หากไม่นับร่างกายที่มีสภาพเป็ผักเช่นนี้ ชีวิตความเป็อยู่อันแสนยากจนทว่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะนี้ก็นับว่ามีความสุขมากนัก ติงเชาที่เด็ก ๆ เรียกพ่อบุญธรรมเป็พรานป่าอาศัยหาของป่าเลี้ยงชีพ เขาเองไม่รู้ความเป็มาเป็ไปของติงเชา แต่เหมยซิงและเด็ก ๆ ที่นี่เป็ผู้ที่หลงเหลือจากาเมื่อหกปีก่อน ผลัดพรากจากพ่อแม่ญาติพี่น้องหรืออาจตายจากกันไปแล้ว พวกเขาจึงอยู่ที่นี่กันอย่างเรียบง่าย ไม่นานมานี่ติงเชาเกิดเจ็บป่วยทำให้เหมยซิงไปทำงานในบ้านเศรษฐีเป็หญิงรับใช้ และถูกทำร้ายปางตาย ทำให้นางกลับมาอยู่ที่เดิมนี่
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเ้าของร่างเดิมนี้เป็มาอย่างไร แต่เหมยซิงเองคงเข้าใจไปว่าเ้าของร่างนี้เป็เช่นเดียวกับนาง เพราะนาง ‘เก็บ’ เขามาจากป่าช้า
นอกจากปลายนิ้วมือ และเท้าแล้ว ก็มีเพียงดวงตาที่กลอกไปมาได้ตามใจซึ่งยามนี้เขาเฝ้ามอง ร่างของเด็กสาวผอมบางที่ควงไม้พลองอย่างคล่องแคล่วท่ามกลางเสียงปรบมือของน้อง ๆ
“พี่สาวเก่งแบบนี้ไปขายศิลปะในเมืองคงได้หลายเงินเป็แน่” ติงเกาพูดขึ้นแล้วทำท่าหมุนตัวเลียนแบบพี่สาว
“ขายศิลปะคืออะไร?”
เหมยซิงถามพลางเช็ดเหงื่อบนใบหน้าด้วยท่อนแขน อยู่ที่นี่มาสองเดือนเริ่มชินกับร่างกายนี้แล้ว พอได้ขยับตัวบ่อยการเคลื่อนไหวบ่อยๆ ก็เริ่มคุ้นชิน นางฝึกยืดหยุ่นตัวเหมือนตอนที่ยังเป็ ‘พันดาว’ ในทุกวันนางมีตารางฝึกออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่วพร้อมรับทุกบทบาทที่ได้รับมา
“ก็ไปแสดงศิลปะการต่อสู้ แลกเงินหรือข้าวสารของกินได้” ติงเกาพูดด้วยรอยยิ้มมีความหวัง “พี่สาวสอนข้าบ้างซิ”
เหมยซิงพยักหน้าเข้าใจ คงจะเหมือนกับ ‘เปิดหมวก’ ละซิ ถ้าเป็อย่างนั้นได้ก็ดี นางอยากหาเงินซื้อข้าวสารมาตุนไว้ให้น้อง ๆ เมล็ดพันธุ์พืชที่ได้มาก็ลงแรงเพาะปลูกไปแล้ว ่นี้อาการพ่อบุญธรรมดีขึ้นก็ลุกขึ้นมาสอนนางใช้ธนูล่าสัตว์ นางจึงได้รื้อเอาเครื่องมือล่าสัตว์ของบิดาออกมาซ่อมแซม นางรู้ว่าพ่อบุญธรรมดูประหลาดใจที่นางสนใจเื่พวกนี้ แต่นางก็ใช้รอยยิ้มกลบเกลื่อนทำให้ติงเชาไม่เอ่ยถามอะไร สอนให้นางรู้เครื่องไม้เครื่องมือเหล่านี้อย่างเต็มใจ
หญิงสาวหันมาทางชายหนุ่มที่ทุกคนในบ้านต่างตกลงใจที่จะเรียกเขาว่า ‘อาหมาน’ ติงปิงบอกว่า ‘หมาน’ แปลว่า ‘เต็ม’ แม้สีหน้าคนถูกเรียกจะไม่เต็มใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ นางเห็นเหมยลี่ช่วยหวีผมให้อาหมานแล้วก็ะโลงมายืนจ้องมองชายหนุ่มที่กระตุกกระติกตัวไม่ได้แล้วยิ้มอย่างภูมิใจ
“เหมยลี่เก่งจริง ๆ” นางเอ่ยชมน้องสาวคนเล็ก แล้วเดินไปใกล้แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำลายที่มุมปากให้อาหมาน ดูเขาอึดอัดใจที่นางคอยดูแลเขาเช่นนี้
“อย่าคิดมาก ข้าเคยดูแลคนอาการหนักกว่าเ้าอีก ถึงบ้านนี้จะมีเด็กผู้ชายแต่เขาก็เด็กเกินกว่าให้มาทำอะไรพวกนี้เอง ให้ข้าจัดการให้เถอะ เ้าก็ทำเป็มองไม่เห็นก็ได้”
นางพยายามไม่ให้เขาคิดมาก แต่ดูท่าเขาจำยอมอย่างจนใจ นางประเมินอาหมานว่าเขาคงอายุประมาณยี่สิบนิด ๆ หรือไม่เกินนี้ ถ้านับตามอายุ ‘พันดาว’ แล้วละก็ ชายผู้นี้ก็เป็ ‘น้อง’ ของนางอีกด้วย และความที่เขาผอมบางมาก ทำให้นางสามารถใช้ร่างเหมยซิงเด็กสาวอายุสิบหกแบกเขาไปโน้นมานี่ได้อย่างไม่ลำบากนัก
สองเดือนกับการอยู่ในร่างเหมยซิง บางทีนางก็อดคิดไม่ได้ว่า อาจเป็ชะตาลิขิตให้นางต้องมาใช้ชีวิตที่นี่ก็เป็ได้ ถ้านางไม่เคยเป็สตั๊นต์เกิร์ลมาก่อน คงใช้เครื่องมือล่าสัตว์ไม่เป็ ถ้านางไม่เคยออกค่ายอาสา นางคงไม่รู้วิธีเพาะปลูก และถ้านางไม่เคยดูแลคุณตาข้างบ้าน นางก็ไม่รู้ว่าจะดูแลอาหมานอย่างไร
พอคิดแบบนี้แล้วนางมีกำลังใจที่จะใช้ชีวิตในโลกแปลกประหลาดใบนี้ และเมื่อไหร่ที่นางคิดถึงลุงทองดี นางก็จะดูตั้งใจดูแลพ่อติงเชาและน้อง ๆ ให้มาก
ซุนเว่ยหมินมองร่างบอบบางเดินเอาผ้าที่เช็ดน้ำลายของเขาไปซักแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ ชีวิตเขาจะต้องอยู่ในสภาพนี้ไปนานเพียงใด คนที่เคยทำอะไรด้วยตัวเองได้ทุกอย่าง มาเวลานี้ไม่อาจทำอะไรได้เลย ศักดิ์ศรีที่เคยมีท่วมท้น ยามนี้แทบไม่มีสิ่งนั้นเหลือแล้ว แต่เขายังพอมีหวัง บ้างทีอย่างน้อยเขาเริ่มเปล่งเสียงได้มากขึ้น ขยับข้อมือได้ ลองฝึกยกแขนแม้จะขึ้นเหนือพื้นมาเล็กน้อยแต่ก็นับว่าดี ขอเพียงเขาขยับมือเขียนจดหมายได้ เขาก็จะสามารถติดต่อผู้อื่นได้
ในขณะที่ใจพะวงหาวิธีการติดต่อกับผู้อื่น เขาเห็นผีเสื้อสีขาวพิสุทธิ์ตัวหนึ่งโบยบินวนเวียนอยู่เบื้องหน้า ขณะที่จับจ้องมองผีเสื้อแปลกตาตัวนี้มันก็บินมาเกาะที่ปลายจมูกของเขา เขาหรี่ตามองผีเสื้อตัวนี้ด้วยความรู้สึกคุ้นตา
“อืออออ....”
เหมยซิงที่มักจะไวกับปฏิกิริยาของอาหมานจึงหันมาทันที เห็นเพียงเขามีสีหน้าตื่นเต้น และส่งเสียงครางครือในลำคอเท่านั่น นางเอียงคอมองอย่างประหลาดใจแล้วเดินกลับมานั่งจ้องหน้าชายหนุ่มแล้วเอ่ยถาม
“มีอะไรรึอาหมาน”
“อืออออออ...”
“หือ?” นางรู้สึกเหมือนเขาพยายามจะบอกอะไรนาง แต่คราวนี้นางไม่เข้าใจจริง ๆ ได้แต่หันซ้ายหันขวามองตามลูกตาดำของเขาที่กลอกไปมา ยังไม่ทันได้ค้นหาคำตอบ นางได้ยินเสียงม้าอยู่หน้าบ้าน บ้านที่ไม่ค่อยมีใครผ่านมานักทำให้เด็ก ๆ และพ่อบุญธรรมหยุดการเคลื่อนไหว และหันไปมองทางประตูหน้าบ้าน
บุรุษในชุดดำก้าวพรวดพราดเข้ามาในลานกว้างอย่างไม่เกรงใจและมารยาทเ้าของบ้าน เขากวาดตามองราวกับไม่เห็นผู้ใดในสายตา จับจ้องไปเพียงยังชายที่นั่งเอนหลังนิ่ง ๆ เบิกตากว้างด้วยความดีใจ
“ท่าน...” เสียเอี๋ยนก้าวเร็ว ๆ มาคุกเข่าเบื้องหน้า กำลังจะเรียกชื่ออีกฝ่ายแต่ตระหนักได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้านี้แม้มีดวงจิตของท่านอ๋องซุนเว่ยหมินที่เขาตามหามานานนับเดือน ทว่าร่างกาย และใบหน้าไม่ใช่ของท่านอ๋อง เป็ใบหน้าและร่างกายของ...
‘เสียเอี๋ยน!’
“คุณชาย...” เสียเอี๋ยนนอกจากจะฝึกยุทธแล้ว เขายังมีความสามารถในการมองเห็นสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็น เป็พร์ที่ได้รับมาั้แ่เกิด แต่ทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว บิดามารดาจึงยกเขาให้นักพรตท่านหนึ่งเลี้ยงดู ทำให้เขาได้ร่ำเรียนเวทมนตร์คาถาต่าง ๆ พอที่จะเรียกสัตว์ ใช้สัตว์อาคมติดตามหาผู้ที่้าพบตัวได้เช่นนี้
“คุณชาย?” เหมยซิงที่อยู่ใกล้ที่สุดออกมายืนขวาง แม้คนผู้นี้ทำท่าสนิทสนมกับอาหมาน แต่เขาจู่ ๆ เข้ามาแบบนี้ก็ไม่ค่อยน่าไว้ใจนัก
