวิตสงบสุขตลอดไป เพียงแต่ข้าทำไม่ได้ เด็กคนนั้นเป็คนดี”
ไม่รู้ว่าหลิวต้าฟู่นึกถึงเื่อะไร จากนั้นก็เริ่มฟุบกับโต๊ะแล้วร้องไห้ทันใด
เกาจิ่วพูดไม่ออก เราอย่าเพิ่งเล่นกันแบบนี้ ข้ายังรอดักคำพูดของท่านอยู่แลย เหตุใดท่านถึงอ่อนไหวเร็วนัก!
หลิวต้าฟู่ไม่รู้ว่าความกังวลในใจของเกาจิ่วเกือบจะผูกปมกัน
หลังจากร้องไห้และหัวเราะสลับกันไปอยู่สักครู่
เกาจิ่วรอให้เขาร้องไห้จนพอใจ แล้วเอ่ยอย่างมีความอดทน “ท่านลุง ท่านควรดีใจนะ ได้ยินว่าซานกุ้ยเหมือนท่านย่ามาก เขาได้ดีเช่นนี้ นางเองก็คงดีใจมาก”
“ใช่ เขาเหมือนท่านย่า เพราะว่าท่านแม่กับท่านย่าของเขาคล้ายกันนัก” หลิวต้าฟู่หลุดคำพูดออกมาหนึ่งประโยค
ไม่ใช่ลูกของหลิวฉีซื่อจริงๆ!
เกาจิ่ว้าทราบข้อมูลเพิ่มเติม “ท่านลุง ท่านดื่มมากเกินไป ท่านป้าไม่น่าเหมือนท่านย่าของเขา”
หลิวต้าฟู่ส่ายหน้าและพบว่าเหล้าในจอกหมดแล้ว เกาจิ่วจึงรินให้เขาจนเต็ม
“ฉีหรุ่ยเอ๋อร์หรือ? นางไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเขา!!”
ใบหน้าของเกาจิ่วแสดงท่าทีตามคาด
“แล้วท่านแม่ของซานกุ้ยเล่า? ตอนนี้เขาเองก็ถือว่ามีความสำเร็จเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็หรือตาย อย่างน้อยก็ควรให้ท่านแม่ของเขารับรู้ จะได้ทำให้นางสบายใจ”
หลิวต้าฟู่ถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่้าเช่นนี้ เด็กคนนั้นซื่อตรง นิสัยเหมือนกับแม่ของเขา เฮ้อ ข้าบอกกับเ้านะ แม่ของเขานั้น ก่อนที่ข้าจะแต่งงานก็แอบชอบนางมาโดยตลอด น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าโง่เขลา หากข้าบอกกับท่านแม่ของข้า ท่านแม่ข้าไม่มีทางรับปากเื่งานแต่งนี้แน่ แต่ตอนนั้นข้ายังไม่เข้าใจ และไม่รู้ความรู้สึกของตนเอง”
เอาเถิด เกาจิ่วรู้สึกว่าคนอย่างหลิวต้าฟู่ในวัยเด็กหนุ่มคงจะโง่เขลาพอตัว ชอบคนอื่นเขาแต่กลับไม่รู้ตัว
หลิวต้าฟู่ชอบผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ อวี้หลัน แซ่กัว เป็หลานสาวห่างๆ ของมารดาเขา
ตระกูลกัวทำเกษตรกรรมในหมู่บ้านถัดจากตำบลเหลียนซาน มารดาของกัวอวี้หลันนั้นสนิทกับมารดาของหลิวต้าฟู่ั้แ่เยาว์วัย หลังจากทั้งสองออกเรือนไปก็ยังไปมาหาสู่กัน ตอนที่กัวอวี้หลันยังเด็กมักจะติดตามมารดามาเที่ยวเล่นที่บ้านของหลิวต้าฟู่
เกาจิ่วคิดในใจ เพื่อนบ้านห่างไกลพันลี้ สหายเยาว์วัยย่อมไม่รู้ใจตนเอง ดังนั้นเื่ราวกิ่งทองใบหยกนี้มักจะเป็อะไรที่เชื่อไม่ได้ที่สุด
ทั้งที่ควรเป็เื่ดี แต่กลับมีบุรุษที่โง่เขลากับสตรีที่ชอกช้ำใจมากมาย
ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ต่อมาบิดาของกัวอวี้หลันไปเป็พ่อค้า เมื่อทั้งสองเติบโตขึ้นตอนที่กัวอวี้หลันอายุสิบเอ็ดขวบ พ่อค้ากัวก็เริ่มหาเงินได้จึงอพยพไปยังชานเมืองในตัวจังหวัด และซื้อที่นาตั้งรกร้างอยู่ที่นั่น ตอนนั้นได้ยินว่าพี่ชายของกัวอวี้หลันเตรียมตัวลงสอบซิ่วไฉ
ต่อมาทั้งสองครอบครัวค่อยๆ ขาดการติดต่อ มารดาของหลิวต้าฟู่ยังตั้งใจขอที่อยู่ของมารดากัวอวี้หลันไว้และไปหา ก่อนจะได้ทราบข่าวว่าบุตรชายคนโตของตระกูลกัวป่วยหนัก ทั้งครอบครัวจึงขายที่นาและที่ดิน สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าย้ายไปที่ไหน
เดิมทีหลิวต้าฟู่คิดว่าทั้งสองคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีกในชีวิตนี้
ใครจะรู้ว่าเมื่อบุตรชายคนรองของเขาอายุสี่ขวบ ท่านลุงของเขาที่จังหวัดก็ส่งจดหมายมาบอกว่า หางานในจวนตระกูลหวงให้เขาได้หนึ่งตำแหน่ง
เดิมทีหลิวต้าฟู่ไม่้าไป เขาคือชนชั้นดี อีกทั้งในบ้านก็ไม่ได้ขัดสนเื่การกินการใช้ จึงไม่้าขายตัวเป็ทาส
แต่หลังจากที่หลิวฉีซื่อรู้เื่นี้ก็ทะเลาะกับเขายกใหญ่ บอกว่าชนชั้นทาสนั้นสบายกว่าชนชั้นดีมากมาย
หลิวต้าฟู่้าให้บุตรชายของตนได้ดี จึงบอกว่าอยากส่งพวกเขาให้ร่ำเรียน ต่อไปจะได้นำความสว่างไสวมาให้ครอบครัว เขาบอกกับหลิวฉีซื่อจนปากเปียกปากแฉะ แต่นางกลับบอกว่ามีจวนตระกูลหวงเป็ที่พึ่ง ขอเพียงบุตรชายเล่าเรียนได้ไม่แย่เกินไป ต่อไปการจะได้เป็จวี่เหรินสักสองคนก็ใช่ว่าจะเป็ไม่ได้
ถึงอย่างไรแม้ว่าการเป็จวี่เหรินไม่อาจเป็ขุนนางในราชสำนักได้ แต่ก็ได้รับการยกเว้นภาษีที่นาไม่น้อย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิวต้าฟู่ก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย เพื่ออนาคตของบุตรชาย จะให้เขาทำอย่างไรก็ย่อมได้
เมื่อทั้งสองตกลงกันเรียบร้อย จึงปล่อยเช่าที่นาของตนให้แก่ผู้อื่น แล้วย้ายไปอยู่ที่จังหวัดทั้งครอบครัว หลิวฉีซื่อเลี้ยงลูกๆ อยู่ที่บ้าน ส่วนเขาไปทำงานในจวนตระกูลหวง ขณะเดียวกันเขาเองก็ทำสัญญายืดหยุ่นเพียงแค่หนึ่งปี และตั้งใจทำในจวนตระกูลหวงไปก่อน คิดว่าเมื่อทำไปได้่หนึ่งก็จะหาเวลาว่างไปหางานที่ทำเงินเพิ่มอีก
นี่คือเื่ที่หัวหน้าพ่อบ้านฉีในจวนตระกูลหวงซึ่งเป็พี่ชายของภรรยาได้ตกลงกับเขา
ภายใต้การจัดแจงของพี่ชายภรรยา เมื่อเข้าสู่จวนตระกูลหวงก็ได้รับงานดูแลดอกไม้ในสวนหย่อม วันๆ หนึ่งงานไม่ได้มาก และเงินเดือนก็ไม่เยอะเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็ได้กินอยู่โดยไม่เสียเงิน ได้เงินเดือนเดือนละหลายร้อยอีแปะ รวมกับหลิวฉีซื่อที่ได้รับค่าเช่าทุกปี พอคำนวณแล้วก็ได้เงินมากกว่าอยู่ในชนบท
ดังนั้นหลิวต้าฟู่จึงตัดสินใจทำงานอย่างจริงจังในจวนตระกูลหวง
สองเดือนผ่านไปนับั้แ่เริ่มทำงานนี้ เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงปีใหม่ จวนตระกูลหวงต้องจับจ่ายซื้อของกับกระถางดอกไม้สวยงามเพื่อวางประดับในจุดที่เห็นได้สะดุดตา
ปุ๋ยที่ดีย่อมไม่ไหลสู่ที่นาคนอื่น พ่อบ้านฉีมีใจอยากดูแลน้องเขย จึงยกงานนี้ให้เขา
โชคไม่ดีก็คืองานนี้
ทำให้กิ่งทองได้พบเจอกับใบหยกหลังจากกาลเวลาผ่านไปหลายปี
กิ่งทองน้อยตอนนั้นกลายเป็กิ่งทองใหญ่ ใบหยกน้อยก็เติบใหญ่สวยงามโดดเด่นมีเสน่ห์
หลิวต้าฟู่ได้เจอกัวอวี้หลันอีกครั้งจึงหวั่นไหวอย่างไม่ต้องเอ่ยถึง หลังจากรู้ว่านางพักอาศัยไม่ไกลจากที่ตลาดดอกไม้ และรู้ว่าสามีของนางเพิ่งจากไป ส่วนบิดามารดาก็ตรอมใจตายตามพี่ชายที่ป่วยและเสียชีวิต
ความเห็นอกเห็นใจของหลิวต้าฟู่ถาโถมออกมา นี่คือใคร น้องสาวที่เขารักและเอ็นดูมาั้แ่เด็ก และยังเป็เด็กสาวที่เขาหลงรัก
ดังนั้นหลิวต้าฟู่ที่อยู่ในวัยเืร้อนจึงดูแลใบหยกน้อยของเขาที่ไร้ญาติมิตรเป็อย่างดี
ทั้งสองได้พบกันอีกครั้ง สิ่งที่อยู่ในหัวใจได้แปรเปลี่ยนเป็สัมพันธ์ของครอบครัว โดยเฉพาะกัวอวี้หลันยิ่งปฏิบัติต่อเขาราวกับพี่ชายแท้ๆ
เพียงแต่ขณะที่ทั้งสองดูแลกันและกัน ท้องของกัวอวี้หลันก็โตขึ้นทุกวัน
หลิวต้าฟู่เป็ห่วงน้องสาวที่กำลังจะเป็หญิงหม้ายลูกติด
กัวอวี้หลันมองดูกิ่งทองน้อยของตน เขาจะปล่อยไว้ไม่ดูแลไม่ได้ นางยังเด็ก ลูกก็ยังเล็ก กลัวถูกคนรังแก
ความหมายของกัวอวี้หลันคืออยากกลับไปที่หมู่บ้านกับเขา และอาศัยอยู่ใกล้ท่านน้า ซึ่งก็คือมารดาของหลิวต้าฟู่
หลิวต้าฟูเป็คนเืร้อนจึงเห็นว่าความคิดนี้ดี ทั้งยังสามารถดูแลนาง และไม่ต้องกังวลว่านางจะถูกคนอื่นรังแก
แต่หลิวฉีซื่อคือใคร นางเกิดและโตในโคลนตมของจวนตระกูลหวง
ในไม่ช้าหลิวฉีซื่อก็รู้ว่า ตัวตนของใบหยกน้อยของเขายังอยู่
ใช่ว่านางจะไม่เคยคิดวางแผนกำจัด เพียงแต่กัวอวี้หลันไม่ใช่คนที่หาเื่ได้ง่ายๆ จึงป้องกันตัวมาโดยตลอด
หลิวฉีซื่อคิดแผนการได้ จึงจะให้หลิวต้าฟู่แต่งกัวอวี้หลันเป็อนุแล้วพานางกลับบ้าน
แต่หลิวต้าฟู่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
หลิวฉีซื่อโกรธมาก เห็นว่าเขาจะมีบ้านน้อย กินของมารดา ใช้ของมารดา แล้วยังคิดจะให้เลี้ยงดูสายเืของเขากับนางอีกหรือ!
เื่นี้หลิวฉีซื่อและหลิวต้าฟู่ทะเลาะกันจนต่อกันไม่ติด เขารั้นจะบอกว่าเด็กคนนั้นคือเชื้อสายของตนเอง แต่หลิวต้าฟู่ก็เป็คนปากทื่อ ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร หลิวฉีซื่อก็ไม่เชื่อ
ต่อมาเมื่อเื่มาถึงหูของพี่ชายภรรยา หัวหน้าพ่อบ้านฉีก็ออกหน้าข่มขู่หลิวต้าฟู่ หากว่าเขาไม่ตัดขาดสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนั้น ก็ให้เขาไสหัวกลับไปทำนาที่บ้าน
เื่นี้ทะเลาะกันต่อเนื่องหลายเดือน จนท้ายที่สุดหลิวต้าฟู่บอกว่า รอจนกัวอวี้หลันคลอดเด็กออกมาครบหนึ่งเดือนก็จะกลับหมู่บ้านสามสิบลี้ และให้กัวอวี้หลันใช้ชีวิตอยู่กับบิดามารดา ส่วนเขาจะไม่ไปเยี่ยมนางอีกต่อไป
หัวหน้าพ่อบ้านฉีพึงพอใจ เพื่อให้น้องสาวตนเองมีจุดยืนในตระกูลหลิว เขาจึงช่วยใช้เส้นสาย ทำให้หลิวต้าฟู่ได้งานพ่อบ้านเล็กๆ ในการดูแลสวนหย่อม และได้รับเงินเดือนเพิ่มเป็แปดร้อยอีแปะ
ในหนึ่งปีเมื่อรวมกับรางวัลประจำปี จึงรวมเป็ทั้งหมดสิบตำลึงกว่า รวมกับการกินอยู่โดยไม่เสียเงินในจวน รายได้นี้นับว่าไม่เลวทีเดียว
หลิวต้าฟู่นึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ในใจก็เ็ปอย่างหนักหน่วง
เขาร้องไห้อย่างขมขื่นและจับมือของเกาจิ่วไว้ไม่ปล่อย “เ้าบอกข้าที หากตอนนั้นข้าไม่ได้โลเลเช่นนั้น ก็คงไม่ทำให้อวี้หลันต้องตาย หากมีพ่อแม่ข้าช่วยดูแล ซานกุ้ยก็คงไม่ต้องเกิดมาโดยไม่มีแม่ ฮือๆ ล้วนเป็ความผิดของข้า”
เกาจิ่วเอื้อมมือไปตบไหล่เขา ชายที่ซื่อสัตย์ เพราะซื่อสัตย์เกินไปจึงถูกคนตระกูลหลิวรังแก
-----