เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้ามองจวินเชียนจี้ด้วยสายตาเคารพศรัทธา ราวกับคนตรงหน้าเป็เทพเ้าที่แสนสูงส่งเช่นนั้น นางสารภาพออกมา “ศิษย์ไม่ได้อยากก่อเื่ แต่ตอนเลิกเรียน ท่านชายหลิวเป็คนลงมือทำร้ายข้าก่อน แถมยังประกาศว่าจะท้าสู้กับข้าแบบตัวต่อตัวอีก หากข้าไม่ตอบโต้ ต้องถูกเขาซ้อมแน่ ศิษย์มาวิทยาลัยหลวงเป็วันแรก ยังไม่สนิทกับใครสักคน ต่อให้จะขอให้ช่วยก็ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยอยู่ดี อย่างมากก็แค่มุงดูอยู่ไกลๆ เท่านั้น เพราะแบบนี้ ศิษย์ถึงได้ตอบโต้กลับ”
จวินเชียนจี้พูดด้วยท่าทีเรียบเฉย “สือจิ่นเล่าเื่ทั้งหมดแล้ว ตอนนี้ท่านคิดว่าคนที่ผิดคือนางหรือท่านชายหลิวกันแน่? นางทำไปเพื่อป้องกันตัว แต่ท่านกลับบังคับให้นางยอมรับผิด ส่วนท่านชายหลิวที่เป็คนหาเื่ ท่านกลับอนุญาตให้กลับบ้านงั้นหรือ? หากไม่ใช่เพราะข้ามารับด้วยตนเอง ท่านคิดจะกักตัวลูกศิษย์ของข้าตลอดทั้งคืนเลยหรือไม่?”
เฟิ่งสือจิ่นผละออกมาจากอ้อมแขนของจวินเชียนจี้ นางหันไปมองซูกู้เหยียน พลางพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง “อาจารย์เห็นว่าข้าเป็เด็กใหม่ ก็เลยอยากใช้อำนาจมาแก้แค้นส่วนตัวสินะ หากท่านลงโทษท่านชายหลิวให้หนัก ข้าก็คงไม่ค้างคาใจ และยอมขอโทษกับความวู่วามของตนเองเช่นกัน”
ซูกู้เหยียนมองนางแวบหนึ่ง “แต่ท่านชายหลิวถูกเ้าทำร้ายจนาเ็แล้วนะ”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “จะโยนความผิดมาให้ข้าเพียงเพราะเขาเป็ฝ่ายแพ้ได้อย่างไร อาจารย์ ท่านทำเช่นนี้ ยุติธรรมแล้วหรือ?”
เพราะมีจวินเชียนจี้อยู่ นางจึงพูดได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัวใดๆ ทั้งนั้น จวินเชียนจี้อยู่ตรงนี้ ซูกู้เหยียนย่อมไม่สามารถตำหนิเฟิ่งสือจิ่นด้วยคำพูดที่รุนแรงได้เช่นกัน ซูกู้เหยียนที่เป็คนกลางของเื่นี้จึงหนักใจเป็อย่างมาก
ทว่าจวินเชียนจี้กลับพูดขึ้น “อาจารย์บอกว่าหากเ้ายอมรับผิดเหมือนกับท่านชายหลิว ก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ ดังนั้นต่อไป หากสร้างเื่อะไรขึ้นในวิทยาลัยหลวง ก็แค่ยอมรับความผิดไปก็สิ้นเื่ แบบนั้น อาจารย์ท่านนี้ก็คงไม่กักตัวเ้าจนถึงดึกดื่นป่านนี้หรอก” เฟิ่งสือจิ่นพยักหน้าด้วยท่าทางคล้ายได้รับความรู้ใหม่ จวินเชียนจี้จับมือของนางเอาไว้ “เอาล่ะ ตอนนี้ ยอมรับผิดกับอาจารย์เสีย พวกเราจะได้กลับบ้านเสียที”
เฟิ่งสือจิ่นคารวะซูกู้เหยียนด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย “ขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว”
จากนั้นทั้งสองก็เดินออกมาจากวิทยาลัยหลวงทันที ซูกู้เหยียนยืนอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง จู่ๆ เขาก็รู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจเอาเสียเลย ดูเหมือนการกระทำของตนจะทำให้เื่ทุกอย่างแย่ยิ่งกว่าเดิม
แต่ไม่ว่าอย่างไร เื่การศึกษาในวิทยาลัยหลวงของเฟิ่งสือจิ่นก็เป็เื่ที่น่าปวดหัวมาั้แ่แรกแล้ว
ระหว่างทางกลับ ตอนนี้เฟิ่งสือจิ่นไม่ได้กล้าหาญชาญชัยเหมือนเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนจะมีท่าทีขี้ขลาดขึ้นมาก นางจับมือของจวินเชียนจี้เอาไว้แน่น แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แค่เดินตามเขาไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น นางคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว
แต่จวินเชียนจี้กลับพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “ก่อนหน้านี้เ้ายังพูดเก่งอยู่เลยไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงเอาแต่เงียบล่ะ”
เฟิ่งสือจิ่นร้องเรียก “อาจารย์”
“อืม”
เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้ามองใบหน้าด้านข้างของจวินเชียนจี้ “ต่อไป ไม่ว่าศิษย์จะทำความผิดอะไร ท่านก็จะปกป้องข้า ไม่มีวันทอดทิ้งข้าใช่หรือไม?”
จวินเชียนจี้ถอนหายใจออกมาเบาๆ “คงใช่ ก็ข้ามีเ้าเป็ศิษย์แค่คนเดียวนี่”
“ท่านจะคิดว่าข้าสร้างเื่เดือดร้อนให้ท่านมากเกินไปหรือไม่?”
“บางครั้งก็รู้สึกยุ่งยากไม่น้อย” จวินเชียนจี้ประกายรอยยิ้มที่บางจนแทบจะมองไม่เห็นขึ้น “ข้าจะปกป้องเ้า แต่จะไม่ให้ท้ายเ้าในเื่ผิดๆ เด็ดขาด เมื่อกลับไปถึง จงไปสำนึกผิดในห้องหลอมสมุนไพร”
“ทราบแล้ว อาจารย์ จริงสิอาจารย์...”
จวินเชียนจี้เอ่ย “อืม”
เฟิ่งสือจิ่นพูดเสียงแ่ “ก่อนหน้านี้ อาจารย์ที่วิทยาลัยบอกว่า ให้ศิษย์กับท่านชายหลิวรับผิดชอบโต๊ะกับเก้าอี้ที่เสียหายคนละครึ่ง...”
จวินเชียนจี้กล่าว “ไม่ต้องกังวลเื่นั้นหรอก พรุ่งนี้ ท่านโหวอันกั๋วจะนำโต๊ะกับเก้าอี้ทั้งหมดมาชดใช้เอง รวมไปถึงส่วนที่เ้าต้องรับผิดชอบด้วย”
เฟิ่งสือจิ่นถาม “ท่านมั่นใจขนาดนั้นเลยหรือ?”
“หากไม่ทำเช่นนี้ เขาจะกล้าหยิบยกเื่นี้ไปป่าวประกาศได้อย่างไร เขาคงจะฉวยโอกาสนี้เย้ยหยันข้าอีกตามเคย” จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็รู้สึกผิดขึ้นมา จวินเชียนจี้มองนางด้วยหางตามาตลอดทาง เมื่อเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้น “ท่านโหวอันกั๋วเป็เช่นนี้มาโดยตลอด แต่การกระทำของเขาไม่มีผลต่อข้าหรอก ในเมื่อท่านชายหลิวเป็คนหาเื่ก่อน เช่นนั้นก็ให้ท่านโหวอันกั๋วเป็คนรับผิดชอบเองก็แล้วกัน”
เมื่อกลับไปถึงจวนราชครู หลังกินอาหารค่ำ เฟิ่งสือจิ่นก็เข้าไปสำนึกผิดในห้องหลอมสมุนไพรให้เรียบร้อย เื่ที่อาจารย์สั่ง ไม่ว่าอะไรนางก็จะทำให้ดีที่สุด ส่วนเื่ที่ซูกู้เหยียนสั่งในวิทยาลัยหลวง นางไม่คิดจะจำด้วยซ้ำ
วันต่อมา เฟิ่งสือจิ่นตื่นนอนโดยไม่รอให้จวินเชียนจี้มาปลุก วันนี้นางรู้สึกกระปรี้กระเปร่าั้แ่เช้า ระหว่างที่ยืดเส้นยืดสายอยู่ในสวน นางก็ได้ยินเสียงเอะอะของเด็กรับใช้ดังขึ้นที่ข้างห้องหลอมสมุนไพร
ดวงตะวันยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า หลังคาสูงจึงมีแค่แสงสีทองก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น
เฟิ่งสือจิ่นเดินเข้าไปถามเด็กรับใช้ “พวกเ้ากำลังหาอะไรอยู่หรือ?”
เด็กรับใช้กำลังควานหาบางอย่างในพุ่มหญ้า เขาหาไปพลาง ตอบนางไปพลาง “เรียนศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อคืนประตูของห้องหลอมสมุนไพรไม่ได้ปิด วันนี้พวกเราพบว่ามีหนูแอบเข้าไปกินยาที่วางอยู่ในห้องหลอมสมุนไพร เลยออกมาช่วยกันตามจับหนูตัวนั้น เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะเห็นมันหนีมาทางนี้แท้ๆ”
เฟิ่งสือจิ่นจับจมูกเบาๆ เมื่อคืนนางนั่งสำนึกผิดอยู่ในห้องหลอมสมุนไพร แต่เพราะง่วงเลยกลับมานอนที่ห้อง น่าจะลืมปิดประตูจริงๆ โลกยุคนี้ แม้แต่หนูก็ยังอยากกลายเป็เทพเซียนเลยหรือนี่ หวังว่ามันจะไม่กินยามั่วๆ จนตายไปเสียก่อนนะ
เฟิ่งสือจิ่นเดินเล่นในละแวกใกล้ๆ ก่อนจะกินอาหารเช้า แล้วเดินทางไปที่วิทยาลัยหลวงตามลำดับ นางไปถึงเช้าเป็พิเศษ ตอนนี้ ห้องเรียนมีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้น และคนเ่าั้ก็พยายามอยู่ห่างจากนางอย่างกับนางเป็สัตว์ร้าย แถมยังแอบซุบซิบบางอย่างเป็ระยะ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังพูดอะไรกันอยู่
เฟิ่งสือจิ่นเดินไปที่โต๊ะแถวแรกในห้อง ตรงนั้นมีโต๊ะกับเก้าอี้ใหม่เอี่ยม ซึ่งมีชื่อของนักศึกษาทุกคนในห้องสลักติดอยู่ โต๊ะกับเก้าอี้พวกนี้เป็ของที่ท่านโหวอันกั๋วสั่งให้คนนำมาส่งให้ทันก่อนจะเริ่มเรียน ถือเป็การรับผิดชอบในสิ่งที่ลูกชายทำลงไป เพื่อแสดงถึงความใจกว้างและร่ำรวยของตนเอง ยังลงทุนชดใช้แทนเฟิ่งสือจิ่นอีกด้วย ท่านอาจารย์ทำนายได้แม่นยำจริงๆ ท่านโหวอันกั๋วทำเช่นนี้ คงเพราะอยากอวดอำนาจบารมี และเย้ยหยันว่าจวนราชครูยากจนนั่นเอง
ในเมื่อจวินเชียนจี้ไม่ใส่ใจ เฟิ่งสือจิ่นก็ไม่คิดจะสนใจเช่นกัน นางยืนอยู่ที่โต๊ะแถวที่สองของห้อง มองโต๊ะที่มีชื่อของหลิวอวิ๋นชูสลักอยู่พลางประกายรอยยิ้มบางๆ ออกมา นางไม่รอช้า ยกชายกระโปรงขึ้น แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั้นอย่างผ่าเผย
เมื่อหลิวอวิ๋นชูเดินชักช้าลีลามาจนถึงวิทยาลัยหลวง ในห้องก็มีนักศึกษานั่งอยู่มากกว่าครึ่งแล้ว เขามีรอยฟกช้ำที่ใบหน้า เพื่อนร่วมห้องเห็นดังนั้นก็อดขำไม่ได้ ทว่าหากใครขำเขาก็จะมองเขม็งไปที่คนคนนั้นทันที ยิ่งเขาทำเช่นนี้ก็ยิ่งตลกมากขึ้น เขาเดินไปเห็นเฟิ่งสือจิ่นนั่งอยู่ที่แถวแรก จึงชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยืนอยู่ข้างโต๊ะของนางเพื่อดูชื่อที่สลักอยู่บนนั้น เมื่อมั่นใจว่าบนนั้นสลักชื่อ ‘หลิวอวิ๋นชู’ ไม่ผิด เขาก็โกรธจนลุกเป็ไฟ “มานั่งในที่ของข้าทำไม ข้าอนุญาตให้เ้านั่งแล้วหรือ? ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก!”
นอกจากจะไม่ลุกแล้ว เฟิ่งสือจิ่นยังฟุบนอนบนโต๊ะเสียเลย นางส่งยิ้มสดใสไปให้ “ท่านโหวอันกั๋วลำเอียงเสียจริง ในบรรดาโต๊ะเก้าอี้ทั้งหมดที่ส่งมา โต๊ะของท่านชายหลิวเรียบสวย และถูกขัดจนเงาที่สุดแล้ว ดูแล้วน่าอิจฉาเสียจริง” นางพูดพลางยื่นมือไปที่ใบหน้าของหลิวอวิ๋นชู “เงาสวยเหมือนใบหน้าของเ้าไม่มีผิด”