หลังจากมองตากันอยู่นาน ในที่สุดพ่อลูกก็พยักหน้าอย่างจริงจังและพูดขึ้นพร้อมกัน
"เราตกลงลงนามกับคุณ เราพร้อมนำหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปมาเดิมพันกับอนาคตเศรษฐีนี ถ้าชนะ แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็เศรษฐี แต่ก็ยังได้หุ้น ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเฉียนต๋ากรุ๊ป!"
เฉินเฟิงพึงพอใจกับคำตอบของพ่อลูกคู่นี้เป็อย่างมาก ยกยิ้มมุมปากพร้อมตอบกลับ
"เดี๋ยวเราค่อยเซ็นสัญญากันทีหลัง ผมจะไปหาคุณที่ปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปเอง สำหรับสัญญาซื้อขายที่เราต้องเซ็นคือสิทธิ์ในการพัฒนาอาคารสองหลังอีกสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ที่เหลือของคุณ!"
เมื่อได้ยินดังนั้นผู้าุโหวังจึงหยิบสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ที่เตรียมไว้ล่วงหน้าอีกแล้ว ออกมาจากกระเป๋าเอกสาร ยื่นให้หยางกั๋วเฉียงอ่าน
แม้ว่าหยางกั๋วเฉียงจะเริ่มรู้สึกเสียดายเื่อาคารทั้งสองหลังนั้น แต่ในเมื่อเขาออกปากไปแล้วว่าจะขาย ยังไงก็ต้องรักษาคำพูด เพราะเขารู้สึกไม่ดีหากต้องกลับคำตนเอง
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้หยางกั๋วเฉียงไม่เชื่อว่าอาคารสองหลังนั้นจะมีอะไรดีไปกว่าแค่ราคาที่ดินจะสูงขึ้นเล็กน้อย
ในความเป็จริง ที่ดินและตัวอาคารมีศักยภาพในการพัฒนามากมายมหาศาล
เฉินเฟิงถึงได้ประมูลซื้อสิทธิ์ในการพัฒนาแปดสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ในราคาแปดแสนหนึ่งหมื่นหยวน และบอกให้ผู้าุโหวังลงทุนอีกยี่สิบล้านเพื่อซื้อส่วนที่เหลือทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปกับเฉียนต๋ากรุ๊ปยังมีธุรกิจหลายอย่างที่ทับซ้อนและแข่งขันกันอยู่
หลังจากอ่านสัญญาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและพบว่าไม่มีปัญหาหรือช่องโหว่ใดๆ หยางกั๋วเฉียงจึงลงนามพร้อมปั๊มตราประทับของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ป เป็การโอนย้ายกรรมสิทธิ์อย่างเป็ทางการ
"น้องหยาง แกพกตราประทับติดตัวตลอดเวลาเลยเหรอ?"
ผู้าุโหวังเห็นดังนั้น อดไม่ได้ที่จะพูดหยอกล้อด้วยอารมณ์ขำขัน
"แน่นอนสิ ของสำคัญขนาดนี้ไม่พกไว้ไม่ได้หรอกครับ ว่าแต่ผม พี่หวังเองก็เซ็นชื่อและประทับตราลงสัญญาตั้งหลายฉบับไว้ล่วงหน้าแล้วไม่ใช่เหรอครับ?"
หยางกั๋วเฉียงเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้
จากนี้ไปปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปและเฉียนต๋ากรุ๊ปจะกลายเป็บริษัทคู่แข่งที่มีผู้ถือหุ้นเป็บุคคลเดียวกัน
หยางกั๋วเฉียงอยากให้ลูกสาวคนรองเป็ผู้หญิงที่รวยที่สุดคนแรกในปี 2007
ส่วนผู้าุโหวังหลังจากได้รับความมั่นใจจากคำพูดของเฉินเฟิง เป้าหมายในการเป็เศรษฐีก็ถูกเลื่อนเข้ามาเป็ปี 2007 เช่นกัน
ถึงแม้ว่าจะต้องยกหุ้นสี่สิบเก้าเปอร์เซ็นต์ให้กับเฉินเฟิงก็ตาม แต่มันก็คุ้มค่า
เพราะถ้าถอดใจยอมแพ้ไปตอนนี้ บริษัทเฉียนต๋ากรุ๊ปก็เป็แค่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าประมาณพันล้านกว่าๆ แล้วยังเป็หนี้ธนาคารอีกหลายร้อยล้าน
ส่วนปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมาก มูลค่าตลาดปัจจุบันอยู่ที่ไม่กี่พันล้านเท่านั้น
แต่ถ้าพวกเขาเชื่อคำพูดของเฉินเฟิงอย่างแน่วแน่ ในอนาคต บางทีพวกเขาอาจมีทรัพย์สินสูงถึงหนึ่งหรือสองแสนล้านในปี 2007
เมื่อเห็นว่าทุกคนลงนามในสัญญาที่ตกลงกันไว้เป็ที่เรียบร้อยแล้ว เฉินเฟิงก็ลูบหน้าท้องและพูดขึ้น
"ผมทานมื้อเย็นเร็วไปนิดหน่อย แถมผมไม่ได้ทานมื้อเช้ากับกลางวันด้วย ผมคิดว่าน่าจะถึงเวลากินมื้อดึกเพื่อทดแทนส่วนที่ไม่ได้ทานแล้วนะครับ"
ได้ยินเช่นนี้ ผู้าุโหวังยิ้มอย่างอบอุ่นและเชิญชวนทุกคนให้นั่งลงและเริ่มทานอาหารในฐานะเ้ามือ
ในขณะที่เฉินเฟิงกำลังจะหยิบตะเกียบ ทันใดนั้นเอง ประตูลิฟต์ก็เปิดออก
หลิ่วอีอีผู้มีสายตาเฉียบแหลม เห็นทุกคนเตรียมจะทานอาหารรีบพูดว่า
"คุณสามี คุณทานอาหารมื้อดึกโดยไม่รอฉันแบบนี้ ในใจคุณยังคิดถึงฉันหรือเปล่า..."
คำพูดของหลิ่วอีอีเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจผสมกับความผิดหวัง
ได้ยินเช่นนั้น เฉินเฟิงทิ้งตะเกียบลงอย่างทันท่วงที หันไปต้อนรับพร้อมกับแก้ตัวด้วยเสียงหัวเราะ
"ผมไม่ได้รอคุณเพราะพวกเราทุกคนเป็ครอบครัวเดียวกัน แล้วผมก็ไม่รู้ว่าคุณจะเตรียมตัวนานแค่ไหน มาๆ ในเมื่อมาแล้ว คุณบอกจะไม่ทำให้ผมเสียหน้า"
ทันทีที่พูดจบ เฉินเฟิงก็สังเกตเห็นคนคุ้นเคยสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วอีอี
"อ้าว พี่หลิ่วนี่เอง เป็เกียรติสำหรับผมอย่างยิ่งที่พี่มาด้วย..."
หยางกั๋วเฉียงและผู้าุโหวังเดิมทีนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร พวกเขาไม่คิดจะลุกขึ้นมาต้อนรับ แต่เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วอีอี ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็คนคุ้นเคยจึงลุกขึ้นมาต้อนรับ
"ว่าไงเสี่ยวหวัง เสี่ยวหยาง ไม่ได้เจอกันนาน เป็ไงบ้างสบายดีไหม? ลูกสาวคนโตของผม เธอบอกว่าจะมางานกับคู่หมั้นของเธอ เห็นว่ามาเจอคนใหญ่คนโตในวงการอสังหาริมทรัพย์ พอรู้ว่าเป็พวกคุณสองคน ผมก็เลยขอตื๊อตามมาด้วย คงไม่ว่ากันนะ..."
คำพูดของเขาถ่อมตัวเกินความจำเป็
"ผมจะว่าพี่ได้ยังไง แค่พี่มาร่วมโต๊ะกับผมก็ถือเป็เกียรติสำหรับผมแล้ว"
ผู้เฒ่าหวังผู้เป็เ้าบ้านตอบกลับทันควัน
พ่อของหลิ่วอีอีหรือที่เขาเพิ่งเรียกว่าพี่หลิ่วนั้น คือหลิ่ว่จื้อผู้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของบริษัทเทคโนคอมพิวเตอร์เซียงเหลียน ซึ่งมีอายุอานามมากกว่าเขาถึง 10 ปี
แม้ว่าบริษัทเทคโนคอมพิวเตอร์เซียงเหลียนจะก่อตั้งขึ้นในปี 1988 เช่นเดียวกับเฉียนต๋ากรุ๊ป
แต่หลังจากผ่านไป 7 ปี สถานะของทั้งสองบริษัทก็ไม่สามารถนำมาเทียบกันได้
ทางด้านเฉินเฟิงรู้สึกคุ้นเคยกับชายวัยกลางคนทางด้านขวามือของหลิ่วอีอี
ทันใดนั้น เฉินเฟิงก็ตระหนักได้ว่าคนคนนี้คือคนร้ายที่ทำให้ประเทศเหยียนหวงสูญเสียสิทธิ์ในการ 5G ในอนาคต!
แม้ว่าหลังจากนั้นเขาและเหรินเจิ้งเฟยของหัวเวยจะพยายามให้คำอธิบายต่างๆ มากมาย
แต่เฉินเฟิงในฐานะพระเ้าแห่งนักลงทุนรายย่อยยังคงเกลียดคนคนนี้อยู่ลึกๆ!
ถ้าลุงหลิ่วคนนี้โหวตคะแนนให้หัวเวยทั้งสองครั้ง แม้ว่าหัวเวยจะแพ้ในตอนท้าย แต่เขาก็คงไม่โดนวิพากษ์วิจารณ์!
เฉินเฟิงนึกถึงโน้ตบุ๊กเครื่องแรกที่เขาใช้ ซึ่งเป็ยี่ห้อเซียงเหลียน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกโกรธมาก
เฉินเฟิงจ้องมองหลิ่ว่จื้อด้วยสายตาที่ไม่พอใจ พูดด้วยน้ำเสียงเ็า
"คุณคือพ่อของอีอี ประธานของเซียงเหลียน หลิ่ว่จื้อ?!"
หลิ่ว่จื้อััได้ถึงความไม่พอใจของเฉินเฟิงที่มีต่อเขาในทันที จึงตอบอย่างงุนงง
"ไอ้หนู แกโกรธที่อีอีไม่ได้บอกตัวตนที่แท้จริงของฉันให้แกรู้หรือไง? กลัวว่าคนอื่นจะนินทาว่าแกแต่งเข้าตระกูลหลิ่วหรือ?!"
ได้ยินเช่นนั้น เฉินเฟิงก็หัวเราะอย่างเ็า
"ตอนนี้ในมือผมถือหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเฉียนต๋ากรุ๊ป ในไม่ช้าจะมีหุ้นของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ รวมทั้งหุ้นอีกเก้าเปอร์เซ็นต์ของถางเฉินกรุ๊ปด้วย! และผมจะเอาหุ้นส่วนใหญ่ห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ของเซียงเหลียนกรุ๊ปจากมือของคุณ!"
ทันทีทันใด เฉินเฟิงในสายตาของผู้าุโหวังและหยางกั๋วเฉียงเปลี่ยนไปราวกับคนละคน
เขาไม่ใช่คุณชายลึกลับที่ไม่รู้ที่มาที่ไปอีกแล้ว แต่กลายเป็จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ร่ำรวยยิ่งกว่ามหาเศรษฐีที่รวยที่สุด!
ขนาดกับเฉียนต๋ากรุ๊ปเฉินเฟิงยัง้าหุ้นเพียงสี่สิบเก้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เขายังปล่อยอำนาจการควบคุมทั้งหมดให้ผู้าุโหวัง
มาตอนนี้ ทั้งผู้าุโหวังและผู้าุโหยางไม่คิดเลยว่าเฉินเฟิงจะเพ้อฝันถึงการเข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของเซียงเหลียนกรุ๊ปที่มีหน่วยงานของรัฐเข้าร่วม
เฉินเฟิงเสียสติไปแล้ว?!
"ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ของเซียงเหลียน ณ ปัจจุบันคือ ราชบัณฑิตสภาทางวิทยาศาสตร์แห่งเหยียนหวง แกจะไปซื้อยังไงไอ้หนู?!"
หลิ่วเฉิงจื้อรู้สึกขำขันขึ้นมาทันที กัดฟันพูดว่า
