ณ ดินแดนอันไกลโพ้น ภายใต้ผืนฟ้ายามรัตติกาล ดาวนับล้านเปล่งแสงระยิบระยับดั่งอัญมณีต้องแสงจันทร์ ประหนึ่ง้าประชันแสงกับความอยุติธรรมที่กำลังปกคลุมไปทั่วหล้า สายลมหนาวเหน็บพัดโบกเอื่อยเฉื่อย นำพากลิ่นอายแห่งความมืดมนและคาวโลหิตเจือปนไปในบรรยากาศ
ที่กลางเวหานั้น เงาร่างหนึ่งกำลังโซซัดโซเซทะยานไปด้วยความยากลำบาก โลหิตสีชาดไหลซึมจากาแเป็สาย ชโลมอาภรณ์จนเปียกชุ่ม ความเ็ปกัดกินร่างกายทุกอณู แต่เ้าของร่างนั้นยังคงกัดฟันฝืนตนให้ก้าวต่อไป มิอาจยอมแพ้ได้
เื้ั ห่างออกไปประมาณสิบลี้ เงาทมิฬของเหล่าผู้ไล่ล่ากำลังพุ่งทะยานมาอย่างรวดเร็ว นำทัพโดยชายลึกลับสามคน ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยอำนาจและเจตนาสังหารอันเกรี้ยวกราด
"เร่งมือ! อย่าให้มันหลุดรอดไปได้!" เสียงทรงพลังของชายหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งดังขึ้น มือขวาของเขากุมขวานั์แน่น ประหนึ่งพร้อมจะสับเป้าหมายให้ขาดสะบั้นทุกเมื่อ ดวงตาทอประกายกร้าว แน่วแน่ในภารกิจสังหาร
"นายน้อยเจิน อย่าได้เร่งร้อนนัก" ชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งเอื้อนเอ่ย น้ำเสียงราบเรียบแฝงความมั่นใจ เขาสวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ รูปโฉมสง่างามประหนึ่งคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ "ในเมื่อมันาเ็หนักเพียงนี้ สุดท้ายก็มิอาจหนีเงื้อมมือของพวกเราไปได้หรอก"
เขาเหยียดยิ้มบางเบา ก่อนหันไปสบตาชายหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งยืนอยู่เคียงข้าง "หากมิได้น้องซ่งคอยชี้เบาะแสให้ เราคงมิอาจลงมือได้สะดวกเช่นนี้"
ชายหนุ่มแซ่ซ่งยกมือขึ้นประสานเป็เชิงถ่อมตน "พี่เหลียนกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเพียงบังเอิญล่วงรู้ว่า ซ่งเหยียนเฟยได้เข้าไปยังถ้ำโบราณของยอดฝีมือเผ่าทมิฬที่เพิ่งถูกค้นพบเพียงลำพัง เพื่อเสาะหาสมบัติเท่านั้น หาได้มีความดีความชอบอันใดไม่"
ทว่าั์ตาของเขากลับฉายแววเย็นเยียบ มิอาจปิดบังความลำพองในใจได้ ‘ซ่งเหยียนเฟย คืนนี้เป็คืนสุดท้ายของเ้า! ผู้ใดใช้ให้เ้ามาขวางทางข้าทุกเื่เล่า?’ เขานึกในใจ พลางแสยะยิ้มเย้ยหยัน
ชายแซ่เหลียนพยักหน้าเล็กน้อย "น้องซ่งวางใจเถิด สัญญาที่ข้าให้ไว้ ข้าย่อมมิผิดคำพูด"
ซ่งหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พลางกล่าวอย่างอ่อนน้อม "ขอบคุณพี่เหลียนที่เมตตา ข้ารบกวนท่านแล้ว"
นายน้อยเจินที่เงียบฟังอยู่นาน พลันขมวดคิ้วถาม "แล้วสมบัติที่มันได้มาเล่า? หากมันเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น คงมิใช่ได้มาเพียงเล็กน้อยเป็แน่ พวกเราจะจัดสรรกันอย่างไร?"
ชายหนุ่มแซ่เหลียนปรายตามองไปยังเงาดำที่กำลังพยายามดิ้นรนหนีอยู่ไกลลิบ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ "ค่อยหารือกันภายหลังเถิด ประการแรก...เราต้องสังหารมันให้ได้เสียก่อน"
เขากระตุกยิ้มเย็น แล้วสะบัดชายแขนเสื้อส่งสัญญาณ "ออกล่า!"
ในบัดดล เงาร่างของเหล่านักฆ่าทั้งกลุ่มก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าดุจเหยี่ยวปีกกล้า มุ่งตรงไปยังเหยื่อผู้าเ็ที่กำลังรอรับชะตากรรมเบื้องหน้า...
เสียงไอแหบพร่า ดังขึ้นท่ามกลางสายลมอันเย็นเยียบ
“แค่ก... แค่ก...”
ซ่งเหยียนเฟยกระอักโลหิตออกมาเป็หยดเล็ก ๆ ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความอิดโรยและเ็ป เขาทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น ร่างสั่นสะท้านด้วยความอ่อนล้า มือที่เปรอะเปื้อนโลหิตสั่นระริกขณะหยิบเม็ดยาสีขาวขึ้นมาถือไว้ก่อนจะกลืนลงคอไปในทันที
เมื่อโอสถศักดิ์สิทธิ์แผ่พลังเข้าสู่ร่างกาย เขารีบเดินลมปราณเพื่อฟื้นฟูาแ พลังอันบรรเจิดไหลเวียนไปตามชีพจรฝึกยุทธ์ของเขา ไม่นานใบหน้าที่เคยซีดขาวเริ่มกลับมามีสีเื ลมหายใจที่ขาดห้วงก็เริ่มมั่นคงขึ้น ทว่าความเสียหายที่ได้รับรุนแรงเกินไป แม้โอสถล้ำค่าจะช่วยบรรเทา แต่ก็มิอาจเยียวยาได้ในพริบตา อาการาเ็ยังคงหนักหนาอยู่
'พวกมันรู้ที่ซ่อนของข้าได้อย่างไร? การเดินทางมายังที่แห่งนี้ มีเพียงท่านพ่อและคนสนิทของข้าเท่านั้นที่ล่วงรู้...'
แววตาของเขาทอประกายเย็นเยียบขณะครุ่นคิด หัวใจพลันเต้นแรงขึ้น เมื่อสำนึกได้ถึงความเป็ไปได้หนึ่ง
'หรือว่า... จะมีไส้ศึกแฝงตัวอยู่ใกล้ข้า?'
ริมฝีปากของซ่งเหยียนเฟยเม้มแน่น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน
'ไม่ผิดแน่! คนผู้นั้นต้องเป็สมุนของซ่งเหว่ยนาน! แต่เป็ผู้ใดกันเล่า?'
เขากำหมัดแน่นด้วยแรงข่มกลั้น หัวใจเต็มไปด้วยความคับแค้น แต่ยามนี้ยังมิใช่เวลามาคิดถึงเื่นั้น สิ่งสำคัญคือการเอาตัวรอด
'เฮ้อ... ไว้ข้าสืบเื่นี้ทีหลังเถอะ ตอนนี้ข้าถูกลอบโจมตีจนาเ็สาหัส หากมิใช่เพราะสมบัติวิเศษที่ท่านพ่อมอบให้ ข้าคงสิ้นชีพไปแล้ว'
แววตาของเขาแน่วแน่ ขณะตัดสินใจได้แล้วว่าต้องทำสิ่งใด
'ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าต้องหนีไปตั้งหลักก่อน! พวกมันมากันเป็กลุ่ม อีกทั้งยังมีเหลียนตงเยว่และเจินเหยียน สองนายน้อยแห่งตระกูลเหลียนและตระกูลเจิน รวมถึงตัวต้นเหตุของเื่นี้... ซ่งเหว่ยนาน!'
เปลวเพลิงแห่งโทสะลุกโชนในแววตาของเขา แต่ในยามนี้ มิอาจทำสิ่งใดได้มากนัก นอกจากเอาชีวิตรอดไปก่อน
เพียงพริบตาที่เขากำลังจะเร่งความเร็วในการหลบหนี เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากเบื้องหน้า
“จะรีบร้อนไปที่ใดหรือ พี่ซ่ง?”
เสียงเรียบเนิบที่แฝงด้วยความเป็มิตรดังขึ้น ทว่ากลับทำให้หัวใจของซ่งเหยียนเฟยเย็นเยียบ
เหลียนตงเยว่เผยรอยยิ้มบางเบา ขณะที่เงาร่างจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นโดยรอบ ไม่ช้าเขาก็ถูกล้อมไว้ด้วยยอดฝีมือกว่าสิบคน
“ส่งสมบัติออกมาเสีย!” เจินเหยียนกล่าวพลางยกขวานขึ้นพาดบ่า แววตาเหยียดหยาม “บางทีพวกข้าอาจจะใจดี ปล่อยให้เ้าจากไปโดยไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน”
ซ่งเหยียนเฟยกวาดตามองเหล่าศัตรูโดยรอบ สายตาของเขาหยุดอยู่ที่บุรุษผู้หนึ่งซึ่งยืนเด่นเป็สง่า... ซ่งเหว่ยนาน
“เ้าไม่มีทางหนีรอดหรอก ซ่งเหยียนเฟย” ชายหนุ่มผู้มีสกุลเเซ่เดียวกันกล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ยอมแพ้เสียตอนนี้ บางทีข้าอาจจะเมตตาให้เ้าตายโดยไม่ทรมาน”
ซ่งเหยียนเฟยจ้องบุรุษตรงหน้าด้วยความเกรี้ยวกราด “ซ่งเหว่ยนาน! เ้ายังมีความละอายใจอยู่หรือไม่!? คิดจะแทงข้างหลังคนในตระกูลเดียวกัน คบค้าศัตรูเพื่อล้างบางเครือญาติตนเอง!”
ซ่งเหว่ยนานแค่นเสียงหัวเราะเ็า “หึ! ผู้ใดใช้ให้เ้ามาขวางทางข้า? สิ่งที่ควรเป็ของข้า เหตุใดเ้าถึงได้มันไป? เ้าทำลายอนาคตของข้า แย่งทุกสิ่งที่ควรเป็ของข้าไป!”
ซ่งเหยียนเฟยหัวเราะเยาะเย้ย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสมเพช “ซ่งเหว่ยนาน เ้าช่างโง่เขลานัก! เ้าถูกชักจูงราวกับวัวที่ถูกดึงจมูกให้เดินตามศัตรู! หากท่านพ่อรู้เื่นี้เข้า เ้าคิดหรือว่าจะยังมีชีวิตรอด!?”
ซ่งเหว่ยนานทำท่าจะกล่าววาจาบางอย่าง แต่กลับถูกขัดจังหวะโดยชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์แห่งตระกูลเหลียน
"ใจเย็นก่อนเถิดน้องซ่ง อย่าได้ปล่อยให้มันปั่นจิตใจเ้า ไม่ว่าอย่างไรเสีย วันนี้มันต้องตายเท่านั้น!" เหลียนตงเยว่เอ่ยขึ้น ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ ราวกับผู้ตัดสินชะตาชีวิต
"ซ่งเหยียนเฟย เ้าอย่าได้คิดถ่วงเวลาพวกเราอีกเลย เคราะห์กรรมของเ้ามาถึงแล้ว! ต่อให้เ้ามีปีกโบยบิน ก็มิอาจหลีกหนีชะตากรรม! พวกเรา จงจับกุมมันเสีย! ริบสมบัติมาให้หมด ก่อนจะปลิดชีพมัน!" คำสั่งของเหลียนตงเยว่ดังสะท้อนก้อง ราวเสียงฟ้าผ่าท่ามกลางพายุคลั่ง
"รับบัญชา นายน้อย!" เหล่าผู้ติดตามกว่า 10 ชีวิตขานรับพร้อมเพรียง ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าหาซ่งเหยียนเฟย ประหนึ่งฝูงอสรพิษที่หิวกระหายโลหิต
ซ่งเหยียนเฟยยืนนิ่งสง่าดั่งขุนเขา แม้ศัตรูนับสิบจะแผ่พลังคุกคาม แต่แววตาของเขากลับแน่วแน่ดุจหินผา "มาสู้กันอย่างยุติธรรมสิ หากพวกเ้าคิดว่าตนเก่งกาจจริง! เช่นนั้นก็เข้ามาเถิด! ข้าจะตัดสินพวกเ้าด้วยคมดาบนี้เอง!" น้ำเสียงดังก้องไปทั่ว พลังปราณอันลึกล้ำแผ่ซ่านออกมา ก่อให้เกิดสายลมหมุนวนรอบกายเขา
เหลียนตงเยว่หัวเราะเย้ยหยัน "เ้าคิดจะใช้วาจาหลอกล่อข้ากระนั้นหรือ? ฝันไปเถิด! ทุกคน ลงมือ!"
เสียงฝีเท้าดังกระหึ่ม ประหนึ่งเสียงอัสนี ซ่งเหยียนเฟยแค่นเสียงเย้ย ก่อนจะตวัดดาบในมือ "พวกมดปลวกเช่นพวกเ้า... ยังกล้ามาขวางทางข้าอีกหรือ?" ดวงตาเปล่งประกายเยียบเย็น คมดาบสะบัดออกเป็ประกาย
พริบตานั้นเอง เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วบริเวณ คมดาบของเขาสะบั้นศัตรูราวใบไม้ร่วง เืสีแดงฉานพวยพุ่งสู่ฟากฟ้า ร่างผู้โชคร้ายแหลกสลาย บ้างถูกตัดขาดเป็สองท่อน บ้างสิ้นชีพในเสี้ยวพริบตา จากผู้ล้อมกรอบที่เคยอวดโอ่ บัดนี้เหลือเพียงไม่กี่ชีวิต ดวงตาทุกคู่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
"ไร้ค่า! พวกขยะเช่นนี้ ยังคิดจะสังหารมันอีกหรือ!?" เหลียนตงเยว่แค่นเสียงอย่างเดือดดาล ดวงตาลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะ "เราสามคนร่วมมือกัน
สังหารมันเสีย!"
ทันใดนั้น ทั้งสามทะยานเข้าหาซ่งเหยียนเฟยพร้อมกัน! หนึ่งดาบ หนึ่งกระบี่ หนึ่งขวาน ซัดเข้าปะทะประหนึ่งพายุอสนีบาต!
เสียงอาวุธกระทบกันดังกัมปนาท แรงปะทะสะท้านะเืพื้นปฐี ผืนดินแตกเป็รอยร้าว ต้นไม้โค่นล้มเป็แนวยาว ูเาถูกพลังสะบั้นจนป่นปี้ เศษหินกระเด็นปลิวราวสายฝน ภาพของการต่อสู้ดุเดือดปานาเทพอุบัติขึ้นต่อหน้าทุกผู้คน
ซ่งเหยียนเฟยสบโอกาส กระโจนขึ้นสู่เวหา พลังอำนาจแห่งอสนีสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา "ดาบฟ้าผ่าทลายโลกา!"
พลันนั้น พลังสายฟ้าสีแดงฉานพวยพุ่งจากฟากฟ้า หลอมรวมเข้ากับดาบของเขา แปรเปลี่ยนเป็คมอัสนีมหึมา เปล่งประกายดุจเทพแห่งอสนี ดาบั์นั้นฟาดลงมาจาก์ ประหนึ่งเทพพิโรธลงมาพิพากษาโลกมนุษย์!
เสียงอสนีบาตดังกึกก้อง พสุธาสะท้านะเื ปานวาระวันสิ้นโลกกำลังมาเยือน ดาบอัสนีอันทรงพลังพุ่งลงมาหมายปลิดชีพทั้งสาม
ซ่งเหว่ยนานมองภาพนั้น ดวงตาสั่นไหวไปด้วยความริษยา "ดาบทลายฟ้า...!"
เหลียนตงเยว่กัดฟันแน่น ประจักษ์ถึงพลังทำลายล้างที่อาจบดขยี้ทุกสรรพสิ่งให้แหลกลาญ เขาะโก้อง "ทุกคน ป้องกันไว้! มิฉะนั้น พวกเราจะพินาศ!"
ทั้งสามต่างปลดปล่อยสมบัติป้องกันของตนออกมา แสงอาคมเรืองรองะเิประกายเจิดจ้า พลังปราณอันแข็งแกร่งถูกหลั่งไหลเข้าสู่สมบัติเ่าั้ บังเกิดเป็ม่านพลังมหาศาลที่ปกคลุมทั่วร่างของพวกเขา
ตูมมมมมม!!
เสียงปะทะสะท้านฟ้า ดาบของซ่งเหยียนเฟยฟาดลงมา ประกายดาบพุ่งทะลวงเข้าใส่เกราะพลังของทั้งสาม เสียงะเิดังสนั่นหวั่นไหว หากมีมนุษย์ธรรมดาผู้ใดตกอยู่ในรัศมีห้าพันลี้ คงไร้หนทางเอาชีวิตรอดเเน่นอน พลังทำลายมหาศาลกวาดล้างทุกสรรพสิ่งโดยรอบ ูเาสูงถูกฟันขาดเป็สองท่อน ต้นไม้ใหญ่นับพันปลิวว่อนดั่งใบไม้ต้องพายุ ราวกับสรรพสิ่งถูกฉีกขาดออกจากกัน
แม้ทั้งสามจะสามารถสกัดพลังดาบไว้ได้ส่วนใหญ่ แต่แรงกระแทกที่เล็ดลอดผ่านม่านพลังยังคงส่งผลให้พวกเขากระอักโลหิตและได้รับาเ็หนัก
“แฮ่ก...แฮ่ก... คาดไม่ถึง... พวกเ้าสามคนจะสามารถต้านรับดาบของข้าได้” ซ่งเหยียนเฟยกล่าวเสียงเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความกดดันราวกับยอดเขาที่ตั้งตระหง่าน
เหลียนตงเยว่เช็ดโลหิตที่มุมปาก ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยแววตาคมกริบ “พวกข้าก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ไม่คิดว่าข่าวลือจะเป็ความจริง... เ้าก้าวเข้าสู่ระดับนั้นแล้ว หากมิใช่เช่นนั้น เพียงแค่เ้าเพียงคนเดียว ย่อมไม่มีทางมีพลังกล้าแข็งถึงเพียงนี้ และคงมิอาจรับมือพวกเราสามคนได้อย่างแน่นอน”
ดวงตาของเขาจ้องลึกเข้าไปในแววตาของซ่งเหยียนเฟย ดั่งจะมองทะลุทุกสิ่งภายในจิตใจของอีกฝ่าย
ซ่งเหว่ยนานที่ยืนอยู่ด้านข้าง หรี่ตาลงพร้อมเอ่ยเสียงขุ่น “ซ่งเหยียนเฟย เ้านี่มันรอบคอบยิ่งนัก แม้แต่ข้าเองก็ยังมิอาจล่วงรู้” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความอิจฉาและโทสะอันยากจะปิดบัง
ซ่งเหยียนเฟยปรายตามองเขาเพียงชั่วครู่ก่อนกล่าว “หากเ้าซ่งเหว่ยนานสามารถรู้ทุกสิ่ง ข้าคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้”
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความจริงแท้ หากความลับนี้แพร่งพรายออกไป ย่อมมีผู้คนมากมายหมายเอาชีวิตเขา เนื่องจากเขาเป็อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในรอบหมื่นปีของตระกูลซ่ง เป็ผู้ที่ถูกวางความหวังว่าจะนำพาตระกูลสู่ความรุ่งเรือง หากเขาเติบโตขึ้นมา ผู้ที่หวาดกลัวอำนาจของเขาย่อมไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป
ซ่งเหยียนเฟยสูดลมหายใจลึก ก่อนจะกล่าวเสียงทรงอำนาจ “ซ่งเหว่ยนาน เ้าคิดให้รอบคอบ เ้ากำลังร่วมมือกับศัตรูเพื่อสังหารสายเืเดียวกัน ถึงแม้เราจะเกิดจากมารดาคนละคน แต่เราก็มีบิดาคนเดียวกัน เ้าควรเลือกข้างให้ถูกต้อง หากเ้าหันมาช่วยข้าป้องกันศัตรู ย่อมเป็ทางเลือกที่สมควรกว่า”
ซ่งเหว่ยนานชะงักไป ดวงตาของเขาฉายแววลังเล ริมฝีปากเม้มแน่น ความคิดปั่นป่วนประดังเข้ามาในจิตใจ
‘ชั่วดีอย่างไรเขาก็เป็พี่น้องร่วมสายเืเดียวกันกับข้า... เช่นนี้ถูกต้องแล้วหรือ? หรือว่าข้าได้ทำสิ่งที่ไม่อาจย้อนคืน?’
หัวใจของเขากระวนกระวาย ด้านหนึ่งคือความแค้นที่สุมอก อีกด้านคือสายสัมพันธ์แห่งโลหิตที่มิอาจตัดขาด
เขาจะเลือกทางใด? หนทางแห่งโทสะ หรือเส้นทางแห่งสายสัมพันธ์?
เหลียนตงเยว่จ้องมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยดวงตาล้ำลึก ในใจคุกรุ่นไปด้วยความคิดอันแน่วแน่
'มิได้! ข้าไม่อาจปล่อยให้เื่นี้ดำเนินไปตามอำเภอใจได้ มิเช่นนั้นภายภาคหน้าคงเกิดเื่ใหญ่แน่ ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ซ่งเฟยเหยียนต้องจบชีวิตลงที่นี่!'
เมื่อคิดเช่นนั้น เขาจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงเร้นด้วยเล่ห์เหลี่ยม ปลุกซ่งเหว่ยนานให้ตื่นจากภวังค์
"น้องซ่ง เ้าอย่าได้หลงกลวาจาของมัน! สิ่งที่มันกล่าวก็เพื่อถ่วงเวลาให้เราลังเลเท่านั้น เ้าลืมไปแล้วหรือ ว่ามัน่ชิงสิ่งใดไปจากเ้าบ้าง? ทั้งชื่อเสียง ศักดิ์ศรี ตำแหน่ง เกียรติยศ ล้วนถูกมันพรากไปจนสิ้น! ข้ารู้ว่าเ้ามีน้ำใจ คิดกับมันเป็พี่น้อง แต่เ้าลองตรึกตรองดูเถิด! มันเคยคิดกับเ้าเช่นนั้นหรือไม่? หากมันมีใจจริง เหตุใดจึงปล่อยให้เ้าตกต่ำอับจนเป็หมาหัวเน่าเช่นนี้!"
ซ่งเหว่ยนานเมื่อได้ฟัง ดวงตาก็ลุกวาวด้วยเพลิงแห่งโทสะ เืลมเดือดพล่าน จิตใจพลันมืดบอด ลืมเลือนสติที่เคยมีสิ้น! เขากำหมัดแน่น ประกายเย็นเยียบวาบขึ้นในดวงตา เอ่ยวาจาออกมาด้วยเสียงเ็า
"ซ่งเฟยเหยียน! เ้ากับข้ามิเคยเป็พี่น้องกัน! ทุกสิ่งที่ข้าสู้อุตส่าห์สร้างมาต้องพังทลายเพราะเ้า! วันนี้... ข้าจะเป็ผู้ชำระแค้นด้วยมือของข้าเอง!"
ชายหนุ่มแซ่เจินที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ เห็นฉากนี้แล้ว พลันเกิดความคิดในใจ
'เหลียนตงเยว่... บุรุษผู้นี้ ภายนอกดูสำรวมสงบเสงี่ยม ราวคุณชายผู้สูงศักดิ์ ทว่าภายในกลับล้ำลึกราวเหวสมุทร อำมหิตเยี่ยงอสูร ร้อยเล่ห์เพทุบายสามารถชักนำผู้คนให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งวาจาได้โดยง่าย นับเป็บุคคลอันตรายอย่างแท้จริง! ในภายภาคหน้า หากไม่มีความจำเป็ ข้าคงต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขาแล้ว'
ซ่งเฟยเหยียนที่เผชิญหน้ากับคำกล่าวหา ถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยออกมาด้วยแววตาเย็นเยียบ เสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง
"เ้า... ไยจึงโง่เขลาเช่นนี้! ถูกสั่นคลอนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็มิอาจแยกแยะถูกผิดได้แล้วหรือ?!"
เหลียนตงเยว่เห็นว่าสถานการณ์กำลังเป็ไปตามที่ตน้า จึงก้าวขึ้นมาข้างหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"พวกเราในสภาพเช่นนี้ ไม่อาจรับมือซ่งเฟยเหยียนได้โดยตรง ทว่า... ข้ามีสิ่งหนึ่งที่จะสามารถควบคุมเขาได้! ค่ายกลพฤกษาวารี ท่านพ่อของข้าได้มันมาจากแดนไกล"
นายน้อยเจินเมื่อได้ยินถึงกับเบิกตากว้าง เอ่ยออกมาด้วยความตกตะลึง
"ค่ายกลพฤกษาวารีแห่งเผ่าพฤกษาในตำนานหรือ?! ข้าเคยได้ยินมาว่า ค่ายกลนี้สามารถกักขังยอดฝีมือระดับหัวหน้าตระกูลหรือเ้าสำนักได้โดยง่าย เ้ามีมันจริงๆ หรือ?!"
เหลียนตงเยว่หัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าว
"หามิได้ นี่เป็เพียงของลอกเลียนแบบเท่านั้น อีกทั้งยังเสียหายไปมากแล้ว ทว่าก็เพียงพอจะใช้สยบซ่งเหยียนเฟย!"
เขาส่งสายตาคมกริบมองไปยังสองสหาย กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ค่ายกลนี้ต้องใช้พลังจากผู้บรรลุระดับเขตแดน์ถึงสามคนในการเปิดใช้งาน พวกเราต้องร่วมกันถ่ายพลังปราณเข้าไปเพื่อควบคุมมัน!"
กล่าวจบ เขาก็หยิบเอาค่ายกลเก่าแก่ที่ดูคล้ายใบไม้ออกจากกระเป๋ามิติ จากนั้นประสานมือ บรรจงวาดอักขระลึกลับกลางอากาศ คลื่นพลังโบราณแผ่กระจายออกมาเบาบาง
"น้องซ่ง นายน้อยเจิน! ถึงเวลาแล้ว!" เหลียนตงเยว่หันไปพยักหน้าให้ทั้งสองคน
ทั้งสามและเหล่าผู้รอดชีวิตต่างเร่งเร้าพลังปราณส่งเข้าสู่ค่ายกลป้องกันอันวิจิตร ทันใดนั้น เสียงสั่นะเืดังขึ้น "เอี๊ยด" ราวกับประตูโบราณกำลังถูกผลักออก แสงสีเขียวอมฟ้าพวยพุ่งออกมาราวกับสายธารแห่งพลัง เส้นสายของอักขระค่ายกลเริ่มปรากฏเป็รัศมี ก่อนจะกลายเป็เถาวัลย์มหึมานับพัน พวกมันแผ่ขยายออกไปดุจงูใหญ่ แผ่ไอพลังที่เย็นะเืและแฝงไปด้วยกลิ่นอายพิษร้ายกาจ หนามสีฟ้าหม่นดั่งน้ำแข็งแหลมคมปกคลุมทั่วลำต้น พร้อมจะปลิดชีพผู้กล้าทั้งหลายที่ขวางทาง
เถาวัลย์อสรพิษนับพันพุ่งทะยานหมายสังหารซ่งเหยียนเฟย ประหนึ่งคลื่นพายุที่ไร้ซึ่งปรานี ทว่าชายหนุ่มหาได้ครั่นคร้ามไม่ เขากระชับกระบี่ในมือ ก่อนจะสะบั้นลงอย่างเฉียบขาด เถาวัลย์ที่พุ่งเข้าหาถูกฟาดฟันจนขาดสะบั้นเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทว่าความพิศวงของมันคือ ยิ่งถูกทำลาย พวกมันกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้น ราวกับมีชีวิตที่ไม่มีวันสิ้นสุด ขนาดของมันขยายใหญ่ขึ้น ความเร็วเพิ่มขึ้นราวกับพายุที่บ้าคลั่ง
ซ่งเหยียนเฟยแม้เป็อัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์ ทว่าาแจากศึกก่อนหน้ายังคงกัดกร่อนเรี่ยวแรงของเขา ยิ่งใช้พลังต่อกรกับเถาวัลย์ปีศาจ ยิ่งทำให้พลังชีวิตของเขาร่อยหรอลงทุกขณะ ลมหายใจหนักหน่วง แรงกำลังถดถอย แต่จิติญญาแห่งนักสู้ยังคงลุกโชนไม่ยอมพ่ายแพ้
‘หากปล่อยให้เป็เช่นนี้ ข้าคงต้องดับสิ้นเป็แน่ เถาวัลย์เหล่านี้ราวกับปีศาจ ยิ่งตัดมันก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเท่าตัว! มีวิธีใดเล่าที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้?’
ั์ตาคมกริบของเขาฉายแววไม่ยินยอม ดวงจิตแห่งอัจฉริยะไม่อาจยอมรับความตายที่ไร้ความหมายได้ ‘ซ่งเหยียนเฟย ข้าครองชื่อเสียงเลื่องลือมานับยี่สิบปี ต้องมาจบชีวิตเพียงเท่านี้อย่างนั้นหรือ?’
ขณะที่สิ้นหวัง เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำพลันแวบผ่านเข้ามาในห้วงคิดของเขา ดวงตาเปล่งประกาย ก่อนจะจ้องไปยังบางสิ่งในอกเสื้อ
‘จริงสิ! สมบัติที่ข้าได้จากสถานที่นั้น! มันมีลักษณะคล้ายค่ายกลมิติเคลื่อนย้าย…’
ซ่งเหยียนเฟยเคยอ่านจากตำราพิสดาร แม้ไม่รู้ว่าค่ายกลนี้จะส่งตนไปยังแห่งหนใด แต่หากยังคงรั้งอยู่ที่นี่ ความตายย่อมเป็สิ่งแน่นอน ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว
‘หากูเายังคงตั้งตระหง่าน ย่อมมีไม้ให้จุดไฟเสมอ’
เขาตัดสินใจในฉับพลัน ไม่มีสิ่งใดให้ต้องลังเลอีกต่อไป มือเรียวแกร่งควักสมบัติล้ำค่าออกมา ก่อนจะเร่งเร้าพลังปราณสู่มัน แสงเจิดจ้าเปล่งประกายราวอาทิตย์กลางเวหา เสียงของค่ายกลเคลื่อนย้ายเริ่มทำงาน ท่ามกลางวงล้อมของเถาวัลย์มฤตยู
ซ่งเหว่ยนานขมวดคิ้วแน่น ดวงตาฉายแววฉงน "เขานำสิ่งใดออกมา?"
นายน้อยเจินเพ่งมองสิ่งนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ของชิ้นนี้... ช่างละม้ายคล้ายกับค่ายกลมิติเคลื่อนย้ายโบราณ!"
เหลียนตงเยว่หน้าถอดสี ร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อยราวกับตระหนักถึงภัยอันใหญ่หลวง "ใช่แน่นอน! แย่แล้ว! เขาคิดจะใช้มันเพื่อหลบหนี! ทุกคน เร่งมือให้ไว! เติมพลังปราณให้ถึงขีดสุด!"
ทันใดนั้น คลื่นพลังปราณจากยอดฝีมือทั้งหลายก็ะเิออกมาราวกับสึนามิที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง พลังเ่าั้หลั่งไหลเข้าสู่ค่ายกลเบื้องหน้าโดยไม่อาจห้ามได้ ค่ายกลเริ่มส่องประกายเจิดจ้า ประกายอักขระเรืองรองยิ่งทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เถาวัลย์จำนวนมหาศาลงอกเงยขึ้นจากพื้น เพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าจากเดิม! พวกมันหนาขึ้น ยาวขึ้น ราวกับัพันปีที่มีชีวิต หลากหลายเส้นแผ่ขยายพุ่งเข้าโจมตีซ่งเหยียนเฟยราวกับอสรพิษที่หิวกระหาย
ซ่งเหยียนเฟยจ้องมองทุกสิ่งเบื้องหน้าด้วยแววตาเย็นเยียบ ก่อนที่เสียงคำรามต่ำจะลอดออกมาจากลำคอ "สารเลว! ในเมื่อพวกเ้าบีบให้ข้าจนตรอกนัก!"
สิ้นคำ ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็สีดำสนิทดุจเหวลึกแห่งความมืดมิด พลังอันน่าสะพรึงเริ่มพลุ่งพล่านออกจากร่างของเขา มวลพลังอันลึกลับปะทุออกมาเป็ระลอกคลื่น สั่นะเืไปทั่วบริเวณ อัสนีสีแดงโลหิตแล่นพล่านทั่วร่างของเขา ก่อเกิดเป็อสนีบาตอันเกรี้ยวกราดรอบตัว
ร่างของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง ค่อยๆ บีบอัดแน่นจนกลายเป็สีดำสนิทราวกับเงามัจจุราช พลังมหาศาลปะทุออกมาจากร่างของเขา บิดเบี้ยวอากาศโดยรอบ เถาวัลย์อันแข็งแกร่งที่เคยเป็ดั่งกำแพงเหล็กถูกแรงกดดันของเขาทำลายเป็เสี่ยงๆ พวกมันแตกออก ราวกับเต้าหู้ที่ถูกสับด้วยกระบี่อันแหลมคมที่สุดในใต้หล้า
เหลียนตงเยว่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ก่อนจะะโขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ "บัดซบ! เขากำลังจะะเิตัวเอง!"
“ทุกคน ป้องกันตัวเองให้ดี! หนีออกไปให้ไกลที่สุด!”
เสียงะโของเขาทำให้เหล่ายอดฝีมือรีบลงมือ พวกเขาต่างชักนำอาวุธวิเศษและยันต์ป้องกันออกมา เร่งเร้าพลังปราณของตนเพื่อเสริมเกราะป้องกัน พร้อมกันนั้นก็เร่งรุดหลบหนีด้วยความเร็วสูงสุด ทุกคนต่างตระหนักได้ว่า หากถูกพลังะเิของซ่งเหยียนเฟยซัดกระแทกเข้าไปโดยตรง มีแต่ต้องสิ้นชีพเท่านั้น!
บรรยากาศรอบข้างพลันเงียบงัน อากาศเย็นเฉียบราวกับถูกแช่แข็ง กาลเวลาเหมือนหยุดชะงัก ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับกลายเป็ความว่างเปล่าในห้วงมิติแห่งความตาย...
ณ วินาทีนี้เอง พายุทำลายล้างกำลังจะถือกำเนิดขึ้น!
ตู้มมมมม!!
เสียงกัมปนาทสะท้านฟ้าะเืดิน แรงะเิอันเกรี้ยวกราดทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าให้มลายสิ้น สายฟ้าสีชาดสาดประกายเจิดจ้า ผสานกับความมืดที่ก่อตัวขึ้นราวกับเป็เงามรณะ พลังทำลายของมันกวาดล้างทุกสรรพสิ่งในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้จนสิ้นซาก ูเาสูงตระหง่านแปรเป็ผุยผง ต้นไม้ใหญ่ลอยคว้างก่อนจะถูกแรงลมกรรโชกกระจายไปตามสายอัสนี แผ่นดินแตกร้าวเป็ปริฉาก แม่น้ำพลันเหือดแห้งประหนึ่งถูกฉีกขาดจากห้วงมิติ ความรุนแรงครั้งนี้มิใช่เพียงแค่แผ่นดินไหวะเื แต่ราวกับเป็จุดสิ้นสุดของโลกใบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกบดขยี้ให้กลับคืนสู่วัฏจักรดั่งเดิม แม้แต่ห้วงมิติเองยังมิอาจต้านทาน พลังอันมหาศาลนี้ได้ฉีกเปิดช่องว่างแห่งกาลเวลา เผยให้เห็นรอยร้าวแห่งจักรวาล
สำหรับผู้ที่มิอาจหลบหนีได้ทัน
ซ่า! ซ่า!
ละอองเืสาดกระเซ็นดุจสายฝน อณูชิ้นเนื้อกระจัดกระจายปลิวว่อนไปตามสายลม บ้างสูญสลายไปโดยสิ้นไร้ซาก ความคาวคลุ้งของโลหิตแผ่กำจายไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ เติมแต่งทัศนียภาพให้กลายเป็สีแดงฉาน ดินแดนที่เคยอุดมสมบูรณ์ บัดนี้กลับไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ทุกอย่างตกอยู่ในห้วงอ้างว้างเงียบงัน ไร้ซึ่งร่องรอยของผู้คน มิอาจล่วงรู้ได้เลยว่า ณ ที่แห่งนี้เคยมีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้น ทุกสรรพสิ่งอันตรธานหายไป เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าอันเป็นิรันดร์
ห่างออกไปจากจุดศูนย์กลางของแรงะเิ บุคคลสามคนกำลังเคลื่อนที่อย่างทุลักทุเล ร่างกายอาบโชกไปด้วยโลหิต สภาพของพวกเขาเสมือนิญญาที่เพิ่งหลบหนีจากเงื้อมมือมัจจุราชได้อย่างหวุดหวิด ผิวกายเต็มไปด้วยาแฉกรรจ์ เสื้อผ้าขาดวิ่น มองดูแล้วไม่น่าอภิรมย์เลยแม้แต่น้อย แม้ทั้งสามจะสามารถเอาชีวิตรอดจากมหันตภัยครั้งนี้ได้ ทว่าพลังทำลายล้างจากการะเิของซ่งเหยียนเฟยนั้นรุนแรงเกินกว่าที่จะต้านทาน รวดเร็วเกินกว่าที่จะหลบหลีก แม้ว่าพวกเขาจะใช้ค่ายกลพฤกษาวารีเป็เกราะกำบัง ทว่ามันก็เป็เพียงของลอกเลียนแบบที่บอบบาง อีกทั้งพลังปราณที่ใช้ควบคุมค่ายกลก็มีน้อยเกินไป ไม่อาจหยุดยั้งคลื่นทำลายล้างได้โดยสมบูรณ์
สุดท้าย แม้จะหลบพ้นจากเงื้อมมือแห่งความตายมาได้ ทว่าพวกเขากลับต้องแลกมาด้วยความสูญเสียมหาศาล ความมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้กลับกลายเป็เพียงภาพลวงตา ประหนึ่งคำกล่าวที่ว่า 'จับไก่ยังไม่ได้ ยังต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ'
ท่ามกลางสนามรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเืและซากศพ ฝุ่นควันจากการปะทะยังคงลอยอ้อยอิ่งไม่จางหาย เศษซากของพลังปราณและพลังทำลายล้างยังคงสั่นะเือยู่ในอากาศ หนุ่มแซ่เจิน แม้ร่างกายโชกเื แต่ยังคงยืนหยัดอย่างองอาจ ท่าทางของเขาแม้จะาเ็หนัก ทว่าสายตากลับแน่วแน่ไม่หวั่นไหว
เขาประสานมือคารวะอย่างอ่อนแรงก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น "ทุกท่าน ข้าขอตัวก่อน"
กล่าวจบ ร่างของเขาก็เคลื่อนจากไป แม้ฝีเท้าจะอ่อนแรง แต่ก็ยังทรงอำนาจ ยังคงสง่างามดุจราชสีห์ผู้ไม่ยอมล้มลงง่าย ๆ
เหลียนตงเยว่ทอดสายตามองตาม ก่อนจะหันไปกล่าวกับซ่งเหว่ยนาน "น้องซ่ง เจอกันใหม่ ลาก่อน"
ซ่งเหว่ยนานกำมือแน่น ดวงตาฉายแววครุ่นคิดก่อนกล่าวขึ้น "พี่เหลียน ข้าคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เขามีสายเืเผ่าทมิฬ..."
เหลียนตงเยว่พลันแค่นเสียงเบา ๆ คล้ายยิ้มเย้ยหยัน ทว่าแววตากลับฉายประกายลึกล้ำ เขาเงยหน้ามองไปยังจุดที่การะเิรุนแรงที่สุดก่อนกล่าวเสียงขรึม "แม้เขาจะมีสายเืเผ่าทมิฬไหลเวียนอยู่ในร่าง แต่มิอาจปฏิเสธได้ว่าการะเิครั้งนี้รุนแรงเกินไป อีกทั้งก่อนหน้านี้ เขาก็าเ็สาหัสอยู่แล้ว โอกาสรอดของเขาคงไม่เกินสามส่วน... ต่อให้รอดมาได้ ก็คงเป็ได้เพียงคนพิการเท่านั้น ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะโชคดีถึงเพียงนั้น"
สายตาของเขายังคงทอดมองไปยังเถ้าถ่านที่ฟุ้งกระจายในอากาศ คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยคล้าย้าย้ำเตือนตนเองให้เชื่อในคำพูดนั้น ทว่าในส่วนลึกของใจกลับรู้สึกแปลกประหลาด...
ซ่งเหว่ยนานพยักหน้าช้า ๆ "ได้ยินท่านพูดเช่นนี้ ข้าก็เบาใจลง หวังว่ามันจะเป็เช่นนั้น... เจอกันใหม่ พี่เหลียน"
"เจอกันใหม่ น้องซ่ง" เหลียนตงเยว่ประสานมืออย่างสง่างาม
ทั้งสองต่างพยุงร่างโชกเืของตนออกจากพื้นที่แห่งการสังหาร ซ่งเหว่ยนานที่มีพลังอ่อนแอที่สุดยิ่งเดินได้อย่างยากลำบาก ทุกย่างก้าวของเขาทิ้งรอยโลหิตไว้เื้ั ทว่าภายในแววตายังคงสะท้อนถึงจิติญญาที่ไม่ยอมแพ้
เมื่อร่างของทั้งสองลับสายตา ความเงียบสงัดก็ค่อย ๆ โรยตัวลงบนสนามรบอีกครั้ง สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน ปัดเป่าคราบเืและเศษซากของศึกครั้งใหญ่ ทว่ากลิ่นแห่งความเป็ตายยังคงค้างอยู่ในอากาศไม่จางหาย...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้