“ใช่ไหมล่ะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก
นางกลัวเหลือเกินว่าจางเจิ้นอันจะน้อยใจในปัญหาสายตาของตน จนเกิดความคับแค้นในโชคชะตา แล้วค่อยๆ กลายเป็คนอารมณ์ร้ายและแข็งกระด้างไปในที่สุด หากเป็เช่นนั้นจริง คนที่เคราะห์ร้ายที่สุดก็คงหนีไม่พ้นตัวนางเอง
ดังนั้น นางจึงต้องฉวยโอกาสตอนที่เขายังไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง ค่อยๆ โน้มน้าวชี้แนะ ใช้ความอ่อนโยนและความใส่ใจทำให้เขารับรู้ถึงด้านที่สวยงามของชีวิต เพื่อให้จิตใจของเขาค่อยๆ สงบและผ่อนคลายลง
อืม... การช่วยจางเจิ้นอันก็เท่ากับช่วยตัวเอง ่นี้นางต้องดูแลเขาให้ดี ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนทัศนคติของเขา เมื่อครู่เห็นเขายังแสดงความเป็ห่วงนางอยู่ แสดงว่าเขายังพอมีความหวัง นางจะต้องชักนำเขาไปในทางที่ดีให้จงได้
จางเจิ้นอันหารู้ไม่ว่าเพียงชั่วขณะนั้น อันซิ่วเอ๋อร์ได้คิดไปไกลถึงเพียงนี้ หากเขารู้เข้า คงต้องงุนงงเป็แน่
อันที่จริง สายตาของเขาดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้ว แม้จะถอดผ้าปิดตาออกก็แทบไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่เขาสวมจนคุ้นชินแล้วเท่านั้น จึงยังคงสวมมันอยู่ทุกวัน
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นสีหน้าเขาเรียบเฉย จึงก้มหน้าลงปักผ้าต่อไป แสงตะเกียงยามนี้สว่างกำลังดี นางปักเข็มสองสามครั้งสุดท้ายจนเสร็จ ก็บิดี้เีเล็กน้อย พับเก็บเสื้อผ้าที่ซ่อมเสร็จแล้วอย่างดี วางซ้อนกันไว้ข้างหนึ่ง เก็บเครื่องเข็มและเข็มให้เข้าที่ แล้วจึงลุกขึ้น นำเสื้อผ้าเ่าั้ไปเก็บไว้ในตู้
“เสื้อผ้าเหล่านี้ ข้าซ่อมให้ท่านเสร็จแล้วนะเ้าคะ ท่านจะได้นำกลับมาใส่ได้” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้มหวาน
“วันหน้าหากข้ามีเวลาว่าง จะลองปักลายดอกไม้เล็กๆ ปิดรอยปะบนเสื้อผ้าให้ท่านนะเ้าคะ แบบนั้นก็จะไม่มีใครดูออกว่าเสื้อพวกนี้เคยซ่อมมาก่อน”
“ไม่ต้องลำบากถึงขนาดนั้นหรอก” จางเจิ้นอันลุกขึ้นยืน เดินไปปูที่นอนพลางกล่าว “ข้าทำงานทุกวัน เสื้อผ้าใส่ไม่นานก็ขาด แค่ซ่อมพอให้ใส่ได้ก็พอแล้ว”
“ก็ตามใจท่านเถิดเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบอย่างขอไปที ที่จริงนางก็เพียงพูดเป็มารยาทเท่านั้น นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้น เวลาข้าว่างๆ ข้าจะปักผ้าเช็ดหน้าไปขายเพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัวอีกแรง ท่านวางใจเถิด ข้าจะไม่อยู่กินไปวันๆ โดยไม่ทำประโยชน์อันใดเลย”
จางเจิ้นอันได้ยินดังนั้น แววตาก็พลันหม่นแสงลง น้ำเสียงเ็าขึ้นทันควัน “เ้าหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าข้าไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเ้ารึ?”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นนะเ้าคะ ท่านอย่าเข้าใจผิดไป” อันซิ่วเอ๋อร์รีบชี้แจง เมื่อเห็นสีหน้าเขาคลายลงบ้าง นางจึงกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านดูสิเ้าคะ ต่อไปท่านก็ต้องลงแรงบุกเบิกที่ดินทำไร่ คงไม่มีเวลาออกไปจับปลามากนัก ดังนั้น ข้าก็เพียงไม่อยากให้ท่านเหนื่อยยากเกินไปเท่านั้นเอง”
พูดพลางน้ำเสียงนางก็แ่ลง ที่จริงแล้ว นางเพียงไม่อยากอยู่เฉยๆ รอให้เขาหาเลี้ยงแต่เพียงฝ่ายเดียว นางอยากหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงตนเอง เพื่อที่เวลาจะใช้จ่ายอะไร จะได้สบายใจ ไม่ต้องคอยระแวงว่าวันดีคืนดี หากเขาเกิดอารมณ์ร้ายขึ้นมา จะยกเื่ที่นางพึ่งพาอาศัยเขามาเป็ข้ออ้างทำร้ายทุบตี
เื่ราวในความฝันนั้นช่างสมจริงราวกับเกิดขึ้นจริง ทุกสิ่งที่ประสบพบเจอในฝันกลายเป็ความทรงจำฝังลึก ส่วนพ่อม่ายใจร้ายในฝันก็ได้ทิ้งาแลึกไว้ในใจนาง อีกทั้งยังสอนให้นางรู้ว่า อย่าได้หวังพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป
จางเจิ้นอันเห็นนางสีหน้าหมองลง รู้ว่าเมื่อครู่ตนคงพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างไป จึงยื่นมือออกไป เดิมทีตั้งใจจะแตะไหล่นางเบาๆ เพื่อปลอบโยน แต่ใครเลยจะรู้ว่านางกลับสะดุ้งถอยหนี ราวกับลูกกระต่ายตื่นตูม...
มือของเขาค้างอยู่กลางอากาศ
นางทำหน้าเจื่อนๆ กล่าวว่า “ข้านึกว่าท่านโกรธ... ข้านึกว่าท่านโกรธแล้วจะทำร้ายข้า ข้าก็เลยต้องหลบเป็ธรรมดา”
“เปล่า นอนเถิด” จางเจิ้นอันลดมือลง นั่งลงข้างเตียง รู้ดีว่าในความรู้สึกของนางยามนี้ เขาคงเป็เพียงชายร่างใหญ่เ้าอารมณ์ที่พร้อมจะลงไม้ลงมือได้ทุกเมื่อ
แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะอธิบายหรือแก้ไขความเข้าใจผิดนั้น รอให้อันซิ่วเอ๋อร์ปีนขึ้นไปนอนด้านในเรียบร้อย เขาจึงถอดเพียงเสื้อคลุมตัวนอกออก แล้วล้มตัวลงนอนด้านนอกตามเดิม
อันซิ่วเอ๋อร์คิดว่าตนเองคงข่มตาหลับได้ยาก ทว่าใครจะรู้ว่าพอล้มตัวลงนอนบนเตียงได้ไม่นานก็ผล็อยหลับไป อาจเป็เพราะวันนี้ทำงานเหนื่อยล้ามาทั้งวัน
ทว่าพอหลับไปได้เพียงครึ่งคืน นางกลับฝันร้ายอีกครั้ง ชายใจร้ายในฝันกำลังทั้งเตะทั้งถีบนางไม่ยั้ง ทั้งยังกระชากผมนางโขกกับกำแพงอย่างแรง สุดท้ายนางจึงทำได้เพียงขดตัวอยู่ที่มุมห้อง กอดตัวเองไว้แน่น ได้แต่ร่ำร้องขอความเมตตา “อย่าทำร้ายข้าเลย ท่านอย่าทำร้ายข้า”
“เ้าเป็อะไรไป?” จางเจิ้นอันได้ยินเสียงสะอื้นไห้จึงลืมตาขึ้น หันไปมองอันซิ่วเอ๋อร์ เห็นนางหลับตาแน่น หางตามีคราบน้ำตา หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากยังคงพึมพำ “อย่าทำร้ายข้า... อย่าทำร้ายข้า...”
“ไม่มีใครทำร้ายเ้า” เขากระซิบปลอบข้างหู แต่นางยังคงติดอยู่ในฝันร้าย
จางเจิ้นอันลองเขย่าตัวนางเบาๆ นางก็ยังไม่ตอบสนอง
“อันซิ่วเอ๋อร์?” เขาเขย่าแรงขึ้นเล็กน้อย คราวนี้นางเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองเล็กน้อย
จางเจิ้นอันไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ สุดท้ายจึงตัดสินใจรวบร่างบางนั้นเข้ามากอดไว้ กระซิบปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ “อย่ากลัวเลย ข้าจะไม่ทำร้ายเ้า”
เมื่อเห็นนางค่อยๆ สงบลงในอ้อมแขน เขาก็อดสงสัยไม่ได้ เพียงเพราะเขาเผลอดุไปเล็กน้อยเมื่อครู่ ถึงกับทำให้นางเก็บไปฝันร้ายเชียวหรือ? เขาลองลูบหน้าตัวเอง หน้าตาข้าดูน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? เขาถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ตัดสินใจปัดความคิดนี้ทิ้งไป
หญิงสาวในอ้อมแขนกลับมาหายใจสม่ำเสมอแล้ว ทว่าเขาที่ตื่นเต็มตา กลับข่มตาหลับต่อไม่ลง เอาเถอะ ถือว่าตนอายุมากกว่าต่อไปคงต้องพยายามทำตัวอ่อนโยนกับนางให้มากขึ้น
อันซิ่วเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า พบว่าตนนอนซุกอยู่ในอ้อมกอดของจางเจิ้นอันก็ใจนแทบสิ้นสติ นางนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ ทั้งยังนึกถึงสายตาดุร้ายราวกับจะกินเืกินเนื้อของเขาเมื่อวาน จึงค่อยๆ ขยับขาของตนเองลงจากตัวเขาอย่างแ่เบา ค่อยๆ ดึงมือตนเองที่กอดเอวเขาไว้ออก ค่อยๆ ยกแขนของเขาที่พาดอยู่บนตัวนางออก แล้วค่อยๆ กลิ้งตัวกลับไปนอนชิดด้านในตามเดิมอย่างเงียบกริบที่สุด
รอจนฟ้าสาง จางเจิ้นอันลืมตาขึ้น นางจึงรีบแสร้งทำเป็เพิ่งตื่น หันไปยิ้มให้เขาก่อนเอ่ยอย่างสดใส “ข้าบอกแล้วว่าข้านอนหลับง่าย เมื่อคืนคงไม่ได้รบกวนท่านใช่ไหมเ้าคะ?”
เขารับรู้กิริยาขยับเขยื้อนเล็กๆ น้อยๆ ของนางเมื่อเช้ามืดได้ทั้งหมด แต่เมื่อนางแสร้งทำเป็ไม่รู้ เขาก็จะแสร้งทำเป็ไม่รู้ตามนางไป
“อืม เ้านอนหลับง่ายจริงๆ” หากไม่นับเสียงละเมอร้องไห้เมื่อคืน ก็คงจะง่ายกว่านี้
“ไม่รบกวนท่านก็ดีแล้วเ้าค่ะ งั้นข้าไปทำอาหารเช้าก่อนนะ ท่านนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางค่อยๆ ลงจากเตียง ดึงผ้าห่มคลุมให้เขาจนถึงคอ แล้วจึงสวมรองเท้า สวมเสื้อคลุมทับ เดินไปยังห้องครัว
พอล้างหน้าล้างตาเสร็จ กำลังจะลงมือทำอาหารเช้า นางก็ต้องกลุ้มใจอีกครั้ง เช้านี้จะทำอะไรกินดี?
โจ๊กขาวเปล่าๆ ก็คงจืดชืดเกินไป ถ้ามีผักดองเค็มสักจานก็คงดี แต่ในครัวกลับไม่มีอะไรเลย
ขณะกำลังคิดวนไปมา สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นไข่ไก่สองสามฟองบนโต๊ะเล็ก ดวงตานางพลันเป็ประกาย วันนี้ทำขนมไข่นึ่งกินดีกว่า! นางอยากกินมานานแล้ว
นางตอกไข่ไก่ใส่ชาม ตักแป้งสาลีลงไปผสม คนให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อย เติมผงฟูอีกนิดหน่อยเพื่อให้เนื้อขนมนุ่มฟูขึ้น พอนวดแป้งจนเข้าที่แล้ว อันซิ่วเอ๋อร์ก็นึกสนุก ลองปั้นแป้งเป็รูปต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว ทั้งรูปกระต่ายน้อย ดาวดวงเล็ก และพระจันทร์เสี้ยว
เดิมทีนางตั้งใจจะทำเป็ขนมไข่ทอด แต่พอนึกถึงลวดลายที่ปั้นไว้ หากนำไปทอดก็คงไม่สะดวก ทั้งยังเสียดายรูปร่างน่ารักเ่าั้ จึงเปลี่ยนใจนำไปนึ่งแทน อย่างไรเสียนางก็ใส่ผงฟูลงไปแล้ว ขนมคงไม่แข็งกระด้างเกินไปนัก
ขณะที่ก่อไฟต้มน้ำ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ไปหาผ้าขาวบางสะอาดๆ มาผืนหนึ่ง ในบ้านไม่มีชั้นซึ้งสำหรับนึ่ง นางจึงทำได้เพียงใช้ซึ้งไม้ไผ่แทน นำผ้าขาวบางมาปูรองบนซึ้งไม้ไผ่ แล้ววางก้อนแป้งที่ปั้นเป็รูปต่างๆ น่ารักน่าเอ็นดูลงไป ปิดฝาหม้อ นึ่งด้วยไฟแรงประมาณหนึ่งเค่อ ขนมไข่นึ่งก็เป็อันว่าทำเสร็จเรียบร้อย
นางตักขนมนึ่งใส่ชาม ยกไปวางบนโต๊ะ จังหวะเดียวกับที่จางเจิ้นอันล้างหน้าเสร็จออกมาพอดี อันซิ่วเอ๋อร์หยิบขนมรูปกระต่ายน้อยชิ้นหนึ่งขึ้นมา ยื่นไปจ่อปากเขาพลางยิ้มหวาน “ท่านลองชิมดูนะเ้าคะ”
จางเจิ้นอันยื่นมือจะรับ แต่นางกลับเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย ส่ายหน้าแล้วบุ้ยปากให้เขาอ้าปากชิมเอง การได้รับการป้อนอาหารเช่นนี้ไม่ใช่ไม่เคยมี แต่ความรู้สึกยามนี้นางมอบให้ แตกต่างจากตอนที่บ่าวไพร่คอยปรนนิบัติโดยสิ้นเชิง เขาจึงอ้าปากงับขนมตามที่นางบอกอย่างว่าง่าย
พอเขากินหมดคำ นางก็ถามอย่างกระตือรือร้น “เป็อย่างไรบ้างเ้าคะ อร่อยหรือไม่?”
จางเจิ้นอันเห็นดวงตาสดใสคู่นั้นจ้องมองอย่างรอคอย ราวกับลูกสุนัขรอคำชม แววตาของเขาพลันฉายแววขบขันระคนเอ็นดูจางๆ เขาพยักหน้าน้อยๆ เอ่ยว่า “อร่อยดี”
“ท่านชอบก็ดีแล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ส่งขนมรูปกระต่ายที่เหลือให้เขา ส่วนนางหยิบรูปดาวขึ้นมาลองชิมดูบ้าง พอกัดไปสองสามคำ คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อย “แข็งไปหน่อยนะเ้าคะ”
คงเป็เพราะหมักแป้งไม่นานพอ นางกล่าวพลางยักคิ้วอย่างน่ารัก “แต่ก็ยังอร่อยมากอยู่ดีเ้าค่ะ”
ทำจากแป้งสาลีขาวกับไข่ไก่ จะไม่อร่อยได้อย่างไร?
เพียงแค่ขนมนึ่งธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง ก็ทำให้นางมีความสุขได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? จางเจิ้นอันเหลือบมองนางแวบหนึ่ง พลันรู้สึกว่าขนมรูปกระต่ายในมือตนอร่อยขึ้นมาด้วยเช่นกัน
หลังอาหารเช้า จางเจิ้นอันก็ออกไปจับปลาตามปกติ อันซิ่วเอ๋อร์นำกระบอกน้ำไปส่งให้เขาที่ประตูเช่นเคย พลางเอ่ย “ท่านว่าไม่ชอบดื่มชา ข้าจึงไม่ได้ต้มชา แต่ต้มน้ำใบสะระแหน่มาให้แทน ท่านทำงานริมน้ำทั้งวัน อากาศชื้นแฉะ น้ำนี่น่าจะช่วยขับความชื้น ให้ท่านสดชื่นขึ้นได้บ้างเ้าค่ะ”
จางเจิ้นอันยื่นมือรับกระบอกน้ำแล้วเดินออกนอกรั้วไป อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงยืนส่งเขาที่ประตูเช่นเดิม นางมองตามไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นจางเจิ้นอันก็หันกลับมา นางจึงรีบโบกมือให้พร้อมกำชับ “เดินทางดีๆ นะเ้าคะ”
จางเจิ้นอันหันกลับไป มุมปากพลันยกขึ้นเป็รอยยิ้มบางๆ โดยไม่รู้ตัว
พอถึงเรือ เขาก็แก้เชือก หาทำเลเหมาะๆ แล้วเหวี่ยงแหออกไปอย่างไม่รีบร้อน ทีแรกตั้งใจจะรินสุราดื่ม แต่พลันเหลือบไปเห็นกระบอกไม้ไผ่วางอยู่ จึงเปลี่ยนใจหยิบกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมาแทนจอกสุรา
เขาใช้นิ้วดีดจุกไม้ออกเบาๆ ไออุ่นจางๆ ลอยกรุ่นออกมา เขายกขึ้นดื่มอึกหนึ่ง น้ำอุ่นๆ ไหลผ่านลำคอให้ความรู้สึกสบาย รสเย็นซ่าของใบสะระแหน่ค่อยๆ แผ่ซ่านในปาก ราวกับช่วยปลอบประโลมความร้อนรุ่มในกาย ทำให้จิตใจที่เคยขุ่นมัวพลันสงบลงอย่างน่าประหลาด
นางคงเห็นว่าตนน่ากลัวและเ้าอารมณ์มากสินะ ถึงกับต้องต้มน้ำสะระแหน่มาให้ดื่มเพื่อช่วยให้ใจเย็นลง
จางเจิ้นอันส่ายหน้า ปิดจุกกระบอกน้ำตามเดิม แต่ครู่ต่อมาก็อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาดื่มอีกอึกหนึ่ง อืม...พอน้ำเย็นลงแล้ว นอกจากจะให้ความรู้สึกสดชื่น ยังมีรสหวานจางๆ ติดลิ้น ดูท่าจะดีกว่าดื่มสุราจริงๆ เสียอีก
อันซิ่วเอ๋อร์นำเสื้อผ้าที่เปื้อนของทั้งสองคนไปซักจนสะอาด จัดการกวาดถูทำความสะอาดบ้านทั้งภายในภายนอกและลานบ้านจนเรียบร้อย แล้วจึงยกม้านั่งเตี้ยตัวหนึ่งมา นั่งเงียบๆ อยู่หน้าประตู ลงมือปักผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่
ทว่ายังปักลายดอกไม้ไม่ทันได้เสร็จดี หญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้านก็เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้านนาง
