ฟ้าเริ่มสลัวราง ณ ลานจัตุรัสนอกตำหนักบรรทมราชินีมีกองเพลิงขนาดใหญ่ถูกจุดเอาไว้ มีเก้าอี้จัดเตรียมอยู่จำนวนหนึ่ง มารอสูรบ้างนั่งบ้างยืนอยู่รอบๆ ทอดตามองตำหนักบรรทมราชินีอย่างตั้งตาคอย เพราะลำดับถัดไปก็จะถึงงานแบ่งสรรปันส่วนทารกร่างมารแล้ว
ส่วนศิษย์พรรคอีกาทองคำที่ถูกมัดอยู่กลางลานก็มีแต่มารที่มีระดับพลังต่ำเท่านั้นที่สนใจ
“ศิษย์พี่ พวกเรา พวกเราใช่ถูกหวังเค่อหลอกอีกแล้วหรือไม่?” ศิษย์พรรคอีกาทองคำคนหนึ่งเอ่ยอย่างชอกช้ำอาดูร
หากรู้แต่แรกว่าจะเป็แบบนี้ ตอนนั้นมิสู้เสี่ยงชีวิตกันไปข้าง ไม่แน่ว่าอาจเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นก็ได้? ต่อให้ต้องตายในท้ายที่สุด แต่ก็ยังตายอย่างสมเกียรติ! แล้วตอนนี้ล่ะ? พวกเราเป็ฝ่ายยอมจำนน แต่ผลลัพธ์คือกำลังจะถูกมารรุมกิน? นี่ยังเรียกว่าตายอย่างสมเกียรติอีกหรือ? นี่ควรจะถูกใช้เป็แบบการสอนที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างสำหรับฝ่ายธรรมะมากกว่า! นี่คือความอัปยศอดสู!
จางเสินซวีเองก็เลิกหวังไปแล้ว มันแค่มองท้องฟ้าด้วยสายตาเลื่อนลอย นับแต่ที่มันเจอหวังเค่อผู้นี้ แม่งเอ๊ย ไม่เคยมีเื่ใดเป็ไปด้วยดีเลยสักครั้ง เพราะอะไร? ทักษะการวางแผนกลยุทธ์ในกระโจมค่ายของข้าไปไหนหมดแล้ว? เพราะอะไรกันแน่!?
ไม่เพียงแต่ถูกหวังเค่อเล่นงานจนหัวปั่นมาหลายต่อหลายครั้ง แต่วันนี้ั์ใหญ่ฝ่ายธรรมะอย่างเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยถึงกับเข้าร่วมฝ่ายอธรรมไปแล้ว? ใครจะคาดคิด? ใครจะคาดคิด!?
“นี่ไม่ใช่สิบหมื่นมหาบรรพตที่ข้าเคยรู้จักอีกต่อไป” จางเสินซวีเอ่ยอย่างเหม่อๆ
ศิษย์พรรคอีกาทองคำทุกคนเผยสีหน้าเื่น่าเศร้าที่สุดไม่มีสิ่งใดเกินจิตใจตาย[1] ออกมา!
ตอนนั้นก็มีเสียงะโดังมา “งานชุมนุมมารปรโลก เริ่มได้!”
“เฮ~~~~~~~~!” ฝูงมารที่อดรนทนรอไม่ไหวมานานแล้วส่งเสียงโห่ร้องทันที
มารทั้งหมดเห็นเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยและจูหงอีมาถึงกลางลานจัตุรัส จูหงอีมีกลิ่นสุราทั่วร่าง ทว่าสีหน้าของมันกลับค่อนข้างอิ่มหนำสำราญใจ
“เมื่อเช้ามีศิษย์มารบางคนที่ยังมาไม่ถึง แต่ตอนนี้คงจะมากันครบแล้วสินะ เอาละ ข้าจะขอแนะนำอีกครั้ง เนี่ยชิงชิงท่านนี้ก็คือเ้าตำหนักห้าของลัทธิมาร! วันนี้ขอให้เ้าตำหนักห้าเป็ผู้เปิดพิธีชุมนุมมารปรโลก นับแต่นี้ไปใครที่ยินดีรับการประทานพรจากเ้าตำหนักห้าจะต้องนับถือนางเหมือนที่นับถือข้า ถ้าเกิดว่าได้รับประโยชน์เข้าตัวไปแล้วพลิกหน้าทำเป็ไม่รู้จักขึ้นมา อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” จูหงอีะโทั้งที่ยังมีกลิ่นสุราลอยออกตลอดตัว
“เ้าตำหนักวางใจได้เลย พวกเราจะต้องทำตามคำสั่งแน่!” มารทั้งหลายเปิดปากรับคำ
เพื่อที่จะรับส่วนแบ่งรับประทานองค์หญิงโยวเยว่ ส่วนแบ่งจากเ้าตำหนักห้านับเป็กระไรได้? พวกเราส่วนใหญ่ก็เริ่มจากฝ่ายธรรมะเข้าสู่ฝ่ายอธรรมกันทั้งนั้น เพียงแต่เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเคยเข่นฆ่ามารอย่างโเี้ไร้ใจ พวกเราก็เลยรับกันไม่ได้อยู่่หนึ่ง แต่ตอนนี้ในเมื่อมารอริยะมอบคำสั่งลงมาแล้ว อย่างมากพวกเราก็ทำได้แค่แสดงความไม่พอใจออกมาพอหอมปากหอมคอ จะไปเปลี่ยนอะไรได้?
“เอาละ งั้นขอเชิญเ้าตำหนักห้ากล่าวอะไรสักสองสามประโยค” จูหงอีหันมาทางเนี่ยเมี่ยเจวี๋ย
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเคยเข่นฆ่าศิษย์มารมานับไม่ถ้วน เพื่อเป็การปูทางให้นาง จูหงอีเรียกได้ว่าต้องแบกรับภาระมากมายเอาไว้เอง
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเดินมาหยุดอยู่กลางลานจัตุรัสแล้วมองจูหงอี
“พี่หงอี!” จู่ๆ เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยก็แสดงแววตาอ่อนโยน
“ชิงเอ๋อร์?” จูหงอีพลันดีใจจนเนื้อเต้น
ชิงเอ๋อร์ทำท่าทีเช่นนี้ แปลว่านางให้อภัยข้าแล้ว?
“ท่านยังจำตอนที่พวกเรายังเป็ปุถุชนกันได้หรือไม่?” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยคล้ายกำลังรำลึกถึงความหลัง ประกายแววตาเปลี่ยนเป็นิ่มนวล
ที่นี่มีมารอสูรเฝ้าดูอยู่มากมาย แต่ทำไมพอให้เ้าพูด เ้าถึงได้รำลึกความหลังระหว่างเราขึ้นมาเสียได้?
แต่จูหงอีก็ไม่คิดเก็บเื่หยุมหยิมมาคิด มันย่อมปรารถนาให้ความร่วมมืออยู่แล้ว มีแต่ตัวชิงเอ๋อร์เองเท่านั้นที่จะเปลี่ยนใจได้ ภาพลักษณ์นับเป็อะไร?
“ข้าย่อมต้องจำได้อยู่แล้ว ตระกูลจูของข้าเป็ตระกูลแพทย์ ข้าจูหงอีประสบความสำเร็จในศาสตร์สาขานี้ ตอนที่ออกพเนจรไปตามโลกิยะก็ได้ช่วยชีวิตผู้คนไว้มากมาย เยียวยาโรคระบาดไปไม่รู้เท่าไหร่ ไม่ว่าไปที่ไหนใครก็เรียกข้าว่าแพทย์เทวะแซ่จู ส่วนเ้า...!” จูหงอีรำลึกความหลัง
“ข้าคือลูกสาวคนโตของจวนตระกูลเนี่ย บุพการีของข้าหมกมุ่นกับการแต่งงานของข้า ช่วยหาเหล่าคุณชายชาติกำเนิดสูงส่งมาให้ข้าทำความรู้จัก หากไม่มีใครชนะใจข้าได้เลยสักคน ครั้งหนึ่งข้าผ่านไปทางเขตที่มีโรคระบาด เห็นท่านที่เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดนอนอยู่บนพื้นก็เลยเอาน้ำให้ท่านดื่มชามหนึ่ง พอได้สติท่านไม่ได้ขอบคุณข้าเป็อย่างแรกแต่สิ่งที่ท่านทำคือการออกไปหาข้าวหาปลาให้ผู้ยากไร้ต่อ! ภาพนั้นสร้างความประทับใจต่อข้าอย่างลึกล้ำ ท่านมีหัวใจที่มุ่งจรรโลงเยียวยาผู้คน ในใจข้าท่านก็คือวีรบุรุษ ข้าไม่สนคำทัดทานจากตระกูล ยืนกรานว่าจะขอติดตามท่านไปช่วยผู้คนเพราะข้ามองเห็นความอุทิศตน ความรัก และสัจจะในตัวท่าน!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยพูดไปดวงตาก็เริ่มชื้น
“เื่ในหนหลังล้วนผ่านพ้นไปหมดแล้ว!” จูหงอีเอ่ยปลอบ
“ก็จริง ข้าไม่ควรหันกลับไปมองอีก!” ดวงตาของเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยกลายเป็เปียกชุ่ม
“ยังดีที่เราสองต่างก็อยู่ที่นี่ เ้ากับข้าสามารถร่วมเดินไปด้วยกันได้! ชิงเอ๋อร์ ปล่อยความเศร้าในอดีตไปเถอะ ตอนนี้เ้ามีข้าแล้ว!” จูหงอีก้าวเข้ามาปาดน้ำตาให้เนี่ยเมี่ยเจวี๋ย
มารรอบด้านแม้จะหมดความอดทนไปนานแล้วแต่ก็ไม่มีใครกล้าขัด
“หงอี ท่านกอดข้าหน่อยได้หรือไม่?” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเอ่ยด้วยเสียงเจือสะอื้น
“ได้อยู่แล้ว!” จูหงอีกางแขนออกทันทีด้วยความปีติ
“ไม่ใช่ ให้เหมือนตอนที่เราไปชมดอกโหยวไช่[2] ด้วยกันเมื่อครั้งกระโน้น ตอนที่ท่านกอดข้าจากด้านหลังน่ะ!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเอ่ยอย่างวาดหวัง ตาเริ่มแดงเรื่อ
“ได้ ได้แน่นอน!” จูหงอียิ้มไม่หุบ
ในที่สุดชิงเอ๋อร์ก็ยอมรับตนแล้ว วิเศษไปเลย วิเศษจริงๆ ต่อให้ที่นี่มีมารเฝ้ามองอยู่มากมายก็ช่างปะไร ชิงเอ๋อร์ของข้ากลับมาแล้ว
ว่าแล้วจูหงอีก็เข้ากอดเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยจากด้านหลังอย่างแแ่
“ตอนที่เราชมดอกโหยวไช่ด้วยกันเมื่อครั้งนั้น ท่านกอดข้าไปด้วย สอนข้าฝึกกระบี่ไปด้วย!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยนำกระบี่ยาวออกมาเล่ม
นี่ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้ย้อนกลับไปเป็เหมือน่เวลานั้น จูหงอีในตอนนี้ดีใจจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยเป็คำพูด ท้ายที่สุด ท้ายที่สุดชิงเอ๋อร์ก็กลับมาหาข้าแล้ว ความอบอุ่นอ่อนหวานนี้ไม่ต่างกับเมื่อตอนนั้นเลย ตอนนั้นเองก็เป็เช่นนี้
จูหงอีปิดตาลงช้าๆ รำลึกถึงความทรงจำหวานชื่นในวันวาน
“กอดข้าให้แน่นๆ!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเอ่ยด้วยเสียงปนสะอื้น
อ้อมกอดของจูหงอียิ่งมายิ่งแแ่ แต่ในตอนนั้นเองที่มารรอบด้านต้องพากันเปลี่ยนสีหน้าใหญ่หลวง
“เ้าตำหนัก ระวัง!” ฝูงมาระโเสียงหลง
ที่เห็นกลับเป็ภาพเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยพลิกกระบี่ยาวในมือสลับด้าน ปลายกระบี่ทิ่มใส่หน้าอกของตัวเองจนสุดแรง
“สวบ~~~~~~~~~~~~~!”
กระบี่นี้แทงทะลุทรวงอกของเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเลยออกแผ่นอกจูหงอีที่ตัวติดกันอีกฝั่งหนึ่ง
หนึ่งกระบี่แทงทะลุสองสังขาร?
ทุกคนตะลึงนิ่งอยู่อย่างนั้น นี่ นี่ เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยปลิดชีวิตตัวเอง? ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง นางสะบั้นชีพตัวเองไปพร้อมกับจูหงอี?
“ชิงเอ๋อร์?” จูหงอีตาเบิกโพลง เืสดๆ ทะลักออกจากปาก
จูหงอีคิดว่าชิงเอ๋อร์เปลี่ยนใจมาหาตนเอง แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าชิงเอ๋อร์อยากจะฆ่าตนขึ้นมา?
ศิษย์พรรคอีกาทองคำที่กำลังไว้อาลัยให้ตัวเองต่างสะท้านขึ้นมา นี่ นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน?
“เ้าตำหนัก!” ฝูงมารกระโจนเข้าหาคนทั้งสองทันที
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยมือหนึ่งกุมด้ามกระบี่ตรงทรวงอก อีกมือโบกไปบนฟ้า
“เริ่ม!”
“วู้ม~~~~~~~~~~~~~~~~!”
ทันใดนั้น แสงสีดำหลากหลายสายก็พุ่งตกลงมาจากบนฟ้า จากนั้นมารทั้งหมดที่กำลังกระโจนเข้าหาคนทั้งสองก็ชะงักอยู่กับที่ แน่นิ่งไม่ไหวติง
“อะไรกัน? ทำไมข้าถึงขยับตัวไม่ได้?”
“แสงสีดำพวกนี้คืออะไรกันแน่?”
“กระจกสะกดแสง นี่คือกระจกสะกดแสงของพรรคเทพหมาป่า์?”
………
……
…
พลพรรมารแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้าอย่างตกตะลึง
จริงดังคาด บนฟ้ามีกระจกบานหนึ่งลอยอยู่ นั่นคือกระจกสะกดแสงจากพรรคเทพหมาป่า์ ขณะเดียวกัน ณ ใจกลางกระจกพลันปรากฏข่ายปราณขนาดใหญ่โตมโหฬารกางครอบตลอดแผ่นฟ้า คลุมวังหลวงไว้ตลอดสี่ทิศแปดทาง
“ตึง~~~~~~~~~~~!”
พร้อมเสียงดังสนั่น ข่ายปราณขนาดั์ก็สำเร็จเป็รูปเป็ร่าง
“นี่ นี่คือกลอสนี์ปะามาร? กระจกสะกดแสง? ั้แ่ตอนไหน ชิงเอ๋อร์ เ้าเตรียมของพวกนี้ไว้ั้แ่ตอนไหน? ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เ้า...!” จูหงอีอุทานอย่างตื่นตระหนก
จูหงอีรู้ว่าหลายวันนี้เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยจัดวางกลบางอย่างอยู่ที่วัง จูหงอีกระทั่งพินิจดูอย่างละเอียด แต่ค่ายกลนั้นไม่อาจนับเป็อย่างไรได้ ก็แค่มีไว้ป้องกันศัตรูจากภายนอก จูหงอีจึงไม่ได้ว่ากระไร แต่ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนไปเป็อีกอย่าง?
“กลที่จัดวางกันอยู่ในทุกวันนี้ ฐานกลที่ใช้ล้วนไม่ต่างอะไรกับกลอสนี์ปะามาร ส่วนกระจกสะกดแสงข้าขอยืมมาจากเฉินเทียนหยวน สำหรับเื่ที่ว่าข้าจัดวางเอาไว้ั้แ่ตอนไหน? ก็ตอนที่เ้าพาเหล่ามารไปรับตัวองค์หญิงโยวเยว่มาจากเมืองจูเซียนเมื่อวานนี้อย่างไรล่ะ ข้าฉวยโอกาสที่เมืองชิงจิงปลอดมารเร่งปรับเปลี่ยนแก้ไขกลจนเสร็จสิ้น!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยคลี่ยิ้มทั้งที่ยังมีเืไหลปรี่
เมื่อถูกกระจกสะกดแสงส่องต้อง ต่ำกว่าขอบเขตทารกแกนิญญาล้วนต้องถูกตรึงไว้ ส่วนยอดฝีมือชั้นทารกแกนิญญาสองคนในที่นี้ต่างก็อยู่ในสภาวะตายตกตามกันไป ผู้คนตลอดวังหลวงจึงไม่มีใครกระดิกตัวได้
“เ้าจงใจให้ข้าพาศิษย์มารไปรับตัวองค์หญิงโยวเยว่ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากความรักที่ข้ามีต่อเ้ามาตายตามกันไป? เพราะอะไร? แค่กๆ เพราะอะไรกัน? ชิงเอ๋อร์! เ้าไม่รักข้าแล้วหรือ? ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ในความฝันเ้ายอมที่จะเข้าสู่วิถีมารเพื่อช่วยข้าหรอกหรือ? เพราะอะไร? เพราะอะไร?” จูหงอีกระอักเื สีหน้าเ็ประทมใจ
“เ้าไม่ใช่เขา ไม่ใช่!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยตาแดง
“ข้ายังเป็ข้า ข้าคือจูหงอี ข้าเป็มาโดยตลอด! แค่กๆ!” จูหงอีพ่นเืออกมาอีก
“ไม่ พี่หงอีของข้าอุทิศตนเพื่อผู้คนมาตลอดชีวิต ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ยึดมั่นในคุณธรรมความถูกต้อง เป็ที่ชื่นชมในทุกแห่งหน มีแต่คนสรรเสริญยกย่อง! แต่เ้า ถือกำเนิดใหม่เป็มาร มือเปื้อนเืไม่เหลือความเป็มนุษย์ ล้างบางครอบครัวข้า เ้าไม่ใช่เขา เ้าไม่ใช่ ไม่ใช่~~~!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยกรีดร้องพลางออกแรงไปที่มือ
“ตูม!”
กระบี่พลันกระจายออกเป็น้ำแข็งพุ่งไปทั้งสี่ทิศ พลังทลายล้างเยียบเย็นชำแรกเข้าสู่ผิวกายตามกระบี่ ทะลุทะลวงเข้าสู่ร่างของจูหงอี
“อ้าก พรวด! ชิงเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์~~~~~~~~!” จูหงอีกรีดร้องอย่างโศกเศร้า
“พี่หงอี ชาติหน้าเราค่อยพบกันใหม่!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเองก็ร่ำไห้น้ำตานอง
“ตูมมม!”
พลังน้ำแข็งทลายล้างพุ่งเข้าสู่ร่างของคนทั้งสองอย่างถาโถมรุนแรง เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเลือกที่จะตายไปพร้อมกับจูหงอีจริงๆ วินาทีที่กระบี่ยาวแทงทะลุร่างคนทั้งสอง ต่อให้จูหงอีเคยมีกำลังแก่กล้ามหาศาลแค่ไหนก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ หรือไม่มันก็ขอถูกเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยทำร้าย ดีกว่าต้องเป็ฝ่ายทำร้ายผู้เป็ที่รักเสียเอง
ไม่ไกลออกไป ศิษย์พรรคอีกาทองคำต่างรับชมภาพนี้ด้วยตาเบิกกว้าง
“เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยกล้าหาญถึงเพียงนี้? พวกเราเข้าใจนางผิดไปหรือนี่? นางเข้าสู่วิถีมารไปแล้วก็จริง แต่นั่นก็เพื่อลากมารพวกนี้ตายตามนางไป?” จางเสินซวีอุทาน
“เ้าตำหนัก~~~~~~~~~~!” มารรอบด้านกรีดร้อง
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยทางหนึ่งลากจูหงอีตายตามนางไป อีกทางหนึ่งจับจ้องพลพรรคมารรอบตัว
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยผุดรอยยิ้มเหี้ยมออกมา “พี่หงอี ชาตินี้ท่านก่อกรรมทำชั่วเอาไว้มาก หวังว่าใน่นาทีสุดท้ายนี้ข้าจะพอช่วยชดใช้ให้ท่านได้บ้าง ข้าขอยืมอำนาจของท่านลากมารฝูงนี้ตายตามพวกเราไปด้วย! กลอสนี์ปะามาร!”
“ตูม~~~~~~~~~~~~~~~!”
ทันใดนั้นห่าอสนีบาต์ก็พุ่งตกลงมาจากฟ้า เพียงพริบตาก็บรรลุถึงมารฝูงนั้น
“เปรี้ยงงงงง!”
“อ้าก~~~~~~~~!”
“อย่าฆ่าข้า ข้ายังไม่อยากตาย!”
“อ้าก~~~~!”
………
……
…
พลพรรคมารถูกกระจกสะกดแสงตรึงร่างไว้ จากนั้นก็ถูกกลอสนี์ปะามารผ่าใส่อย่างไม่เหนี่ยวรั้ง เสียงร้องโหยหวนนับไม่ถ้วนดังทับซ้อนกันไปมาอย่างเฉียบพลัน
ภาพนี้แทบไม่ต่างจากเหตุการณ์ตอนพรรคเทพหมาป่า์เมื่อครั้งนั้น เว้นแต่ว่าเมื่อมีเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเป็ผู้ลงมือ พลังของกลอสนี์ปะามารจึงยิ่งทวีคูณเป็เท่าตัว
“กลอสนี์ปะามารอาศัยแสงอสนีเป็สื่อนำไอมารจากรอบด้าน พวกที่มีไอมารล้วนต้องถูกพิฆาตดับสลาย ที่ตายมีแต่พลพรรคมาร! ปราบมาร ปราบมาร ปราบมาร!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยะโ
“วู้ม!”
มหากลที่เป็เหมือนข่ายปราณพลันเปล่งแสงนับพันหมื่นสาย วินาทีนั้นไม่จำเป็ต้องให้เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยคัดกรองไปทีละเป้าหมายอีกต่อไป ทันทีที่ััได้ว่าผู้ใดมีไอมาร มหากลก็จะส่งอสนี์เข้าใส่ทันที ปราบล้างมวลมารด้วยพลังทั้งหมด
ในวังหลวงบังเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนอยู่นาน พลพรรคมารรู้สึกหวาดหวั่นสุดแสน แต่ที่มากกว่าคือความสิ้นหวัง
มารร้ายที่ถูกปราบไปเป็ตัวแรก หลังจากที่ะเิตกตายก็กลายเป็แสงกุศลสีทองพุ่งหายไปในกระจกสะกดแสง
อสนีบาตแล่นวาบไปทั่วสารทิศ แต่พวกที่ไม่ใช่ฝ่ายอธรรมล้วนไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด
ศิษย์พรรคอีกาทองคำต่างเผยสีหน้ายินดีสุดประมาณ “รอดแล้ว ฮ่า ฮ่าฮ่า พวกเรารอดแล้ว! พวกเราไม่ตาย พวกเราไม่ตาย!”
ศิษย์พรรคอีกาทองคำแม้จะถูกตรึงอยู่กับที่ แต่อสนีบาตพวกนั้นก็หาได้แล่นเข้าหาพวกตนไม่ หากรอพลพรรคมารถูกฟ้าผ่าตายไปจนหมด ถึงตอนนั้นพวกตนก็รอดแล้วไม่ใช่รึไง? วิเศษไปเลย!
อสนี์พุ่งวาบไปทั่ววังหลวง บางส่วนแล่นไปทางห้องบรรทมราชินี
ภายในห้องบรรทมราชินี จูเยี่ยนที่เพิ่งจะถูกเนี่ยเทียนป้าซัดจนสลบเหมือดพลันถูกอสนี์ที่พุ่งลงมาจากฟ้าเรียกสติ กรีดร้องทุรนทุรายอย่างเ็ป แต่เสียงอสนีด้านนอกดังเกินไป จึงไม่มีใครพบว่ามีเสียงบุรุษดังมาจากห้องบรรทมของราชินี เพียงเห็นอสนีบาตสายแล้วสายเล่าพุ่งผ่านยอดหลังคาลงมาที่ห้องบรรทมของราชินี
ลึกเข้าไปในวังใต้ดิน เนี่ยเทียนป้ากำลังเตรียมหนี แต่แล้วก็ถูกกลอสนี์ปะามารจับตำแหน่งได้
“ตูม!”
อสนีบาตนั้นะเิลานหญ้าจนแตกกระจุยเกิดเป็รูโหว่ขนาดใหญ่ อสนีบาตพวกนั้นพุ่งเข้าใส่เนี่ยเทียนป้าอย่างน่าหวาดเสียว
เนี่ยเทียนป้าเงยหน้ามองรูโหว่ขนาดใหญ่เหนือวังใต้ดิน อสนีบาตนับไม่ถ้วนยังเล็งมาทางมัน ทันใดนั้นมันก็ต้องเผยสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด “ทำไม? ทำไม? ข้าไม่มีไอมารรั่วไหลเลยสักนิด แล้วทำไมมันถึงเล็งมาทางข้า?”
เนี่ยเทียนป้ากุมศีรษะหนีหัวซุกหัวซุน แต่สายฟ้าเ่าั้ก็ยังไล่ตามมันอย่างไม่ลดละ
ตลอดวังหลวงกลับกลายเป็นรกของหมู่มาร มารร้ายตนแล้วตนเล่าถูกอสนีผ่าใส่จนไม่เหลือชิ้นดี แสงกุศลสีทองสายแล้วสายเล่าพุ่งหายไปในกระจกสะกดแสง
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยหลังจากที่ใช้กระจกสะกดแสงและกลอสนี์ปะามารก็ก้มมองดูกระบี่ยาวในมือของตัวเอง
ด้านหลังจูหงอียังคงกระอักเื ตลอดทั้งตัวถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง ราวกับว่ามันกำลังจะตกตายจริงๆ
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยกุมด้ามกระบี่ไว้ นางเองก็ถูกแช่แข็งไม่ต่างกัน เปิดปากเอ่ยวาจาอย่างยากลำบาก “เ้าจะตอบโต้ก็ได้ ต่อให้ไม่ช่วยอะไรเท่าไรก็ตามที แต่ทำไมเ้าถึงไม่ตอบโต้บ้างเลย?”
“แค่กๆ ข้าทำใจไม่ได้!”
จูหงอีเผยรอยยิ้มระทมใจ จากนั้นมันก็ถูกแช่แข็งไปโดยสมบูรณ์
ข้าทำใจไม่ได้?
หลังจากได้ยินจูหงอีเอ่ยประโยคนี้เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยััได้ว่าอีกฝ่ายแน่นิ่งไปโดยสมบูรณ์ นางพลันต้องร่ำไห้ออกมาอย่างสุดจะห้าม
เข่นฆ่าศัตรูไปมากมาย ทำร้ายตัวเองอย่างฉกาจฉกรรจ์ เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเองก็เป็เหมือนตะเกียงที่จวนเจียนจะสิ้นน้ำมัน แต่น้ำตาที่หลั่งไหลกลับมากพอที่จะเปลี่ยนนางเป็มนุษย์น้ำตา
“พี่หงอี จากนี้พวกเราไม่ต้องพลัดพรากแยกจากกันอีก อึก ชาติหน้า ไม่ว่าจะเป็ฝ่ายธรรมะหรือว่าอธรรมอันใดก็ตาม ข้าไม่สนใจแสวงหามรรคเซียนอายุวัฒนะอีก ขอแค่มีท่านมีข้าก็เพียงพอแล้ว!”
มองดูฝูงมารรอบด้านที่ถูกฟ้าผ่า เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยล้มตัวลงในอ้อมอกของจูหงอี ราวกับว่ากำลังคอยความตาย นางไม่สนเสียงวิงวอนขอชีวิตของมารเ่าั้ ใบหน้าของนางยามนี้ไร้สีเื เสมือนว่านางกำลังจะจากไปพร้อมกับจูหงอีได้ทุกเมื่อ
ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเป็ไปตามที่ตนตระเตรียมไว้ทางฝั่งตำหนักบรรทมราชินีที่ถูกอสนีถล่มยอดตำหนักไปคลับคล้ายว่ามีเสียงของจูเยี่ยนแว่วมา
“ไฉนจูเยี่ยนถึงไปอยู่ตรงนั้นได้? ทารกร่างมาร? เพราะไม่ได้จำแลงมาร นางก็เลยหลบรอดพลังล้างสังหารของอสนี์ไปได้? ไม่ได้การ องค์หญิงโยวเยว่จำต้องตาย!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยกัดฟันยันตัวขึ้นมา
จากนั้นก็ดึงกระบี่ที่เสียบคาออกจากอก
เมื่อปราศจากเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยอยู่ข้างกาย ห่าอสนี์ก็ผ่าลงใส่ก้อนน้ำแข็งที่มีจูหงอีอยู่ภายในไม่ยั้ง
“พี่หงอี เดี๋ยวข้ามานะ!”
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเอ่ยขอขมากับจูหงอีประโยคหนึ่งก่อนเดินตรงไปทางตำหนักบรรทมราชินีทีละก้าวอย่างยากลำบาก
ท่ามกลางเสียงะโอย่างสิ้นหวังของหมู่มาร เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยผลักบานประตูใหญ่ของตำหนักบรรทมราชินีแล้วก้าวเข้าไป เป็เพราะอสนีทรงพลังอย่างเหลือร้าย รอบด้านจึงมีแต่ฝุ่นผงคละคลุ้งเศษดินเศษหินกองกระจัดกระจาย ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองเห็นด้านในของตำหนักบรรทมราชินี แต่พวกมันต่างรู้ดีว่าเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยตรงไปเอาชีวิตองค์หญิงโยวเยว่แล้ว
จบสิ้นกันแล้ว วันนี้พลพรรคมารต้องตกตายกันหมดแน่
หวังเค่อที่กำลังมุดอุโมงค์ก็รีบเร่งมายังตำหนักบรรทมราชินี เมื่อพื้นกระเบื้องถูกดันออกไป อสนีบาตหลากหลายสายก็ผ่าเปรี้ยงลงมาจนั์ตาของหวังเค่อแทบบอด
“นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน? คลังแสงะเิรึไง?” หวังเค่อขยี้ตาด้วยความพรั่นพรึง
รอจนสายตาปรับเข้าที่ดีแล้ว หวังเค่อพลันต้องสูดลมหายใจลึกกะทันหัน “เนี่ยเทียนป้าเสียสติไปแล้ว? มันฆ่าผู้อุปถัมภ์ของตัวเอง?”
เพราะภาพที่หวังเค่อเห็นก็คือภาพเนี่ยเทียนป้าใช้กระบี่ยาวเล่มหนึ่งแทงทะลุอกเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียมกลางตำหนัก
[1] หมายถึงเื่น่าเศร้าที่สุดคือมีความคิดโง่เขลา เ็าเห็นแก่ตัว ไร้คุณธรรมน้ำใจ
[2] ดอกผักน้ำมัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้